บทที่ 490 ทำให้ท่านปวดใจ
ซู๋โหย่วเว่ยถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตูแบบร้อนรน เฟิงเมี่ยวที่อยู่ข้างกายพลิกตัวด้วยความงุนงง ทำเพียงอุ้มโม่เหยียนที่เริ่มโตขึ้นมาหน่อยเข้าสู่อ้อมอก อุดใบหูเอาไว้ พลางเอ่ยเสียงเบา “อาจมีเรื่องฉุกเฉิน”
ในฐานะหมอรักษาคน มักจะยุ่งง่วนอยู่เสมอ ซู๋โหย่วเว่ยรีบลุกขึ้นสวมเสื้อตัวนอก บ่นแต่ว่าเทียนเหยียนแห่งนี้มีเรื่องวุ่นมากมาย ทว่ารอกระทั่งดึงประตูเห็นคนเบื้องหน้า ก็พลอยตกใจสะดุ้งโหยง “ท่าน…”
“ขาของข้าเจ็บปวดรุนแรงนัก อดทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ หวังว่าท่านหมอจะช่วยข้าจ่ายยาที” กู้อ้าวเวยเอนพิงขอบประตู ซ่านจินจื๋อที่อยู่ด้านหลังคอยมองอย่างเป็นห่วง แต่กลับไม่กล้าขยับมือไม้ เพียงแต่ช่วยนางหยิบสูตรยาจากกระเป๋าเงินที่ช่วงเอวยื่นออกไปให้
ซู๋โหย่วเว่ยเห็นตัวยาบนนั้น ก็รีบร้อนไปจ่ายยาทันที พลางกำชับว่า “ท่านช่างไม่เห็นความสำคัญของร่างกายตัวเองเลยจริง ๆ ท่านอ๋องยังไม่รีบอุ้มนางขึ้นบนเตียงนุ่มด้านข้างอีก ดึงฉากกั้นลมแล้วปลดเสื้อด้านนอกออกให้หมด”
“มันยังไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นหรอก” กู้อ้าวเวยผลักซ่านจินจื๋อออกเบา ๆ ตนก็เดินเข้าไปนั่งลง
อย่างไรเสียก็ไม่อยากถอดชุดรุ่มร่ามนี้ นับประสาอะไรที่หน้าหนาวยังหนาวขนาดนี้ เพียงแค่ถอดถุงเท้ารองเท้า และค่อย ๆ ถลกอาภรณ์ด้านล่างขึ้นมา เผยให้เห็นเรียวขาสองข้าง
เรียวขาปานหยกขาวแกะสลักในความทรงจำของซ่านจินจื๋อตอนนี้กลับมีลวดลายแน่นขนัดโยงไต่ขึ้นไป สีอ่อนลงบ้าง แต่มันแผ่ขยายจากข้อเท้าเรื่อยมาจนถึงบริเวณหัวเข่า เท้าหยกสองข้างก็ถูกแช่งแข็งจนนิ้วเท้าเริ่มแดง ดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ยังพอมองเห็นแผลพุพองที่ถูกเจาะที่ฝ่าเท้า ไม่เหมือนกับเรียวขาของคุณหนูเลยสักนิดเดียว
ซ่านจินจื๋อไม่เอ่ยคำในบัดดล ทำเพียงคุกเข่าลงมาครึ่งหนึ่งและแตะที่ขาของนางเบา ๆ “พวกนี้…”
“เป็นของกำนัลทั้งหมดในปีนั้นจากซูพ่านเอ๋อ ยาแกล้งตายที่มีพิษ” กู้อ้าวเวยกล่าวอย่างเย็นชา รีบย้ายขาของตนออกห่างเล็กน้อย กลัวเหลือเกินว่าหากซ่านจินจื๋อแตะมันอีกสองที มันคงจะต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
“ตอนแรกข้ามีเจตนาจะชดเชยให้เจ้า เหตุใดเจ้า…”
“ชิงต้ายเป็นผู้บริสุทธิ์ เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีท่านกับซูพ่านเอ๋อเลย” สายตาของกู้อ้าวเวยเย็นชาขึ้นมาอีกหลายเท่า
ทั้งสองไร้คำพูดไปชั่วขณะ แต่ดีร้ายก็อิบายสาเหตุในตอนแรกได้ชัดเจนแล้ว
ตอนนี้กู้อ้าวเวยเผชิญหน้าอย่างเงียบสงบ มีเพียงหนึ่งเป้าหมาย “ให้ท่านได้เห็นความเจ็บปวดบนร่างกายข้า ก็เป็นการลงโทษต่อท่านแล้ว ถ้าท่านไม่ได้ใส่ความคนตระกูลข้าในปีนั้น ขาสองข้างนี้ก็คงไม่อาจพิการอยู่ท่ามกลางหิมะตกหนักได้หรอก”
ซ่านจินจื๋อลอบกัดฟัน หวนคิดถึงทุกสรรพสิ่งในปีนั้น ตอนนี้คงทำได้เพียงนึกเสียใจภายหลังอย่างเต็มเปี่ยม
