บทที่ 520 ปมในใจที่ยากจะแก้ไข
ชิงจือนั่งอยู่ข้าง ๆ ระเบียงดอกไม้ ในมือพลางก็เล่นไม้สลักไปด้วย
สายตาของกู้อ้าวเวยไม่เคยได้ละไปจากชิงจือ ส่วนกุ่ยเม่ยก็ยังคงจ้องมองนางด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ลดละ “เรื่องนี้เดิมทีเป็นความผิดของท่านอ๋อง ท่านจะไม่ใช่คนไปได้อย่างไรกัน”
“ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวหรอกที่บอกกับข้าเช่นนี้ ข้าเคยได้ยินพวกบ่าวรับใช้ในจวนพูดเรื่องนี้มาก่อน” กู้อ้าวเวยได้หลุบตาลง มือประคองเอายาน้ำที่รสชาติขมฝาดเอาไว้ “แต่ข้าไม่คิดนะว่าข้าทำอะไรผิด เพียงแค่นิ่งสงบเอาไว้แล้วออกมาจากปัญหามาได้ไม่ใช่ง่าย ๆ ไม่ควรจะเป็นแบบนี้หรอ?”
“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ”กุ่ยเม่ยดึงเอายาน้ำรสชาติขมฝาดจากในมือนางมา วางลงที่ข้างฝ่ามืออย่างเหนื่อยใจ “แต่ท่านอ๋องใส่พระทัยท่าน”
“นี่เจ้ากลายเป็นคนของเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”กู้อ้าวเวยมองปะหลับปะเหลือก
“ก็ตอนที่พระองค์ได้ให้ข้ามาดูแลท่าน”กุ่ยเม่ยจ้องมองนางด้วยท่าทางจริงจัง “แต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ออกมาง่าย ๆ อีกทั้งไม่ชอบให้ใครมาเห็นท่าทางของท่านในตอนที่อ่อนแอ……แต่ข้าล้วนแล้วแต่เคยเห็นมาก่อนทั้งนั้น”
“ข้าเชื่อเจ้า”กู้อ้าวเวยกระซิบพูด แล้วหลบสายตา “ข้าเชื่อเพียงแค่เจ้าและชิงจือเท่านั้น”
“ฮูหยินและฝ่าบาทเล่า?ยังมีน้องชายคนนั้นที่ฏิบัติกับท่านเป็นอย่างดี?”
“ไม่เชื่อ”กู้อ้าวเวยบิดที่ปลายแขนเสื้อ เพียงแค่กดเสียงให้ทุ้มต่ำลงอีก กระซิบพูดว่า “ข้าคิดว่าพวกเขาตายกันไปหมดแล้ว แต่พวกเขากลับยังมีชีวิต”
“สำหรับข้าแล้วนั้น เรื่องเป็นเรื่องตายมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ข้ารู้สึกได้ลึก ๆ ว่ากำลังโดนหลอก ในเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องทำอย่างนั้น แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะวางใจไปได้อย่างไร หมดหนทางที่จะมั่นใจได้ว่าเรื่องพวกนี้ถ้าสูญเสียไปแล้วจะกลับมาอีกได้หรือไม่ และเพราะว่ามันเป็นแบบนี้ ข้าเองก็เคยใช้เรื่องการตายของตัวเองมาหลอกลวงซ่านจินจื๋อ ดังนั้นแล้วใจข้าก็รู้สึกผิดต่อเขา”เสียงของกู้อ้าวเวยพลันก็ดังขึ้น ไหล่ทั้งสองสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย “ข้าอยากจะแก้แค้นเขา แต่ข้าก็ยิ่งทนไม่ได้ที่จะใช้เรื่องการตายมาหลอกเขา เพื่อแลกมาซึ่งความรักของเขา ข้าไม่มีหนทางที่จะจัดการเรื่องนี้ได้”
คำพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจล้วนแต่พรั่งพรูออกมาได้ไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน แต่ไหนแต่ไรมากู้อ้าวเวยเปิดเผยตรงไปตรงมาต่อกุ่ยเม่ย
นางเคยเห็นความเป็นความตายที่หลุดลอยออกจากมือของนางไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าคนข้างกายกลับคุ้นเคยเป็นอย่างดีว่าจะใช้ความเป็นความตายเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เท่านี้ เหมือนกันว่าคนพวกนี้เอาของที่นางให้ความสำคัญที่สุด มาเป็นอาวุธหรือไม่ก็เพียงหมากตัวหนึ่งในกระดาน
ถ้าหากว่ามีวันนึงเชื่อเข้าล่ะก็ ความเจ็บปวดจะต้องเกิดขึ้นกับตัวเป็นแน่
กุ่ยเม่ยอ้าปากค้าง สายตาพลันก็หยุดลงตรงที่กำแพงของเรือนพักอย่างไม่ทันได้รู้ตัว — ฉูหลี่และซ่านจินจื๋อกำลังรอเอาคำตอบอยู่ที่นั่น
“ท่านกลัวว่าพวกเขาจะจากท่านไปอีกครั้ง?”กุ่ยเม่ยลองโยนหินถามทางขึ้น
“สิ่งที่กลัวไปกว่านั้น ข้ากลัวความเจ็บปวด”เล็บที่อวบอิ่มจิกฝังลงบนกลางฝ่ามือ ความรู้สึกที่ปวดศีรษะเข้าอย่างหนักหน่วงทำให้นางต้องหลับตาลงอย่างทนไม่ได้ เรียวนิ้วจิกกำเสื้อผ้าตรงท้องน้อย “เห็นอยู่ว่าข้าเป็นหมอ แต่กลับช่วยพวกเขา และซีจือเอาไว้ไม่ได้”
กุ่ยเม่ยไม่ได้เร่งเร้าถามต่อไปอีก เพียงแค่เดินตรงไปด้านหน้าประคองนางเอาไว้แนบอก ให้นางเอนพิงลงที่ไหล่ของตนเอง รับรู้ได้ว่าบริเวณหัวไหล่เปียกชื้นขึ้น เพียงแค่ค่อย ๆ นวดให้ที่ศีรษะเบา ๆ “ทั้งฮูหยินและฝ่าบาทก็ล้วนพยายามกันอยู่”
ปลายจมูกของกู้อ้าวเวยฝังลงบนไหล่ของเขา ทั้งสองข้างต่างก็โอบรัดด้านหลังของเขาเอาไว้แน่น ที่เรียวนิ้วซีดขาวเพราะว่าออกแรงไปมาก “ข้ามักจะทำให้พวกเขาเป็นห่วง”
เหมือนกับว่าโดนนางเด็กน้อยคนนี้พูดล้อเล่นขึ้นถึงทำให้หัวเราะออกมา กุ่ยเม่ยเพียงแค่นวดลงเบา ๆ ที่ด้านข้างลำคอของนาง พยักหน้าลง “ถ้าหากว่าเป็นข้า ก็ไม่อยากให้ท่านแม่ต้องกังวลเช่นกัน แต่ว่าชายหนุ่มกลับชอบให้คนที่ตัวเองรักแสดงถึงด้านที่อ่อนแอออกมาให้เขาได้รับรู้”
“แต่ว่าเขาจะทำร้ายข้าได้”กู้อ้าวเวยสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่กลับเช็ดน้ำตาของตัวเองบนไหล่ของเขาด้วยท่าทีมั่นใจ “เมื่อก่อนฝ่าบาทเองก็ต้องเคยทำให้ท่านแม่ร้องไห้มาก่อน ถ้าหากว่าข้าไม่คอยเป็นกองหนุนให้กับท่านแม่ แล้วเขารังแกท่านแม่อีกข้าควรจะทำเยี่ยงไร?”
