บทที่ 540 ใช้ประโยชน์จากใบมีดหรือเครื่องตัด
“พวกเศษขยะจริงๆ”
กู้อ้าวเวยมองตาอย่างเย็นชา อีกทั้งยังเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่อยู่บนหัวครู่หนึ่ง “กินข้าวหรือยัง”
“ยังเลย” ซ่านจินจื๋อชี้ไปที่สนามฝึกซ้อมด้านข้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชุดฝึกซ้อมทั้งตัวของเขา ผมรวบขึ้นสูงๆ มีกลิ่นอายของความดุดันหลายเท่ามากกว่าปกติหลายเท่าเลย
“งั้นข้าก็กินมื้อนี้กับเจ้า หลังจากนั้นสอนพวกเขาให้รู้หนังสือหน่อย ตอนดึกพวกทหารที่ออกไปสืบข่าวสอดส่องพวกนั้นก็ควรจะกลับมา ได้ยินว่าเจอมือสังหารเล็กน้อย ข้าต้องรออยู่” กู้อ้าวเวยพลางพูดไปพลางเดินไปข้างหน้า
ซ่านจินจื๋อได้แต่โบกมือให้เฉิงซานที่ตามติดกู้อ้าวเวยอยู่ คนที่อยู่ด้านหลังก็ไปจัดการพวกหนอนหนังสือเหล่านั้นเสีย
สองคนไม่อยากจะเป็นคู่รักที่รักจนออกหน้าออกตา แต่กลับเหมือนสามีภรรยากัน เดินอยู่บริเวณรอบๆ สนามฝึกซ้อม ทหารไม่น้อยที่ได้เห็นต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ “คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องยังมีด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้ด้วย”
“ไม่เพียงแค่นั้นนะ องค์หญิงท่านนี้เหมือนกับพระชายาจิ้งองค์ก่อนไม่ปาน ก็เป็นหมอที่มีเมตตา อีกทั้งยังฉลาดมากด้วย หลายวันก่อนพี่น้องของข้าออกไปสืบข่าว แขนใกล้จะหลุดออกมาแล้ว ฝ่าบาทท่านนี้ก็ช่วยรับกลับมาเองเลย”
ระหว่างนั้นชั่วขณะ ทหารที่อยู่ข้างสนามฝึกซ้อมต่างพูดคุยกันอย่างวุ่นวายยกใหญ่
หูของซ่านจินจื๋อได้ยินได้ดีมาก ได้ยินที่พวกเขาชมเชยกู้อ้าวเวยเช่นนี้ ในใจกลับเต็มไปด้วยความปลื้มใจ
เขาก็เคยแอบพาซูพ่านเอ๋อมาที่นี่เช่นกัน แต่ไม่มีสักคนที่พูดถึงซูพ่านเอ๋อในทางที่ดีเลย โดยส่วนใหญ่ก็พากันพูดว่านางเป็นมารที่ทำให้ประเทศชาติล่มจม
กู้อ้าวเวยไม่ได้ใส่ใจกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เลย ได้แต่ค่อยๆ คิดอย่างละเอียดว่าทหารกลุ่มเล็กที่ออกไปสืบข่าวนั้นถูกอะไรโจมตีกันแน่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นพวกทหารที่มาจากไหนกันแน่
มาถึงในกระโจมกินข้าวเที่ยงเรียบร้อย ซ่านจินจื๋อก็ไปชี้แนะวิชาหมัดที่สนามฝึกซ้อมต่อ แล้วก็ให้กู้อ้าวเวยสวมหมวกคลุมหัวนั่งอยู่ที่ข้างสนามฝึก ทหารที่ว่างแล้วก็เข้าไปสอบถามพูดคุยกับนาง
เมื่อก่อนกู้อ้าวเวยก็เคยทำเรื่องเช่นนี้ บัดนี้มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำ
ซ่านจินจื๋อมองไปทางกู้อ้าวเวยหลายต่อหลายครั้ง สิ่งที่ปรากฏออกมาในดวงตาโดยมากกลับเป็นรอยยิ้ม
หนึ่งวันก็ผ่านไปเช่นนี้ รอจนถึงตอนดึก กลุ่มพลทหารที่ไปสืบข่าวรีบพากันกลับมา รายงานว่าเจอเข้ากับคนของแคว้นซิน เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามอยากจะหาอะไรบางอย่าง ก็เลยเกิดเรื่องขึ้น
