บทที่ 534 กรรมตามสนอง
ท่ามกลางเมืองหลวง แม้ว่าในวันที่หิมะตกหนักก็ยังคงครึกครื้นไม่ต่างจากปกติ
ซ่านจินจื๋อจูงมือกู้อ้าวเวยมาถึงในร้านหมอ แต่เรื่องที่มีเสียงนินทาเกี่ยวกับการสถาปนาองค์หญิง และฉูห้าวคิดไปคิดมากลับไม่รู้ว่าจะล้างมลทินอย่างไร ซ่านจินจื๋อก็จึงคิดจะให้นางใช้วิธีมานั่งรอตรวจอาการคนไข้
ยังพูดอีกว่า “ดังอยู่ที่เทียนเหยียนก็ไม่ปาน คำพูดไร้สาระพวกนั้นก็ไม่หายไปง่ายๆ หรอก”
กู้อ้าวเวยไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกับชื่อเสียงของตนเองเลย ซ่านจินจื๋อกลับยึดติดเช่นนี้ ฉูหลี่และหยุนหว่านสองคนล้วนยืนอยู่ฝั่งเดียวกับซ่านจินจื๋อ นางก็ได้แค่รับปาก
แต่ล้วนเป็นเรื่องที่ทำกันปกติธรรมดา แต่กลับเอาใจใส่มากหน่อย อีกทั้งยังไม่เป็นภาระแม้แต่นิดเดียว
วันที่เพิ่งกลับมาสองสามวันนั้น ยังมีคนไม่น้อยนักที่แกล้งไม่สบายพุ้งเข้ามาถามโน่นนี่นั่น กู้อ้าวเวยซึ่งทำหน้าที่เป็นหมอจึงโมโห พอโมโหขึ้นมาก็ไล่พวกคนที่ซุบซิบนินทาไปหมด ผ่านวันที่ไม่มีคนมาอีก หลังจากนั้นคนก็ค่อยๆ เยอะขึ้นมาเรื่อยๆ คนที่ยกย่องชมเชยต่อนางก็เต็มไปหมด
เพียงแค่วันที่ผ่านมานี้ กลับเห็นคนของร้านหมอยุ่งจนขาไม่ทันได้แตะพื้น
กู้อ้าวเวยได้แค่ให้ซ่านจินจื๋อพาชิงจือนั่งรออยู่ที่ด้านนอก ตัวเองรีบร้อนเข้าไปยุ่งต่อ
ซ่านจินจื๋อและชิงจือก็ไม่มีทางที่จะนั่งรอตรวจอาการคนไข้ ได้แต่ใช้เงินเชิญหมอมาตรวจอาการให้คนที่อยู่ด้านนอก ผ่านเวลานัดหมายไปสองชั่วยาม กู้อ้าวเวยเพิ่งจะเดินออกมาอย่างเลือดโชกเต็มตัว ทำให้คนไข้ที่มาตรวจอาการไม่น้อยต่างพากันตกใจจนออกเสียงร้องกันใหญ่
“ทำข้าตกใจหมดเลย” กู้อ้าวเวยกลับถูกทำให้ตกใจไปชั่วครู่ ได้แค่จับไปที่เลือดที่อยู่บนใบหน้า พูดกับผู้ที่ทำงานด้วยกันที่อยู่ด้านข้างว่า “ไปช่วยดูแลอยู่ด้านใน แล้วค่อยยให้คนเทน้ำออกมากะละมังหนึ่ง ข้าต้องจัดยาด้วยตัวเองหน่อย แล้วค่อยไปเรียกองครักษ์ที่อยู่แถวนั้นมา กำชับผู้คนว่าอย่าขึ้นเขาไปอีก
ผู้ช่วยสองคนรีบไปยุ่งต่อ หลังจากกู้อ้าวเวยล้างมือสะอาดแล้วก็จัดยาอย่างเร่งรีบทันที กำชับคนให้เอาใส่หม้อลงไปต้ม และองครักษ์ที่อยู่แถวนั้นก็รีบเข้ามารายงาน แสดงออกว่าได้กำชับเรียบร้อยแล้ว คราวนี้กู้อ้าวเวยก็เลยวางใจลงได้เสียที