“ท่านก็พูดไม่มีเหตุผล”กุ่ยเม่ยขบคิดเรื่องนี้เข้าด้วยท่าทางจริงจัง พอคิดมาคิดไปแล้ว ก็ยื่นมือออกไปนวดเข้าที่ศีรษะของนาง “แต่ว่าต่อไปไม่ว่าต่อหน้าใครแล้ว เจ็บก็คือเจ็บ จะร้อนหรือว่าจะหนาวก็ต้องพูดออกมา จะเก็บเอาไว้ในใจแบบนี้ไม่ได้”
กู้อ้าวเวยหดไหล่ลงอย่างยอมรับในชะตากรรม ตอบรับอืมด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ที่ขมุกขมัว “ข้าอยากนอนแล้ว”
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน”กุ่ยเม่ยกวักมือเรียกชิงจือที่อยู่ตรงระเบียงดอกไม้ จากนั้นก็มองไปที่ท้องฟ้า “ให้ชิงจืออยู่เป็นเพื่อนท่านด้วยอีกคน”
ชิงจือพุ่งตัวถลาเข้ามา ดึงที่ชายกระโปรงของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยอุ้มเขาขึ้นทั้งที่ดวงตายังคงแดงระเรื่อ แล้วก็เดินเข้าไปด้านในพร้อม ๆ กับกุ่ยเม่ย
ฉูหลี่และซ่านจินจื๋อที่อยู่ด้านนอกของเรือนก็ค่อย ๆ คิดวกไปวนมาอยู่กับตนเอง คนแรกกลัวว่าต่อไปไม่ว่าบุตรสาวคิดจะทำอะไรก็ไม่กล้าจะสอนด้วยท่าทีโมโห แต่คนหลังกลับอยากจะตบบ้องหูตัวเองในวันนั้นที่พูดเรื่องนี้ออกไป
ท้ายที่สุด ทั้งสองคนสบตากัน สายตาของฉูหลี่กลับยังคงไว้ด้วยความดุดัน “ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก ข้าจะไม่ยอมให้เวยเอ๋ออยู่กับเจ้าอีก”
“เป็นข้าที่หุนหันเกินไป”ซ่านจินจื๋อเอามือกุมขมับเอาไว้ เบิกตาจ้องมองฉูหลี่ที่ผละตัวออกไป
ในหัวก็คิดสะระตะวุ่นวายยุ่งเหยิง
ถึงแม้ว่าจะโกรธ แต่กู้อ้าวเวยก็ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลเป็นของตัวเอง รวมถึงสิ่งที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตัวเอง นางก็ทำไม่ได้ขนาดที่ว่าเชื่อจนหมดหัวใจ ในใจมีหลักการเหมือนกันว่ามีกฎเกณฑ์สร้างมันขึ้น
ซ่านจินจื๋อมีโอกาสเป็นหนที่สอง เพียงเพราะว่ากู้อ้าวเวยในวันนั้นที่ได้แกล้งตายอย่างกระทันหัน หลอกลวงใช้ความรู้สึกผิดของเขาเป็นเครื่องมือ ผลก็คือเขาเองก็ยังเปลี่ยนนิสัยของตัวเองไม่ได้ เพียงค้นหาทำความเข้าใจนาง ยิ่งไปกว่านั้นพออยู่ในช่วงเวลาคับขันกลับไม่กล้าพูดหรือแสดงอะไรออกไปตามอำเภอใจโดยไม่ยั้งคิด
ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน จวบจนกระทั่งว่าที่ด้านในไม่ได้มีเสียงอะไรอีกต่อไป เขาจึงมาถึงที่ห้อง
