บทที่ 462 ความสามารถ
เฉิงซานเงียบก้มหัวแล้วถอยหลังไปสองก้าว
ซ่านจินจื๋อแปลกใจกับความคิดของซูพ่านเอ๋อ แต่ในตอนสงครามไม่สามารถว่อกแว่กรู้สึกคลุมเครือกับเธอได้ ทำได้เพียงแค่จับจดหมายราชการในมือไว้แล้วพูดเสียงต่ำว่า “หยูนเฉินนับได้ว่าเป็นแค่คู่ต่อสู้เท่านั้น ถ้าอยากส่งคนไปจัดการเก็บเขาก็เป็นการเปล่าประโยชน์”
เมื่อซูพ่านเอ๋อเห็นเขานิ่งก็ได้แต่โทษตัวเองที่ร้อนรนแล้วรีบนั่งลงบนเตียงนุ่ม พูดด้วยเสียงต่ำต่อว่า “แต่เขากับองค์ชายสามนำทหารไปปกป้องเมืองกวนผิงแล้ว ตอนนี้ก็มีแผนเริ่มโจมตีชิงคูเมืองทั้งสองกลับมา ตอนนี้เมืองชี่ก็ถูกฉวยโอกาสโดนโจมตีเมื่ออ่อนแอในสายตาก็น่าจะชนะ ท่านพี่จื๋อทำไมถึงแค่ออกคำสั่งทหารแต่ไม่ไปช่วย ถ้าฮ่องเต้…..”
การกระทำที่ปิดเอกสารทางการของซ่านจินจื๋อตัดบทซูพ่านเอ๋อ”นี่ก็เป็นแค่ความสามารถอันต้อยต่ำขององค์ชายสาม”
ซูพ่านเอ๋อเม้มปาก ไม่พูดอะไรมาก
“ก็ถึงแม้ว่าในเวลานั้นทหารเมืองนั้นจะพังแต่กำลังทหารของแคว้นเจียงเยี่ยนกลับมีนับสิบนับล้านถ้าข้าอยากทำอะไรก็สามารถใช้กำลังทหารจากตรงนี้ลงมือได้”พูดถึงตรงนี้ซ่านเซิ่งหานก็โบกมือสั่งให้เฉิงซานออกไป ตนเองก็พูดกับซูพ่านเอ๋ออย่างใจเย็นว่า “กำลังทหารของแคว้นเจียงเยี่ยนส่วนมากเป็นทาสและทหารตายสร้างความวุ่นวายอะไรมากไม่ได้หรอกแต่กลับสามารถส่งออกมาขัดขวางได้พวกเขาก็คือลูกมือที่ดีที่สุด”
“งั้น ท่านพี่จื๋อท่านอยากทำอะไร?”
“ถ้ามีวีธีทำให้อีกฝ่ายสงสัยว่าพวกเราส่งคนไปสอดแนมอยู่ในหมู่ทาส พวกเขาก็จะฆ่าไปบางส่วน นอกจากนี้ พวกเหล่าทาสที่แม้จะใช้มีดทหารได้แย่ที่สุดแต่ถ้าใช้โอกาสที่ไม่ระวังเข้าโจมตีฆ่าไปสักหมื่นสองหมื่นก็ไม่เลว”ซ่านจินจื๋อยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูดต่อว่า “นอกจากนี้เจ้าองค์ชายสามนี่คิดจริงๆหรือว่าข้านั่งรอวันตาย?”
ซูพ่านเอ๋อไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ เพียงแต่เห็นทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน
ทหารคุกเข่าที่พื้นพูดเสียงทุ้มว่า “ท่านอ๋อง เหล่าแม่ทัพพร้อมแล้ว สามารถเคลื่อนทัพได้ตลอดเวลา”
ซูพ่านเอ๋อเบิกตากว้าง แต่ซ่านจินจื๋อยังคงทำเป็นไม่ใส่ใจ “ข้าไม่สามารถเรียนรู้ความโลเลขององค์ชายสามได้ การบุกโจมตีเป็นเรื่องของข้า”
……
ไม่กี่วันต่อมาตอนพระอาทิตย์ตกดิน กู้อ้าวเวยถึงได้รับข่าวในบ้าน
เยว่ที่ใส่ชุดดำก็มาหยุดอยู่ที่ข้างๆเธอเอาเรื่องที่ซ่านจินจื๋อรับชัยชนะยึดเมืองชี่ได้มาประกาศ “นอกจากนี้เมืองชี่ยังไม่ได้เตรียมตัวดี ต้องรอหลังจากครึ่งเดือนถึงจะสามารถเก็บกวาดคนได้หมด แต่อ๋องจงผิงอยู่หลังเมืองชี่ทำอะไรสักอย่าง ฝ่าบาทสั่งให้ข้ามาบอกท่านว่าให้ท่านโน้มน้าว….”
พูดถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยก็ยิ้มอย่างเย็นชา “มีอะไรให้โน้มน้าว อ๋องจงผิงมีความสามารถตั้งเท่าไหร่ ฝ่าบาทรู้ชัดเจนที่สุด เทียบกับพูดโน้มน้าวแล้วส่งคนไปถามอ๋องจงผิงว่าอยากทำอะไรถ้าเป็นเรื่องที่ไม่อันตรายก็ปล่อยไป แต่ถ้าคิดแย่งผลงานเชื่อว่าองค์ชายสามจะมีข้อชี้ขาดของตนเอง”
“แต่ฝ่าบาทสั่งให้ข้ามาถามท่านคือ……”
“แม้แต่คนทั่วไปข้ายังจัดการไม่ได้เลยจะไปจัดการเรื่องระหว่างพี่น้องพวกเขาได้อย่างไร ผู้ชนะเป็นราชา ผู้แพ้เป็นผู้รุกราน ถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆข้าก็ไม่สามารถไปพูดขอร้องแทนฝั่งไหนได้” กู้อ้าวเวยพูดอย่างเย็นชาแล้วก็หันไปมองเยว่ “ถ้าฝ่าบาทยังอยากทดสอบความไว้ใจของข้าที่มีต่ออ๋องจงผิงองค์ชายหก ยิ่งไม่จำเป็น ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องข้ายิ่งไม่อยากยุ่ง ความขัดแย้งเรื่องอำนาจข้าถึงจะเข้าร่วม”
สีหน้าของเยว่ซีดแต่ก็ทำได้เพียงเอาสิ่งที่กู้อ้าวเวยพูดไปบอกซ่านเซิ่งหาน
แต่ตอนที่อยู่ในลานเล็กๆนี้กู้อ้าวเวยเพียงถือหนังสือเดินเข้าห้อง ตอนนี้เหล่าเด็กๆก็กล้าที่จะพูดคุยกันเสียงเบาๆแล้วแต่เนื่องจากเป็นทาสจึงไม่กล้ากำเริบนัก
กู้อ้าวเวยก็ยังไม่ได้เตรียมที่จะตัดสินแบ่งแยกเพศเด็กอย่างชัดเจนแต่ด้วยอายุที่ยังเด็กยังไม่รู้เรื่องอะไร สองสามวันมานี้ก็รู้แต่พูดว่าหิวแล้ว ง่วงแล้ว
เหล่าเด็กๆเห็นกู้อ้าวเวยเดินเข้ามาก็คิดอยากหัวเราะ มีกินมีดื่มแถมยังมีชื่อให้เรียกขาน ก็มีความสุขกว่าไหนๆ
ขณะที่เล่านิทานให้เด็กๆฟัง ในใจกู้อ้าวเวยกลับแอบมีความรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ซ่านจินจื๋อโจมตีรุนแรงเช่นนี้ ทาสในเมืองจะเป็นยังไงบ้าง?
รอจนกระทั่งเด็กๆผล็อยหลับไป นางถึงรีบเดินออกมาผลักประตูออกแล้วดึงกุ่ยเม่ยเข้ามาแล้วพูดถึงความกังวลทั้งหมดของตนเองที่มีต่อทาสเหล่านั้นอีกครั้ง กุ่ยเม่ยคิดสักครู่ “ถ้าเอาตามอารมณ์ของท่านอ๋องเมื่อก่อนก็น่าจะฆ่าทั้งหมด อย่างไรเสียเหลือความใจดีไว้วันหลังจะกลับเป็นหายนะ”
“เช่นนี้ก็จริง ควรฆ่าก็ต้องฆ่าแต่เขาเคยฆ่าเด็กไหม?” กู้อ้าวเวยไม่สบายใจ
กุ่ยเม่ยตอบนางแค่เพียงความเงียบ มองเข้าไปในตาของกู้อ้าวเวยก็เหมือนอยากย้อนถามว่า——เจ้ารู้สึกยังไง?