ซู๋โหย่วเว่ยบดขยี้ตัวยาพวกนี้อย่างยากลำบาก และวิ่งเข้ามาป้ายให้นาง และตรวจดูลายเส้นบนขานี้โดยละเอียด รู้สึกเพียงแปลกใจ “พิษนี้…”
“เป็นพิษของเจียงเยี่ยน ข้าหาวิธีถอนพิษได้แล้ว แต่เรื่องนี้ข้าไม่อยากให้คนจำนวนมากรู้ ยังหวังว่าท่านหมอจะช่วยปกปิดด้วย” กู้อ้าวเวยรีบเอ่ยคำ หากว่าเรื่องนี้เรื่องนี้ลือไปถึงหูท่านแม่ผ่านใครก็ตาม เช่นนั้นก็คงแย่แน่แล้ว
“ท่านตัดสินใจเองก็พอแล้ว” ซู๋โหย่วเว่ยก็พลอยลอบตกใจด้วย “พิษนี้ฝังอยู่นานมากแล้ว เวลาเดินไม่เจ็บหรือ”
“ยังพอได้” กู้อ้าวเวยใช้ผ้าละเอียดห่อหุ้มตัวยาพวกนี้เอาไว้อย่างดีทีละห่อคราวนี้จึงมองเห็นซู๋โหย่วเว่ยสวมเพียงชุดตัวบาง จึงยิ่งเกรงใจ “ทางข้าไม่มีธุระแล้ว จะขอหลับสักคืนก็ออกไปแล้ว ท่านหมอท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
“ข้าจะไปเสริมเตียงผ้าห่มให้ท่าน ผ่านไปอีกไม่กี่วันชางหลานก็จะหนาวมากแล้ว ขาสองข้างนี้หากไม่รักษาให้ดี ก็น่าจะพิ…” ซู๋โหย่วเว่ยบ่นพึมพำพลางหยิบผ้านวมจากในตู้เสื้อผ้าเข้ามาให้
กู้อ้าวเวยได้ยินจนปวดเศียรเวียนเกล้า ตนปูแท่นเตียงนี้เสร็จแล้ว จึงซุกกระหม่อมนอนแผ่ลงไปทันที เครื่องเงินบนหัวล้วนถูกวางไว้ข้างหมอก ก่อนเอ่ยเสียงเบากับซ่านจินจื๋อ “ข้าจงใจทำให้ท่านรู้สึกละอายใจ ละอายใจพอแล้วก็กลับบ้านไปนอน อย่ามาสาละวันอยู่ที่นี่ ประตูให้สนิทด้วย”
ตั้งแต่ต้นจนจบซ่านจินจื๋อไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ
กู้อ้าวเวยคิดอยู่แล้วว่าซ่านจินจื๋อจะเป็นพวกนิสัยถือดี ตนพูดอะไรเขาก็คงไม่ฟังทั้งนั้น แต่ถ้าหากตนหลับไป เขาก็คงจะออกไปเองนั่นแหละ
เป็นเช่นนี้เรื่อยมา นางตะแคงตัวหลับสู่ห้วงนิทราลึกลงไป คิดแต่ว่าครั้งนี้คงจะเป็นการนอนหลับอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ฝันร้ายก็ไม่อาจมาเยือนอยู่แล้ว
ทว่ารอจนกระทั่งวันถัดมาไก่ทองขันบอกยามเช้า นางได้ยินเสียงกรอบแกรบบนท้องถนนจึงค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา มือข้างหนึ่งกลับแนบลงบนหน้าผากของนาง “ตื่นแล้ว?”
“อืม วันนี้อยากกินเกี๊ยวแล้ว” ยังเข้าใจว่าเป็นกุ่ยเม่ย นางเกือบจะโพล่งออกออกไป ทว่าตอนที่มองเห็นคนตรงหน้า ก็พลันรีบร้อนลุกขึ้นทันที “ทำไมท่านถึงยังไม่กลับไปอีก”
“ในยามปกติกุ่ยเม่ยก็ปลุกเจ้าให้ตื่นแบบนี้หรือ” ซ่านจินจื๋อมุ่นคิ้วน้อย ทำเพียงสวมผ้าคลุมหน้าให้นางอีกครั้ง และหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดปลายตาให้นางอย่างอุดลุต และกดนางลงในอ้อมแขนโดยตรง “เอาเถิด ข้าจะพาเจ้ากลับไป”
“ด้านนอกบนท้องถนนเริ่มมีคนแล้ว ปล่อยข้าลงข้าจะเดินเอง”
กู้อ้าวเวยทิ้งผ้านวมรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้าน หดลำคอลงโดยสัญชาตญาณ ทางฝั่งซ่านจินจื๋อได้สวมถุงเท้ารองเท้าให้นางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พลางสาวเท้าขวับ ๆ ผ่านเบื้องหน้าของเฟิงเมี่ยวที่เปิดประตูออก และรีบสาวเท้าเดินกลับตำหนักอ๋องจิ้ง
ตอนนี้โตงเตงอยู่กลางอากาศ กู้อ้าวเวยทำเพียงกำคอเสื้อของเขาแน่นขืนเอามาบดปังใบหน้าครึ่งซีก ดวงตาคู่หนึ่งจ้องเขา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “ข้าให้ท่านละอายใจ ไม่ได้ให้ท่านชดเชยเสียหน่อย”