กุ่ยเม่ยดูเหมือนว่าจะอยู่กับกู้อ้าวเวยมาเป็นเวลานาน ตอนนี้กำลังเอนพิงอยู่ข้างเตียง ลากเอาโต๊ะตัวเล็ก ๆ มาไว้ข้างกายเพื่อจัดการธุระของตัวเอง ชิงจือเองก็ยังไม่ได้นอน เพียงแค่อยู่ข้างกายกู้อ้าวเวย เล่นของเล่นไปอย่างเงียบ ๆ
“ข้าเพียงแค่ช่วยพระองค์ถามครั้งนี้เท่านั้น”กุ่ยเม่ยจ้องมองเขาด้วยแววตาที่เยียบเย็น
คนที่เคยเป็นนายมาก่อนบัดนี้กลับกลายคนใจร้ายที่มาทำร้ายคนใกล้ชิดของเขา แต่เพราะว่าเขารู้สึกเคารพและซาบซึ้งถึงได้เรียกเขาว่าท่านอ๋อง แต่นี่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เขาทำร้ายกู้อ้าวเวยไปได้
“ขอบใจมาก”ซ่านจินจื๋อย่างเท้าตรงมาที่ขอบเตียง แล้วก็ซุกที่มุมด้านหลังของนาง “นางยังคงพูดถึงบ่อย ๆ ว่าเจ็บตรงบริเวณหน้าอก นอนหลับได้ไม่นานก็มักจะสะดุ้งตื่นมาได้ง่าย ๆ แถมยังมีข้อเสียที่ชอบปวดหัวบ่อย ๆ”
กุ่ยเม่ยกอดชิงจือเอาไว้กับอก จ้องมองที่เขา “โดยส่วนใหญ่แล้วน่าจะเป็นเพราะโรคหัวใจ ตอนเริ่มแรกเลยช่วงจังหวะที่จากไปนั้น ทุกครั้งนางจะสะดุ้งตื่นจากความฝันแล้วเรียกหาป๋ายมี่และซีจือสองชื่อนี้ แต่ว่าเมื่อหลังจากที่มีชิงจือแล้ว สภาพจิตใจก็นับว่าดีขึ้นมาก”
เมื่อพูดเรื่องนี้จบ กุ่ยเม่ยก็ได้กอดชิงจือออกไปเล่นกันที่ด้านนอก
ทิ้งให้คนสองคนอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในห้อง
ชิงจือเอนแนบกายอยู่ในอ้อมกอดของกุ่ยเม่ย ถามเขาว่า “ท่านพ่อ?”
“คนที่อยู่ข้างในสิถึงใช้”กุ่ยเม่ยหยิกเข้าที่แก้มของเขา “ไม่แน่ว่าต่อไปเจ้าเองก็จะเป็นท่านอ๋องน้อย”
ชิงจือกำลังรู้สึกงุนงงสับสน เพียงแค่รู้สึกประหลาดใจ “แต่ท่านย่าบอกว่าเขาทำร้ายท่านแม่ ทุกครั้งที่ท่านแม่ตื่นขึ้นมา ก็ล้วนตัวเย็นเฉียบ”
กุ่ยเม่ยกอดเขาไว้แน่นขึ้นไปอีก กระซิบพูดว่า “เช่นนั้นต่อไป ชิงจือต้องดูแลท่านแม่ให้ดี ๆ จะได้ไหม?”
“ได้สิ”ชิงจือหอมเข้าที่ข้างแก้มของกุ่ยเม่ย กุ่ยเม่ยเองก็คลายความโกรธลง
คำสาบานบางอย่าง มักจะจดจำอยู่ในใจของเด็กไปจนชั่วตลอดชีวิต
จนกระทั่งตื่นขึ้นในรุ่งเช้าของวันถัดมา กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอนแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดที่แข็งแกร่งและอบอุ่น ขนตาค่อย ๆ สั่นไหวน้อย ๆ ลืมตาเปิดขึ้นจากบริเวณทรวงอกของชายหนุ่มที่แหวกเสื้อออก
“ข้าได้ยินหมดแล้ว เป็นความผิดของข้า”ซ่านจินจื๋อกอดคนที่อยู่ในอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก “ข้าจะไม่บอกท่านป้าหรอกนะ เจ้าให้ข้าดูหน่อยได้ไหมว่าแผลเป็นอย่างไรบ้าง ?