บทที่ 510 ระหว่างกาลเวลาและความตรึงใจ
“ปกติแล้วพวกเขาก็ทะเลาะกันแบบนี้ไหม”
เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หาได้ยากที่กู้อ้าวเวยจะสวมใส่ชุดหนักขนาดนี้ ใส่เพียงเสื้อสีเขียวตัวหนึ่ง ผมก็ไม่จำเป็นต้องมัดสูง ใช้เข็มขัดผ้าคาดไว้ที่หลังศีรษะ ขาคู่นั้นที่ซ้อนทับกันดูสง่างาม
ตอนนี้นางและฉูห้าวนั่งอยู่บนขั้นบันไดของทางเดิน ถือขนมอบหลากหลายชนิดไว้ในอ้อมแขน ฉูห้าวเพียงแต่เช็ดดาบในมืออยู่เงียบๆ ส่งเสียงพูดด้วยเสียงต่ำ “เจ้าแอบหลบมาพบข้า หากลุงมาเห็นเข้า เจ้ามี น้าหยุน คอยอยู่เบื้องหลัง แต่ข้ากลับต้องโดนดุ”
“เจ้าเป็นถึงรัชทายาท ยังถูกดุอีกเหรอ” กู้อ้าวเวยถูกเขาขำ
ฉูห้าวรู้สึกปวดหัว “ก็ต้องได้สิ ทำไมข้าถึงได้มีพี่สาวแบบเจ้า……”
“ใครได้เจอข้าก็พูดแบบนี้ทั้งนั้นแหละ” กู้อ้าวเวยได้แต่ยิ้มอ่อน คำพูดพวกนี้มักจะได้ยินจากปากของฉีหลินและซ่านเชียนหยวนอยู่บ่อย ๆ ในเวลานี้ก็เริ่มคิดถึงขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้เจ้าตื่นแล้ว ควรจะไปเยี่ยมซ่านจินจื๋อสักหน่อย” ฉูห้าวจู่ ๆก็เอ่ยปากขึ้นมา “สงครามกำลังจะมา แต่อากลับไม่อยากยุ่งกับการไปทำร้ายคน เขานอนอยู่บนเตียงมาสองวันแล้ว ตอนนี้อาการบาดเจ็บก็ยังไม่หาย เริ่มจะทำเอกสาร รอยแผลก็แตกออกหลายครั้งแต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย”
“อย่างนั้นเขาทำร้ายฝ่าบาทเหรอ” กู้อ้าวเวยถามกลับ
“ตอนนี้ข้ากลับสงสารอ๋องจิ้งนั่นแล้ว” ฉูห้าวยังคงถอนหายใจ “เจ้าจะเห็นได้ว่าลุงเริ่มจะอึดอัด เพียงแต่ทุกวันจะไปสร้างความรำคาญให้กับ น้าหยุน ทุกวันก็จะนอนลงสองสามครั้งก่อนจะหลับไปพร้อมรอยยิ้ม แต่มันก็ดีอยู่นะ”
กู้อ้าวเวยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เดิมคิดจะพูดอีกสองสามประโยค
เห็นฉูหลี่กำลังรีบเดินเข้ามาพร้อมกับหยุนหว่าน ฉูห้าวหันกลับมาเพื่อจะเตือน แต่กลับเห็นเพียงถังไม้ที่แกว่งเบาๆอยู่บนผนังเท่านั้น
“เจ้าวิ่งหนีไปเร็วมาก!” ฉูห้าวเบิกตากว้าง เมื่อเห็นดังนี้ต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อมาถึงหยุนหว่านได้ถาม เขาก็เพียงแต่กระซิบ “นางไปหาอ๋องจิ้ง เพิ่งจะพลิกข้ามกำแพงไป”
“เจ้าเวยเอ๋อนี้…”
“เจ้าคิดว่าลูกสาวจะเย็นชาเหมือนเจ้าหรือป่าว หากไม่ใช่เพราะเจ้าทำร้ายใครบางคนและทำกับนางอย่างโหดร้าย นางก็คงจะไม่ต้องมาปิดบังแม่ตัวเอง” หยุนหว่านยังคงจ้องมองเขา
ฉูหลี่อึ้งไป ไม่มีทางทางอื่นนอกจากตอบรับครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่กล้าจะฝ่าฝืน ฉูห้าวปิดตาของเขาอย่างไม่เต็มใจจะยอมรับว่านี้คือลุงที่โหดร้าย
กู้อ้าวเวยกลับถามหาทางไปจวนบนเส้นทางรถที่คุ้นเคย เมื่อถึงเวลาเข้ามา เฉิงซานก็ไม่ได้รั้งไว้
ซ่านจินจื๋อนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว หนังสือถูกวางกองอย่างแน่นหนาเป็นภูเขาลูกเล็ก ๆ ในแคว้นเอ่อตานนี้ เขาไม่กล้าให้คนอื่นรู้เรื่องเอกสารนี้ ได้แต่ส่งคนไปเฝ้าดู ซ่านจินจื๋อไม่กล้าที่จะรอช้า แต่อนิจจา มีเพียงใบหน้าของเขาที่ซีดจางลง