“ข้ายังอยากพาเจ้าไปบ้านท่านอาจารย์สักเที่ยว” ซ่านจินจื๋อไม่ได้มองทางนางเลยด้วยซ้ำ ทำเพียงเหลือคางไว้ให้นางมอง
“ข้าไม่ไป ธารภูเขาสูงไกลลิ่ว ช่วงหน้าหนาวแบบนี้ท่านก็คงไม่ได้คิดจะต้องการขาสองข้างนี้ของข้าเลยจริง ๆ”
“ตอนนี้เรื่องสงครามถูกระงับไว้ วันหน้าเกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้เลย ข้าควรจะพาเจ้าไปกราบไหว้ที่หน้าประตูเรือนของท่านอาจารย์กับอาจารย์หญิง และให้พวกท่านได้รับทราบ คนที่อุปนิสัยรุนแรงทั้งชีวิตอย่างข้าก็มีคนในดวงใจแล้วเหมือนกัน” ในถ้อยคำของซ่านจินจื๋อกลับแฝงรอยยิ้มอยู่ในนั้นหลายส่วน
“ท่านทำแบบนี้ช่างน่ารังเกียจนัก” กู้อ้าวเวยขนลุกซู่ทั้งกาย
“ปีนั้นอาจารย์หญิงก็มีท่าทีแบบเจ้านี่แหละ ข้าก็รู้สึกว่าน่ารังเกียจ แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในอ้อมกอดข้า ข้าก็คงไม่อาจก้าวย่ำซ้ำรอยเดิมของท่านอาจารย์ได้หรอก ที่มักจะรักษาระยะห่างกับอาจารย์หญิงตลอด” เอ่ยถึงตรงนี้ ซ่านจินจื๋อก็กอดรัดคนที่อ้อมอกแน่นขึ้นอีก
ปีนั้นที่ท่านอาจารย์กับอาจารย์หญิงจากโลก บิดาจากโลกไป หวนสู่ท่ามกลางข้อพิพาทในเทียนเหยียน เขาเรียนรู้เพียงต้องพับเก็บความยุ่งเหยิง ไม่ร้องขอการเอาใจแต่ร้องขอเจ้าหน้าที่ทางการรอบตัว เพื่อสร้างคุณความดีและตำแหน่งของเขา
ส่วนกู้อ้าวเวยที่ตอนนั้นแกล้งตาย กลับบอกขึง ความรักสองคำนี้ มันสลักอยู่ชั่วชีวิตตลอดกาล
กู้อ้าวเวยกลับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยคำอย่างไรดีไปชั่วขณะ ทำเพียงรักษาความนิ่งเงียบ
กลับมาถึงตำหนักอ๋องจิ้ง ซ่านจินจื๋อกระทั่งไม่ได้ให้นางโรยตัวลงพื้น ก็บัญชาคนไปเตรียมรถม้าหนึ่งคัน และให้คนไปเตรียมหนังสือม้วนและผ้านวมบางส่วนมาให้ แล้วก็ถุงน้ำกำมะหยี่บางส่วน ยิ่งกว่านั้นคือไปรับขนมอบจากร้านอาหารป่ายเว่ยเข้ามาอีกด้วย
รอจนถึงตอนที่ลงถึงพื้น นางก็ได้นั่งสงบนิ่งมั่นคงอยู่บนรถม้าซึ่งคลุมด้วยผ้านวมขนสัตว์ทั่วทั้งผืน คนผู้นั้นยังรองหมอนนุ่มสองใบที่ด้านหลังให้นางด้วย ซ้ำยังใช้ผ้าน่วมห่อหุ้มขาสงข้างของนางอีกอย่างไม่วางใจ
“อย่าบอกข้านะ ท่านจะพาข้ามุ่งตรงไปเรือนท่านอาจารย์ อย่าลืมถึงสถานะในตอนนี้ของข้า และสถานการณ์ในปัจจุบันเชียว” กู้อ้าวเวยมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เริกเปิดม่านรถออกพลางมองคนที่ขับรถผู้นั้น
“เสด็จพี่ให้ข้าพาเจ้ากลับมา เดิมก็คิดอยากจะให้ข้าเก็บเจ้าใส่ในย่ามอยู่แล้ว” ซ่านจินจื๋อโบกแส้ม้า สวมงอบปิดบังเค้าหน้า พลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “นับประสาอะไร ชางหลานนี้ในอนาคตก็ไม่ใช่ของข้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็คงไม่ถึงคราวข้าต้องกังวลใจ”
มองที่แผ่นหลังของซ่านจินจื๋อ กู้อ้าวเวยพลันกำผ้านวมในมือแน่น
ซ่านจินจื๋อคล้ายกับเปลี่ยนท่าทีไปอีกแบบ เดิมคิดจะทำให้เขาละอาย ในเวลานี้กลับเป็นในใจตนเองที่พ่ายแพ้พังครืนลงมาเสียก่อน