บทที่543 ใต้ต้นไม้แห้ง
กู้จี้เหยาคิดไม่ถึงว่ากู้อ้าวเวยจะตรงมาที่วิหารชิงเฟิงของตน
ทาสรับใช้ที่อยู่ข้างๆนำน้ำชามาให้กู้อ้าวเวย กู้จี้เหยาที่สวมชุดสีขาวอมฟ้าทำให้นางงดงามอย่างไร้ที่ติ
ในตอนนี้กู้อ้าวเวยกลับเปลี่ยนจากชุดธรรมดามาเป็นชุดที่หรูหรา ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด แต่เพียงเพราะอยากแตกต่างจากพระชายาจิ้งในอดีต
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ข้างกายเขา”
กู้จี้เหยาวางจานเค้กลงบนโต๊ะด้วยสายตาของความผิดหวัง
“ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะนั่งกับข้าอย่างสงบอย่างในตอนนี้” กู้อ้าวเวยหยิบชาแต่กลับไม่สนใจเค้กเหล่านั้นเลย
เมื่อมองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น กู้จี้เหยาก็หัวเราะกับตัวเอง “ข้าไม่วางยาเจ้าหรอก หรือว่าเจ้าเห็นหน้าข้าแล้วถึงกับกินขนมที่เจ้าชอบไม่ลง?”
“ก็แค่ระวังตัว”
“เจ้าช่างแตกต่างจากผู้อื่นจริงๆ” กู้จี้เหยาหัวเราะเบาๆแล้วหยิบเค้กให้ตัวเองหนึ่งชิ้น ก่อนที่จะหัวเราะกับตัวเอง “หากเป็นผู้อื่นก็คงจะรักษาหน้าหรือว่าจะพูดออกมา”
กู้อ้าวเวยไม่รอช้า วางใบหย่าลงบนโต๊ะแล้วส่งให้นาง “หากเจ้าต้องการ ข้าสามารถหาคนที่ดีให้เจ้าได้”
รูม่านตาของกู้จี้เหยาเล็กลง เค้กที่อยู่ในมือหล่นลงพื้น
กู้อ้าวเวยไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่มองกู้จี้เหยาแกะใบหย่าออกดูด้วยมือที่สั่นเทา นางแทบจะรอไม่ไหวที่จะจารึก
ทุกคำไว้ในใจ จากนั้นไม่นานใบหย่าก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา แต่นางกลับค่อยๆยิ้มออกมา
กู้อ้าวเวยกำมือแน่นเพื่อไม่ให้รู้สึกว่านางน่าสงสารเกินไป “เขารู้มาตั้งแต่แรกเรื่องที่เจ้าโกหกลูกชายของเขา ดังนั้นจึงไม่ต้องรับผิดชอบในเรื่องการเปลี่ยนคนรับใช้ในจวนเป็นการส่วนตัว”
ความหมายก็คือทั้งหมดนี้เป็นความรับผิดชอบของนาง
กู้จี้เหยาตกตะลึง แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็กลับไปมองที่กู้อ้าวเวยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าวิหารเฟิ่งหมิงมีอะไร? ตอนที่เจ้าท้อง ซ่านจินจื๋อผสมยาลงในอาหารของเจ้า? ลูกของเจ้าเห็นทีว่าจะไม่มีชะตารอด”
กู้อ้าวเวยรู้สึกหายใจไม่ออก แล้วมองไปยังกู้จี้เหยาที่เก็บใบหย่าไว้ในเสื้อผ้าราวกับมันเป็นของมีค่า น้ำตาที่ไหลรินแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าจะล้างไพ่จวนจริงๆรึ?”
