บทที่ 449 อำนาจเพื่อความรัก
“ถ้าหากว่าแคว้นเจียงเยี่ยนตะถ่วงไม่ยอมยกทัพ อย่างนั้นจะทำเช่นไรเล่า”
ซูพ่านเอ๋อนั่งอยู่บนต้นขาของซ่านจินจื๋อ กระทั่งว่าทำเกินหน้าเกินตาจนทำให้เฉิงซานและนายกองผู้ช่วยอีกคนหนึ่งที่อยู่ในกระโจมต้องปลีกตัวออกไป
“เดี๋ยวก่อน” ซ่านจินจื๋อเองก็หมดหนทางกับเรื่องนี้ “ถ้าเช่นนั้นทำไมพวกเราถึงไม่เป็นฝ่ายเริ่มยกทัพก่อน?”ซูพ่านเอ๋อกระซิบเข้าเบา ๆ ที่ข้างหูของซ่านจินจื๋อ พลิกหาจดหมายเอาฉบับหนึ่งออกมาจากที่บนโต๊ะเขียนหนังสือ พูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ถึงแม้ว่ากู้เฉิงกับกู่เซิงจะถูกพวกเขาพาไป แต่เพราะว่าเรื่องราวของเมืองกวนผิงในเมื่อก่อน ในบัดนี้อ้ายหยินยังมีความหวาดหวั่นที่จะยกเข้าโจมตีเมือง เกรงว่าจะเข้าแผนการ”
ฉบับนี้คือรายงานที่รับมาจากคนสอดแนมจากแคว้นเจียงเยี่ยน
ดูท่านอ้ายหยินเพราะว่าเรื่องราวในเมื่อก่อนจึงเกลียดชังซ่านเซิ่งหานและหยูนเฉิน แต่บรรดาระหว่างนายกองของแคว้นชางหลานกลับได้เอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องตลกขบขันเผยแพร่ออกไป ทำให้อ้ายหยินต้องโมโหยิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้น “เริ่มออกตัวโจมตีเมืองก่อนนับว่าเป็นไปไม่ได้”ซ่านจินจื๋อดึงเอาจดหมายนั้นไปจากมือของซูพ่านเอ๋อ นิ้วมือที่เหมือนรังไหมวางลงบนเอวของฝ่ายตรงข้าม แต่กลับไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่เลยสักนิด
ซูพ่านเอ๋อยกมือขึ้นมาคว้าเข้าที่ข้อมือของเขา “แต่พวกเรายังมีอ้ายจือ”
มือของซ่านจินจื๋อค่อย ๆ หยุดชะงักลง ช่วงระยะเวลาที่ไม่นานหลังจากนั้น อ้ายจือที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกนำตัวมายังภายในกระโจมทหาร ราวกับอาศัยลมหายใจเฮือกสุดท้ายพูดกับซ่านจินจื๋อว่า “ท่านอ๋อง ข้าอยากจะเข้าร่วมมือกับท่านจริง ๆ……แค่ก ๆ…… ”
ซูพ่านเอ๋อข้องมองนางที่กระอักอาเจียนออกมาเป็นเลือดด้วยความขยะแขยง ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่ว่าอ้ายจือเป็นหญิงที่ร่างกายสกปรกเหลือทน โดยเฉพาะร่องรอยแห้ง ๆ บนต้นขา ทำให้ซูพ่านเอ๋อยิ่งรังเกียจมากขึ้นไปอีกเสียเท่านั้น
“แต่เจ้าก็เป็นลูกสาวที่ไม่เป็นที่รักใคร่”คำพูดนี้ซ่านจินจื๋อพูดออกมาอย่างหน้าตาเรียบเฉย “ข้าทำให้เจ้ามีสภาพเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าต่อไปในภายหน้าเจ้าคิดอยากแก้แค้นเอาคืนก็ได้ ถ้าหากว่ามีเหตุผล ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกคนรังแกในยามค่ำคืนดึกดื่น ใช้ชีวิตไปต่อเถอะ”
ไล่ของอ้ายจือถูกกดลงกับพื้น พลทหารทั้งสองคนล้วนยิ้มออกมาอย่างต่ำทราม
ซูพ่านเอ๋อหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดจมูกของตัวเองเอาไว้ แต่ปากก็ได้พูดโน้มนาวซ่านจินจื๋อ “ลองฟังนางก่อนเถะว่านางจริง ๆ แล้วจะพูดอะไร”
เช่นนี้ ซ่านจินจื๋อจำใจต้องฟังอ้ายจือผู้นี้ว่าจริง ๆ คิดอยากจะทำอะไร