ซ่านจินจื๋อยืนอยู่ด้านข้างสอบถามอย่างละเอียด กู้อ้าวเวยกดแขนของคนไข้ข้างหนึ่งเอาไว้แน่น พูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “เอายาสมุนไพรที่ข้าเคยเตรียมให้ก่อนหน้านั้นไปต้มแล้วเอาเข้ามา เรียกมาอีกสองคนมากดเขาเอาไว้ ข้าจะใช้มีดแล้วนะ”
“รับทราบ” ทหารใหม่สองนายที่อยู่ด้านข้างมองไปตรงตำแหน่งที่เนื้อเปิดออก รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน
พลทหารของแคว้นซินนั้นไม่รู้ว่าใช้อาวุธอะไรในยุทธภพ เอาหนังที่อยู่ภายนอกนั้นลอกออกมาได้ทั้งที่ยังเป็นๆอยู่ พวกเขาได้แค่พันแผลอย่างชุ่ยๆ เสร็จแล้วก็เอาคนส่งกลับมา
“ท่านอ๋อง ให้พวกเรามาเป็นคนผ่าออกจะดีกว่ากระมัง ยังไงฝ่าบาทก็……” หมอท่านหนึ่งที่อยู่ด้านข้างยังมีความสงสัยเล็กน้อย
“ไม่จำเป็น” ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นห้ามปรามเอาไว้ ยืนอยู่ที่หน้าประตูถามว่า “แคว้นซินด้านนั้นมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”
“บอกว่าคนของสำนักเหลี่ยงหยีชางหลานลอบสังหารฮ่องเต้ มือสังหารถูกจับไปสอบปากคำ โดนทรมานในคุกแล้ว แต่วันนี้แม้แต่คำเดียวก็ไม่ได้พูดถึง พวกเขาก็ส่งคนมาสืบข่าวเช่นกัน แต่ระหว่างทางเจอกับอาวุธของมือสังหารไม่น้อยเลย คิดไปคิดมาน่าจะเป็นของที่สนามรบเก่าแถวนั้นหลงเหลือเอาไว้” รองนายพลพูดอย่างตรงไปตรงมา ยังได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมานจากบนเตียงที่อยู่ด้านข้างดังมาเรื่อยๆ
กู้อ้าวเวยตั้งใจอย่างที่สุดจึงไม่ได้ยินเสียง ซ่านจินจื๋อกลับเข้าใจดีว่ามือสังหารที่พูดถึงที่แท้เป็นใครกันแน่ บัดนี้กู้เฉิงยังจงใจจะบอกว่ามือสังหารนั้นไม่ใช่ซูพ่านเอ๋อ ยังส่งคนมาแสดงเจตจำนงกับกู้อ้าวเวย กลับคิดไม่ถึงว่าจะทำร้ายถูกคนของตัวเอง
“ให้คนไปกดดันหน้าแคว้นซิน วันหลังหากเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก ไม่ต้องพูดเยอะ บุกโจมตีเลย” ซ่านจินจื๋อออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดออกไป
บัดนี้แคว้นซินพื้นที่มากกว่าแคว้นเจียงเยี่ยนครึ่งหนึ่ง ในนั้นคนส่วนใหญ่เป็นพวกต่างเผ่าที่เลี้ยงสัตว์อย่างอิสระ แน่นอนว่ารวมใจเป็นหนึ่งไม่ได้ หากจะบุกโจมตี ก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงทหารเยอะ
หลายคนพากันเข้าใจ เขายังสั่งการเรื่องอื่นอีกเล็กน้อย
หลังจากนี้ก็รออยู่ที่ข้างประตู จวบจนเช้าตรู่ฟ้าจึงสว่างขึ้น กู้อ้าวเวยจึงเดินออกมาด้านนอก ชายแขนเสื้อล้วนเต็มไปด้วยเลือดไม่น้อยเลย พอหยุดมือก็รู้สึกว่าตรงหน้าค่อยๆ มือลง
ซ่านจินจื๋อมารับเข้าในอ้อมอกได้ทันเวลา เช็ดเหงื่อเย็นที่อยู่บนหน้านาง แม้แต่ริมฝีปากยังซีดเลย
“กินอะไรหน่อยค่อยนอน” ซ่านจินจื๋อเอาคนเอนพิงไว้ที่บนบ่าของตัวเอง มืออีกข้างหนึ่งก็เคยชินกับการโอบเอวฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ ดุเหมือนกับว่าครึ่งลากครึ่งพยุงดึงคนมาที่โต๊ะไม้ข้างๆ เทน้ำน้ำแกงด้วยตัวเอง ป้อนคำต่อคำ แม้แต่หมั่นโถวซาลาเปาที่เอามาก็ฉีกออกเอาเข้าปากนาง