ก้าวข้ามสิ่งที่กีดขวางทางเดิน เขาก็เงยหน้าขึ้นมา
“กลับมาแล้วก็ไม่อนุญาตให้ออกไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกขังโดยไม่ได้เห็นแสงตะวัน จะเห็นแต่ข้าเท่านั้น”
ซ่านจินจื๋อวางม้วนหนังสือในมือ พูดอย่างข่มขู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
“แม่ยังไม่เคยมาพูดจาข่มขู่ข้าเลย เจ้าเป็นคนที่ติดหนี้ข้าอยู่มากยังจะกล้ามาข่มขู่ข้า” กู้อ้าวเวยค่อยๆเดินเข้าไป นั่งลงข้างเขา สัมผัสแขน พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ถ้าเจ้าขังข้าอีกครั้ง ภายหน้าข้าก็คงไม่เหลือความรักให้เจ้าอีก”
“ปราศจากความรัก ก็ดีกว่าสูญเสียชีวิตเจ้าไป” ซ่านจินจื๋อมองไปยังนาง “อย่าไปคิดว่าข้าจะถูกกินจนตายจริง ๆ “
“อย่าได้สูงส่งอะไรขนาดนี้ อย่าลืมสิเจ้าบอกว่าจะเชื่อฟังข้า”
“อย่าได้เอาตัวเองเป็นที่ตั้งเพื่อจะทำร้านตัวเองเลย” ซ่านจินจื๋อคว้ามือของนาง เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของนางยังใส่ไว้อย่างไม่ถูกต้อง จึงยกมือขึ้นช่วยนางจัดให้เรียบร้อย และหันศีรษะกลับมา “ข้ายังมีหนังสือราชการอีกนิดหน่อยที่ต้องดู เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่เถอะ”
ซ่านจินจื๋อกินยาผิดมาหรือไง
กู้อ้าวเวยไม่ได้สนใจที่จะพูดอะไรกับเขา มุ่งตรงไปเปิดเสื้อของเขาขึ้น สาวใช้ที่ประตูรีบหันออกไปเพราะไม่กล้ามอง ซ่านจินจื๋อถึงกับผงะไปชั่วครู่ กู้อ้าวเวยถอดเสื้อคลุมของเขาออก จนเห็นเนื้อผ้าชั้นดีที่อยู่ด้านใน มีเลือดไหลมาเปื้อนสองสามแห่ง
“เจ้านี้เก่งจริงนะ ได้รับบาดเจ็บสาหัสยังจะมานั่งอ่านหนังสือราชการอยู่ที่นี่เหรอ”
กู้อ้าวเวยจงใจตบไปที่แผลหนึ่งที ซ่านจินจื๋อเจ็บจนถึงกับกัดฟัน
“เจ้าก็รู้จักความเจ็บไม่ใช่เหรอ” กู้อ้าวเวยพูดอย่างเย็นชา ค่อยๆลุกขึ้น “เนื่องจากเจ้าได้รับบาดเจ็บจากฝีมือพ่อของข้า และก็ถือเป็นการที่เจ้าเอาคืนข้า”
เมื่อเห็นว่าคนๆนี้กำลังจะจากไป ซ่านจินจื๋อจึงรีบดึงกลับมา “ในตอนแรก เจ้ารักษาบาดแผลอยู่ในตำหนัก รู้สึกเจ็บปวดทั้งวันทั้งคืนหรือเปล่า”
“ไม่เป็นความจริง” กู้อ้าวเวยหันกลับมา พูดด้วยเสียงกระซิบ “เจ้าเป็นแค่แผลที่ผิวหนัง ไม่เข้าไปถึงปอดถึงกระดูกหรอก แต่ข้านี่สิเมื่อเข้าสู๋ฤดูหนาวฤดูฝน ในใจกลับเจ็บปวดยิ่งนัก เส้นลมปราณเหนือไหลปล้าร้าบาดเจ็บ การเขียนหรือทำงานหนักจะทำให้ยิ่งปวดมากขึ้น”
“สิ่งที่เจ้าทำขึ้นตั้งแต่ต้น ล้วนสร้างหนทางชีวิตที่เหลือของข้า”
แม้ว่ากู้อ้าวเวยจะพูดอย่างใจเย็น แต่ซ่านจินจื๋อกลับไม่รู้สึกถึงอาการบาดเจ็บบนผิวหนังนั้น
“หากเป็นเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่ข้าสมควรได้รับ” ซ่านจินจื๋อกลับไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังดึงตัวไว้อย่างแรง เข้าสู่อ้อมแขน มองไปอย่างดวงตาสีดำของนางอย่างละเอียด “นี่เป็นฝันร้าย ให้ข้าส่งเจ้าเถอะ”