ออกคำสั่งไล่คนที่ไม่สำคัญพวกนั้นออกไป ใช้เพียงแค่โซ่ลามนางติดเอาไว้กับพื้น เมื่อครู่มีหมอได้เอายาบางส่วนมาให้นาง นางถึงได้มีแรงที่จะพูดขึ้นได้“ข้าสามารถหาเวลาโจมตีเมืองให้ได้ กู่เฉิงและกู่เซิงในเมื่อไปพึ่งพิงแคว้นเจียงเยี่ยน ตัวข้าเองก็มาพึ่งพิงท่านได้เช่นกัน” “ในตอนแรกเป็นเจ้าที่พากู่เฉิงและกู่เซิงกลับไปยังแคว้นเจียงเยี่ยน ทำร้ายแคว้นชางหลานของข้าเสียจนต้องเสียไปถึงสองเมือง” “เมืองสองเมือง เอามาแลกเปลี่ยนราชบัลลังก์ให้กับท่านอ๋อง แลกเอามาซึ่งโอกาสให้ข้าได้เป็นคนที่ได้เชิดหน้าชูตากับเขาได้ ไม่เสียหาย”อ้ายจือพูดขึ้นด้วยความขุ่นข้องหมองใจ ราวกับว่าเมื่อได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ความไม่พอใจที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจพวกนั้นก็ได้ระเบิดออกมา “ข้าไม่อยากเป็นไปตามหญิงสาวทั่วไปเลยทำให้ต้องถูกเมินเฉย ข้าเต็มใจยิ่งที่จะสังหารบิดาของข้าเพื่อท่าน”
สายตาของอ้ายจือจองจำความคั่งแค้นชิงชังเอาไว้อย่างหนักหน่วง
แต่ซูพ่านเอ๋อกลับฟังเข้าเสียใจหลงคล้อยตาม มีเพียงซ่านจินจื๋อที่บีบแก้วเหล้าในมือจนแตก ผ่านไปเป็นเวลานานถึงได้เอ่ยปากกระซิบขึ้นว่า “ลากเอานางออกไป ตัดหัวซะ” “ท่านพี่จื๋อ ไม่ได้นะ!”ซูพ่านเอ๋อคุกเข่าลงข้างกายของซ่านจินจื๋อด้วยความตกใจ หยิบเอาเศษแก้วเหล้าที่แตกอยู่ในมือของเขาออก กระซิบพูดไปว่า “สถานการณ์ในตอนนี้เองก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจน เก็บนางเอาไว้จะมีประโยชน์ต่อเราไม่มีเรื่องเสียหายอะไร ถึงยังไงนางก็หนีออกไปไม่ได้”
“นางคือ……”
“นางอาจจะเป็นความหวังของพวกเรา ท่านพี่จื๋อ”ซูพ่านเอ๋อจ้องมองซ่านจินจื๋ออย่างจริงจัง กระเง้ากระงอดดื้อดึงเหมือนกับท่าทางในตอนที่เป็นเด็ก
ซ่านจินจื๋อนิ่งงันไปเป็นเวลานาน ถึงได้ตกปากรับคำขอของซูพ่านเอ๋อ แต่เมื่อตอนที่ซูพ่านเอ๋อได้ทำท่าทีผยองอยู่ที่ข้างกายเขา ก็ได้เอ่ยปากปฏิเสธขึ้น เมื่อตอนจังหวะที่อ้ายจือพูดอยู่ตอนนั้น ราวกับวาเขาได้มองเห็นเงาของกู้อ้าวเวยจากร่างของนาง
เพียงแค่ว่าช่างน่าเสียดาย ระยะเวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้นก็ได้ทำให้เขาโมโหจนถึงขีดสุด ต่อหน้าของเขากู้อ้าวเวยเองก็ได้มีท่าทีดูมั่นอกมั่นใจดูกล้าบ้าบิ่น แต่กลับดูอ่อนโยนเป็นกุลสตรีต่อหน้าของเขา ราวกับว่าทุกคนที่อยู่เบื้องหน้าที่ได้พบเห็นทั้งหมดมีเงาของนางสวมทับอยู่ แต่คนพวกนั้นมันจะแข็งกร้าว เทียบไม่ได้กับกู้อ้าวเวยที่ถูกเขาถอดเปลือกความอ่อนแอบอบบางที่อยู่ภายนอกนั้นออก
เขาไม่ได้มีความลุ่มหลงเสน่หาในตัวซูพ่านเอ๋อแบบไม่มีที่สิ้นสุดอีกต่อไปแล้ว มิหนำซ้ำก็ไม่ได้ต้องการให้ซูพ่านเอ๋อมาอยู่ข้างกายของเขาตลอดเวลา
กลิ่นไอของทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว
บัดนี้เองเขาก็ไม่รู้ว่า ในตามปกติซูพ่านเอ๋อที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องแผนการทางทหารเลยสักนิดกำลังยืนอยู่นอกคุก ยับยั้งความพยายามอันไร้เหตุผลพวกนั้นคอยกลั่นแหล้งพรทหารของอ้ายจือ เพียงแค่นั่งยอง ๆ อยู่ที่ด้านนอกจ้องมองสายตาที่ไม่เต็มใจคู่นั้น “เจ้าก็เคยเป็นเหมือนกับข้า แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ เจ้าไม่ได้โชคดีแบบนั้น ที่จะหาหลักประกันได้เหมือนกับท่านพี่จื๋อ”
“ข้าเคยสืบเรื่องเจ้า”อ้ายจือหัวเราะเบา ๆ ออกมาทีหนึ่ง “เจ้าเกิดที่โรงเตี๊ยม ในตอนยังเล็กเติบโตมาได้เพราะมีผู้ชายผลักดัน”
สีหน้าของซูพ่านเอ๋อแปรเปลี่ยน ค่อย ๆ ถลกหนังชั้นนอกที่อ่อนนุ่มนั้นออก ภายดำมืดภายในก็ปรากฏออกมาให้เห็นจนหมดเปลือก “แล้วจะทำไมหรอ ขอเพียงข้าเต็มใจ ต่อไปข้าก็สามารถเป็นฮองเฮาที่มารดาของคนทั้งแผ่นดินยังได้”