กู้อ้าวเวยก้เหนื่อยมากเช่นกัน ได้แต่อ้าปากอย่างเชื่อฟัง แม้แต่มือก็ไม่อยากขยับ กินซาลาเปาไปครึ่งอัน นางก็พิงไปที่ไหล่ของซ่านจินจื๋อหลับไปแล้ว
นายทหารที่จะมารายงานสถานการณ์ในตอนเช้าล้วนไม่กล้าเข้าใกล้
ซ่านจินจื๋อได้แค่ค่อยๆ อุ้มคนไปนอนให้ดี อีกทั้งยังไม่วางใจเลยกล่อมไปกล่อมมาอีก ออกปากพูดกับนายทหารว่า “นอกกระโจมห้ามใช้เสียงดัง รอจนถึงตอนบ่ายทำของกินอร่อยส่งเข้ามา”
“รับทราบ” รองนายพลพยักหน้าอย่างไม่รีรอ ได้แต่มองซ่านจินจื๋อจัดแจงคนให้นอนดีแล้ว รีบออกไปอีก ทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ของแต่ละด้าน
รอจนกู้อ้าวเวยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา กินอะไรแล้วก็ออกจากกระโจมไป ทหารที่อยู่แถวนั้นจึงบอกนางว่า “ท่านอ๋องไปโรงเก็บอาหารแล้ว บอกว่าให้ท่านรอเขา อีกสองวันก็จะออกเดินทางแล้ว”
กู้อ้าวเวยนวดไหล่ที่เริ่มปวดไปมา ส่ายหน้า “ไม่จำเป็นแล้ว งั้นก็สอนพวกนายทหารให้เรียนรู้หนังสือแบบเมื่อวานดีกว่าเถอะ”
ระหว่างที่พูดอยู่ นางก็เดินไปทางที่ตนเองเคยไปก่อนหน้านั้น
ผ่านไปครึ่งทางเฉิงซานก็ถูกส่งกลับมาอีกรอบ นำเรื่องเมื่อวานบอกนาง ยังถามอีกว่า “ไม่ต้องสนใจซูพ่านเอ๋อหรือ”
“ไม่ต้องสนใจ กู่เซิงมีวิธีที่จะจัดการนาง” กู้อ้าวเวยช่วยคนเขียนชื่ออย่างตั้งใจ พูดต่ออีกว่า “เจ้าไปแคว้นซินส่งจดหมายอีกรอบ แค่กู้เฉิงปฏิบัติต่อซูพ่านเอ๋อดีๆ เหลือไว้เพียงร่างและชีวิตของนาง นอกนั้นไม่ต้องสนใจ ยังบอกอีกว่าเคล็ดวิชาลับของข้าใกล้จะหาเจอแล้ว”
“รับทราบ” เฉิงซานไปจัดการอย่างเข้าใจ
กู้อ้าวเวยแววตาเย็นชาปรากฏขึ้น มองดูตัวอักษรที่ใช้แรงกดภายใต้พู่กัน ได้เพียงปล่อยมือออก พูดเบาๆ ว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน นอกจากนี้จะต้องมีเคล็ดลับที่……”
ซ่านจินจื๋อได้ฟังคำพูดของเฉิงซาน หัวเราะอย่างจืดๆ “คำพูดของนางนี้ จงใจให้เจ้ามาพูดให้ข้าฟัง”
เฉิงซานไม่เข้าใจ ซ่านจินจื๋ออ้อมไปตั้งไกล ถึงจะเปิดปากพูด “ทำตามที่นางบอก อีกอย่าง ส่งคนไปจัดการแต่ละสำนักในยุทธภพที่ชางหลาน สุดท้าย ไปบอกองค์ชายสาม หากกล้าลงมือกับกู้อ้าวเวยอีก ราชบัลลังก์นี้เขาก็อย่าได้ครองเลย”
……
“เสด็จอาช่างกล้าเสียจริงๆ”
ซ่านเซิ่งหานเอาจดหมายในมือกำจนเละเทะเป็นก้อนเดียว เฉิงยียืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ พูดต่ออีกว่า “ไม่เพียงเท่านี้ ท่านอ๋องยังรับสั่งอีกว่า หากองค์ชายสามฝ่าบาทท่านจะเป็นฮ่องเต้ เขาก็เป็นใบมีดชั้นดีที่มีประโยชน์เล่มหนึ่ง”
“แต่หากองค์ชายสามฝ่าบาทท่านต้องการกู้อ้าวเวย งั้นเขาก็เป็นเครื่องตัดที่อยู่บนบ่าของท่าน”
คำพูดนี้ออกมา ซ่านเซิ่งหานจู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป กำกระดาษที่อยู่ในมือแน่น “เสด็จอายังรู้อะไรอีก”
“เหตุผลที่ตอนนั้นท่านปล่อยกู้เฉิงไป” ภายใต้ดวงตาของเฉิงยีมีความเย็นชาปรากฏขึ้น