“ข้าแค่อยากรู้ว่าซ่านจินจื๋อจะทำอะไรกันแน่”
“เจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง?” กู้อ้าวเวยแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยแล้วมองไปที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งของกู้จี้เหยา
“ข้ารู้ข้อตกลงของเขากับฮองเฮา” กู้จี้เหยาลุกขึ้นอย่างสบายๆแล้ววางมือลงบนขอบโต๊ะจากนั้นก็โน้มตัวไปหากู้อ้าวเวยจนกระทั่งจมูกสัมผัสกันแล้วกระซิบว่า “เขารู้เรื่องเจ้าไม่น้อยเลยจากซู๋ฮองเฮาและยังรู้จักท่านชายที่ชื่นชมเจ้าในตอนนั้น…”
“หลังจากใช้งานเจ้าแล้ว ก็ให้ท่านชายเหล่านั้นลิ้มลองรสชาติของเจ้า”
ประโยคสุดท้ายถูกลากเสียงด้วยความจงใจตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆที่เต็มไปด้วยความดูถูก “ไม่เพียงแค่นั้น เขาได้คิดไว้แล้วว่าจะทำอย่างไรให้เจ้าพังพินาศและออกจากตำหนักอ๋องจิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะสัญญาให้ความช่วยเหลือซู๋ฮองเฮา”
มือที่อยู่ใต้โต๊ะกำหมัดแน่น
แม้ว่านางจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องอดีต แต่มันก็ทำให้นางเหงื่อแตกพลั่กๆและปวดร้าวในใจ
เมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของนาง กู้จี้เหยาจึงนั่งลงและค่อยๆหลับตา “ข้าหลงผิดรักผู้ชายแบบนี้ เดิมทีข้าคิดว่าคนที่กลับมาในครั้งนี้คือซูพ่านเอ๋อ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเจ้า”
“หากซูพ่านเอ๋อกลับมา เจ้าจะเป็นอย่างไร?” กู้อ้าวเวยยกมือกำแน่นที่หน้าอก รู้สึกปวดแปลบที่หน้าผากอย่างฉับพลัน
“ข้าจะทำอะไรนางได้ เพียงแค่ขอใบหย่าและพระราชทานให้ออกจากสถานที่วุ่นวายแห่งนี้” กู้จี้เหยาตอบด้วยใบหน้าที่ไม่มีทางเลือก “กี่วันกี่คืนที่ข้าเสียเวลาอยู่ที่ตำหนักอ๋องแห่งนี้ ความรักเหล่านั้นมันหายไปนานแล้ว พ่อก็ทิ้งข้าไว้เพียงคนเดียว กลับมีเพียงน้องสาวฮัวหลีผู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่ก่อนตายบอกให้ข้าใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง”
น้ำเสียงแผ่วลงและไม่มีคำพูดใดๆระหว่างทั้งสอง
กู้จี้เหยาหยิบกระเป๋าเดินทางที่เก็บไว้เมื่อนานมาแล้วและตบไหล่ของนางเบาๆก่อนจะไป “หลังจากที่ได้เห็นใต้วิหารเฟิ่งหมิง บางทีเจ้าอาจจะเพิ่งรู้ถึงความเลวร้ายของราชวงศ์นี้”
“ใต้วิหารชิงเฟิงมีอะไร?” กู้อ้าวเวยไม่เข้าใจ แต่นางก็รู้ว่ากู้จี้เหยาไม่สามารถขุดวิหารเฟิ่งหมิงได้
“ใต้วิหารชิงเฟิงมีคนกองพะเนินเทินทึก วิหารชิงเฟิงแห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยตั้งแต่แรกแล้ว แต่ข้ากลับอยู่ที่นี่มาหลายปี” กู้จี้เหยาตะคอกแล้วเดินออกไปในทันที
กู้อ้าวเวยเงียบเป็นเวลานาน นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย แต่ตอนนี้เมื่อมองขึ้นไปกลับเห็นว่าต้นไม่ที่นี่ยังคงอุดมสมบูรณ์ แล้วใต้วิหารเฟิ่งหมิงคืออะไร?”