“ก็ถูก…..ถ้าบอกว่าไม่ทิ้งปัญหาแล้วจะทิ้งเด็กๆพวกนั้นจริงๆได้ยังไง” เมื่อกู้อ้าวเวยคิดถึงตรงนี้ ในใจก็ไม่สามารถทนได้แต่ตอนนี้ก็ไม่สามารถไปชิงคนกับอ๋องจิ้งแถมการปกป้องทาสมากขนาดนี้ก็เป็นทางตายอย่างหนึ่ง
จึงทำได้เพียงแค่กลับห้องอย่างจนปัญญาแต่ก็กลับพบสู้หยางยืนอยู่ข้างประตูดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยหยาดน้ำ “ทาสต้องโดนฆ่าไหม? ครอบครัวข้า…..”
กู้อ้าวเวยถึงได้พบว่ามีเด็กอีกหลายคนที่ยังไม่หลับแต่กลับทำได้เพียงเอาเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วพูดเสียงต่ำว่า “สงครามเช่นนี้ ในอนาคตถ้าเจ้าโตไปต้องจำให้ดีว่า เรียนศิลปะการต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเมืองแต่ไม่ใช่เพื่อขยายอาณาเขต”
“งั้น…..คนของแคว้นเจียงเยี่ยนจะตายไหม?” มีเด็กคนหนึ่งถามอย่างหวาดกลัว
“แค่มีสงครามก็มีคนตายนับไม่ถ้วน คนของแคว้นเจียงเยี่ยนจะตาย ทาสก็จะตาย คนของชางหลานก็จะตาย” กู้อ้าวเวยก็ยังคงบอกความจริงแก่พวกเขา
เป็นอีกคืนที่นอนไม่หลับ เด็กๆแทบทุกคนคิดเพ้อเจ้อเพราะประโยคสั้นๆของกู้อ้าวเวย
แต่วันถัดมา กู้อ้าวเวยก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงแต่ผิงชวนลูบหัวสู้หยางอยู่แล้วพูดว่า “นางกลัวจะพาเหล่าทาสก่อปฏิวัติ แล้วก็ยังกำชับให้ข้าสอนให้พวกเจ้าอ่านหนังสือ”
“ก่อปฏิวัติคืออะไร?”สู้หยางลูบๆหัว
“ก็ประมาณว่า ทำให้แคว้นเจียงเยี่ยนไม่มีทาสอีกต่อไป โค่นฮ่องเต้คนปัจจุบันแล้วก็เปลี่ยนราชวงศ์”ผิงชวนพูดยิ้มเบาๆ
ด้านนอกหน้าต่างมีนกสีเทาตัวหนึ่งกระพือปีกบินไปยังสถานที่ไกลๆ
สู้หยางตกใจคว้าข้อมือผิงชวนไว้ “นางเป็นคนที่เก่งใช่ไหม ฮ่องเต้สามารถเปลี่ยนได้ใช่ไหม?”
“แค่พวกเจ้าไม่คุกเข่าอยู่ที่พื้น ฮ่องเต้ก็สามารถเปลี่ยนได้”ผิงชวนบีบๆแขนเขาแล้วพูดยิ้มๆว่า “นางก็เป็นเด็กดื้อที่ทำบุ่มบ่ามเอาแต่ใจ มักจะคิดว่าสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้แต่นางก็พูดไม่ผิดว่าเจ้าคือวัตถุดิบที่ดีสำหรับฝึกการต่อสู้”
นกที่บินไปในทางแสนไกลก็หยุดอยู่ที่กิ่งไม้กลางป่า
กู้อ้าวเวยกับกุ่ยเม่ยขี่ม้าอยู่กลางป่าด้วยความเร็ว กู้อ้าวเวยที่ไม่ได้พักมาเป็นเวลานานแต่ตอนนี้กลับไม่เหนื่อยสักนิดเพียงพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “ถ้าฉลาดพอซ่านจินจื๋อก็ไม่ควรฆ่าทาสเหล่านั้นถ้าทำให้พวกเขาก่อปฏิวัติได้แม้จะเอาคูเมืองนี้กลับไปก็ไม่ใช่ไม่ได้”
“พวกเราสายเกินไปแล้ว อีกทั้งชางหลานจะยอมหลีกทางให้เมืองที่ตีได้ได้ยังไง” กุ่ยเม่ยตามมาติดๆรู้สึกเสียใจที่พานางออกมาด้วย “เจ้าอยากทำอะไรกันแน่”
“ข้าต้องการให้อ๋องจิ้งรับทหารกองทัพนึง”สายตากู้อ้าวเวยเย็นเยือก