“พวกเรามันเป็นคนแบบเดียวกัน” อ้ายจือหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง แต่หยาดน้ำตากลับรินไหลออกมา ตกลงบนรอยแผลของร่างกายที่ได้นำความรู้สึกเหมือนถูกไฟลวกมาให้ “ร่างนี้มันก็จะยังไงก็ได้มาตั้งนานแล้ว ขอเพียงแค่เจ้ารักษาข้าเอาไว้ ข้าจะให้ทุกอย่างกับพวกเจ้า”
“แน่นอน” ซูพ่านเอ๋อเองก็มองเห็นโอกาสจากในตัวของนาง เหมือนกับตอนนั้นที่นางได้อยู่ในโรงเตี๊ยมแล้วถูกอาจารย์มาพาไป นางเองก็ได้เก็บงำความไม่พอใจซ่อนเร้นเอาไว้ แต่ในตอนนี้ที่ได้มาพบเข้ากับอ้ายจือ ความสัตย์ก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่ทันได้รู้ตัว “ข้ารัก มีเพียงแค่อำนาจตลอดเวลา ท่านพี่จื๋อคืออำนาจของข้า เจ้าจะต้องตอบแทนเขาให้ดี” การเจรจาสนทนาระหว่างด้านในกับด้านนอกของคุกก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้ร่วมกัน ทหารภายในค่ายเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้เห็นเงาของอ้ายจืออีก แต่ภายในกระโจมทหารของซูพ่านเอ๋อกลับมากรงเหล็กเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งอัน
ซ่านจินจื๋อเองก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเรื่องนี้กับเขาด้วย
……
ฤดูใบไม้ผลิมาถึง แคว้นเจี่ยงเยี่ยนกลับได้สั่งให้ทูนไปที่เมืองเทียนเหยียน การศึกสงครามระยะเวลาสั้นยังไม่ได้เริ่มต้นก็ถูกยับยั้งเอาไว้ แต่บรรดานายทหารทั้งมวลกลับไม่กล้าที่จะหละหลวมเลยแม้แต่สักน้อย เพียงแค่ฝึกซ้อมทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ในภายสนามฝึก ในตอนที่ซ่านเซิ่งหานขี่ม้ากลับมา ก็มองเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้เข้าพอดี ใช้เวลากว่าหนึ่งยามในการจัดการแก้ไขงานสาธารณะของบริเวณชายแดน ภายหลังถึงได้รู้ตัวขึ้นว่าดูเหมือนหยูนเฉินจะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ หยินเชี่ยวที่ได้กำลังจัดการทำความสะอาดพวกเสบียงอาหารก็ได้แอบบอกกับเขาว่า “เขาขึ้นเขาใกล้ ๆ นี่ไปตามหาพวกสมุนไพรสักบางพวกอย่างอดอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ ออกไปเมื่อวาน เพราะว่าเมื่อวานในตอนกลางคืนฝนตก เกรงว่าจะกลับมาไม่ได้ง่าย ๆ”
“หรือว่าจะส่งคนไปดูสักหน่อยดี” เยว่ที่อยู่ข้างกายกระซิบพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก วันนี้ไม่ติดธุระอะไร ข้าจะขึ้นไปเอง” ซ่านเซิ่งหานยกมือขึ้น ขี่ม้าขึ้นไปบนเขา ที่ด้านหลังแม้กระทั่งทหารสักคนก็ไม่ได้นำติดตัวไป มีเพียงองครักษ์แบบลับ ๆ ที่แฝงตัวตามไปด้วย เพียงแค่เพราะว่าเดินอยู่ในป่า ก็ยังหาร่องรอยของพวกเขาตามทางที่เต็มไปด้วยดินโคลนยังไม่พบ แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ดังออกมาจากในป่า อีกทั้งยังมีเสียงน้ำที่ตามมาด้วย
“กล้วน้ำแล้วยังจะลงมาอีก แต่ก็น่ารักจะแย่อยู่แล้ว”
นั่นเป็นเสียงของกู้อ้าวเวย
ซ่านเซิ่งหานขมวดคิ้วเล็กน้อย และก็ไม่รู้ว่านางเองกำลังพูดอยู่กับใคร เพียงแค่พลิกตัวลงจากม้า ลดเสียงลมหายใจแล้วเดินเข้าไปข้างใน
แต่ว่าออกตัวเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ แต่ภาพสีของน้ำที่อยู่ตรงเบื้องหน้าทำให้ซ่านเซิ่งหานต้องตกตะลึงจนลืมตาทั้งสองไม่ขึ้น