นางออกจากวิหารชิงเฟิงด้วยความงุนงงและรู้สึกเพียงว่าคำว่าวิหารชิงเฟิงนั้นขยะแขยง เมื่อระหว่างทางนางพบกับซ่านจินจื๋อและชิงจือ แต่นางพูดเพียงกับเฉิงซานที่อยู่ข้างๆ “เอาพลั่วให้ข้า ข้าอยากเห็นสิ่งที่อยู่ใต้วิหารเฟิ่งหมิง”
เฉิงซานผงะ ส่วนซ่านจินจื๋อคว้าข้อมือนางไว้ “กู้จี้เหยาบอกอะไรกับเจ้า?”
กู้อ้าวเวยรู้สึกใจสั่นกับการกระทำของซ่านจินจื๋อ นางผละออกจากแขนของเขาโดยไม่รู้ตัวแล้วมองไปที่เขาเล็กน้อยด้วยความกลัว “มีอะไรฝั่งอยู่ข้างล่าง?”
คราวนี้ซ่านจินจื๋อเงียบ
“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องในอดีต แต่ข้าก็ยังอยากเห็น” กู้อ้าวเวยยังคงเดินกลับไปที่วิหารเฟิ่งหมิง
ซ่านจินจื๋อไม่สามารถหยุดนางได้เลย แม้แต่หลิ่วเอ๋อและผิงชวนที่ติดตามมาก็ต้องหยุดตรงหน้าองครักษ์ของเขา ชิงจือรู้สึกเพียงว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงหดตัวอยู่ข้างหลังหลิ่วเอ๋อ มองดูแม่ขุดและทุบอิฐทั้งหมด แล้วก็มองดูพ่อพาคนไปล้อมพวกเขาไว้
กู้อ้าวเวยทำอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งขุดหลุมลึกใต้ต้นไม้แห้งต้นใหญ่
ผิงชวนหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นอะไรบางอย่าง และภายใต้ใบหน้าซีดเผือดของซ่านจินจื๋อที่กำลังห้ามกู้อ้าวเวย “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย”
“หลบไป” กู้อ้าวเวยใช้แรงทั้งหมดผลักเขาออกไป
หลังจากที่เดินโซซัดโซเซระหว่างโคลนไปไม่กี่ก้าว ก็เห็นได้ชัดว่ามีอะไรอยู่ภายใต้ต้นไม้แห้งนั้น
มันเหมือนกับตำหนักเจิ้นหุน (ตำหนักผู้พิทักษ์)ที่เขาหยินซาน ด้านในเต็มไปด้วยกระดาษสีเหลือง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือกล่องไม้ที่บรรจุกระดาษสีเหลืองในตำหนักเจิ้นหุน (ตำหนักผู้พิทักษ์)
และใต้ต้นไม้แห้งนั้นมีกล่องเก็บกระดูกมากมายที่เปิดครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นกระดาษสีเหลืองที่เน่าเปื่อยอยู่ด้านใน
ซ่านจินจื๋อจะรีบเข้าไปอธิบาย แต่หลิ่วเอ๋อรั้งเข้าไว้ “คุณหนูน่าจะรู้ความจริง”
กู้อ้าวเวยก้มตัวลง ใช้มือทั้งสองขุดเอากล่องเก็บกระดูกออกมา
ฝาถูกเปิดออก ด้านในมีแต่กระดูกมนุษย์
“ข้าควรจะคิดให้เร็วกว่านี้ จะว่าไปข้าก็เป็นปีศาจเช่นกัน” กู้อ้าวเวยหัวเราะเยาะเย้ยแล้วโยนกล่องเก็บกระดูกทิ้ง จากนั้นก็มองขึ้นไปที่ต้นไม้สูงตระหง่าน
ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามา แต่เขากลับยังแตกกิ่งก้านไม่ถึงครึ่ง
แสงประกายในดวงตาของกู้อ้าวเวยหายไป ลับหายไปกับความมืด