“ถ้ารู้ก็ควรจะขอโทษก่อน” กู้อ้าวเวยไม่ได้ขัดขืน เพียงแต่มองเขาอย่างดื้อดึง
“ขอโทษ”
เสียงที่นุ่มนวลนี้ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แม้แต่แขนที่ได้รับบาดเจ็บก็ถูกรัดแน่น
ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้กู้อ้าวเวยรู้สึกไม่เป็นอิสระ มีเพียงมือข้างหนึ่งที่กดอยู่บนไหล่ข้างที่ไม่เจ็บปวดของเขา “ข้าไม่ชอบเห็นบาดแผลของคนที่เปิดออก ข้าจะเปลี่ยนยาอื่นให้เจ้า”
“ทำไมเจ้าไม่มาด้วยตนเองล่ะ” ซ่านจินจื๋อยังคงจับนางไว้ด้วยมือข้างเดียว แล้วใช้อีกมือนึงยกเอกสารราชการขึ้นมา “ยิ่งกว่านั้นข้ามีหนังสือราชการอีกมากมาย ไม่มีเวลาสำรอง”
“ข้าปวดหัว เจ้ายังห่วงข้าอยู่ไหม” กู้อ้าวเวยกลอกตาของนาง
“เจ้ากลับจำเรื่อที่นัดกันตอนเดือนหนึ่งได้ อีกไม่กี่วันก็จะหนึ่งเดือนเต็ม เจ้าทำเรื่องพวกนั้นเสร็จหรือยัง” ซ่านจินจื๋ออ่านหนังสือราชการไปด้วยถามนางไปด้วย กลับไม่สนใจว่านางกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งจะสามารถเห็นข้อความบนหนังสือราชการเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
กู้อ้าวเวยไม่ต้องการจะเพิกเฉยต่อการกระทำของคนคนนี้จึงต้องแสดงความภักดีออกไป
“ยังไม่ทำอะไร แต่ข้าสัญญากับแคว้นเจียงเยี่ยนไปแล้วว่าจะให้ม้าหนึ่งพันตัว แผ่นดินแคว้นชางหลานอุดมสมบูรณ์…..”
“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเจ้าออกไป แต่ท่านลุงก็เห็นด้วย” พูดถึงตรงนี้ ซ่านจินจื๋อก็เพียงแต่เงยหน้าขึ้น มองไปยังคนที่เดินเข้าประตูมา จึงรีบรวบเสื้อผ้าจัดแต่งให้ดี แล้วลุกขึ้นยืน “ท่านลุง”
ฉูหลีถูกซ่านจินจื๋อให้ไปเชิญท่านลุงมาที่นี่แต่ก็ไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเห็นชุดของซ่านจินจื๋ออยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย แต่ชุดของกู้อ้าวเวยกลับเรียบร้อยดี ทั้งสองคนมีความใกล้ชิดกันแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะอยู่ข้างๆ เขาจะต้องดุสอนกู้อ้าวเวยเป็นแน่
ตอนนี้หยุนหว่านถึงกับปวดหัวเมื่อเห็นสิ่งนี้ แต่ฉูหลี่กลับทำร้ายคน เรื่องสถานะของอีกฝ่ายอย่างอ๋องจิ้งก็ถูกปกปิด เป็นการลงโทษเล็กน้อย ตอนกำลังเข้ามาได้ยินกู้อ้าวเวยพูดถึงเรื่องม้าศึกพันตัว ก็ทำอะไรไม่ถูก “เจ้าไปตกลงแบบนั้นได้อย่างไร”
“เพียงแค่ให้ล่ายเสวียนใช้งาน ครึ่งต่อครึ่ง บางทีเขาอาจจะใช้ม้าศึกพวกนี้เพื่อตอบโต้กลับ หรืออาจจะใช้ม้าศึกให้กลายเป็นคมดาบ” กู้อ้าวเวยก็รีบลุกขึ้นทันที มองไปยังฉูหลี่อีกครั้ง “ข้าใช้ม้าศึกพันตัวมาเป็นเดิมพัน หากเดิมพันชนะ พวกเราก็สามารถจะใช้พวกทาสเหล่านั้นได้ แต่หากเดิมพันแพ้ มันก็เป็นเพียงความผิดขององค์หญิงแคว้นเอ่อตานเพียงคนเดียว ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าซูพ่านเอ๋อคือองค์หญิงของแคว้นเอ่อตานในตอนนี้”
ไม่เพียงแต่ต้องการให้นางเป็นศัตรู แต่ยังต้องการให้นางเป็นแพะรับบาป” ในที่สุดซ่านจินจื๋อก็เข้าใจการกระทำของนา