หายใจเข้าลึกๆ ไปหนึ่งคำแล้วจึงกลับเข้าไปด้านในเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ย้อมไปด้วยเลือด หยิบเอาเสื้อผ้าของผู้ช่วยมาตัวหนึ่งอย่างตามสบายไม่ได้คิดอะไร แล้วนั่งลงข้างกายซ่านจินจื๋อ
“พอแล้ว ข้ามาตรวจเองเถอะ ป้าใหญ่สองคนที่วันนี้มาออกใบยาที่อยู่ด้านหลังข้ามมาหยิบใบยาไปซะ”
การพูดของกู้อ้าวเวยไม่มีแม้แต่ท่าทีที่จะวางท่าแม้แต่นิด ซ่านจินจื๋อก็เคยชินกับท่าทางที่เวลาจัดการเรื่องต่างๆ ไม่มีความลังเลอื่นใดเลย ได้แค่เอาหมวกคลุมหน้าของตนเองวางไปบนไหล่ของฝ่ายตรงข้าม นางหลับยังคงก้มหน้าเขียนใบยาอยู่
จวบจนตอนที่ฟ้าใกล้จะมืด ผู้ช่วยที่อยู่ด้านในเพิ่งจะยกคนสองคนออกมา หนึ่งในนั้นท่าทางเป็นร่องรอยแข็งสีขาวๆ ที่หนาและหนักทับ อีกคนหนึ่งกลับเป็นหมอชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น สีหน้าขาวซีด
กู้อ้าวเวยได้ยินเสียง พูดสั่งการว่า “อย่าเพิ่งส่งกลับไปที่บ้านของพวกเขา เอาคนส่งไปที่ที่พักของข้าก่อน ตอนดึกข้าจะดูบาดแผลอย่างละเอียด พวกเจ้าไปกินข้าวซะ แล้วก็ถือโอกาสพกมาให้ข้า……”
“วันนี้ดูถึงตรงนี้แหละ” ซ่านจินจื๋อลุกขึ้นแล้วพูดกับคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้า อีกทั้งยังใช้สายตาเย็นชามองไปที่หมอที่เดินออกมาจากด้านใน “ฝากพวกเจ้าด้วย”
พวกหมอยุ่งตอบรับอย่างไม่ขัดข้อง มองเห็นซ่านจินจื๋อลากกู้อ้าวเวยจากไปอย่างดื้อๆ ชิงจือกลับมีแววตาที่เชื่อฟังตามอยู่ด้านหลัง ดึงชายเสื้อของซ่านจินจื๋ออยู่ เงยหน้าขึ้นมาให้กู้อ้าวเวยอย่าโมโหเลย
กู้อ้าวเวยอยู่ในอ้อมอกของซ่านจินจื๋ออายจนหน้าแดง มือข้างหนึ่งจับไปที่คางของเขาอย่างแรง “เจ้าจะยุ่งเกินไปแล้วนะ ข้ายังมีคนป่วยอีกมากที่ยังตรวจไม่เสร็จ”
“เจ้าช่วยเย็บแผลที่คอไป เหนื่อยพอแล้ว” ซ่านจินจื๋อโอบนางแน่นขึ้นอีก “คืนนี้ยังต้องกลับไปดื่มยา แล้วก็นวดขาอีก”
“เจ้าตามหากุ่ยเม่ยกลับมาให้ข้าหน่อย” กู้อ้าวเวยตบไปที่ไหล่ของเขา
“เขายังมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ”
“งั้นก็ไม่ใช่ว่าเจ้าส่งเสริมข้าต่อหน้าฉูห้าวหรือ วางข้าลงมา” กู้อ้าวเวยอับอายจนโมโหจนดึงไปที่ผมของเขาอย่างแรง กลับถูกซ่านจินจื๋อจ้องกลับอย่างดุดัน ชายหนุ่มที่สูงใหญ่ยังไงก็จับมั่วซั่วไปได้
กู้อ้าวเวยไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่อดกลั้นไว้ “ถึงเวลาไม่ว่าข้าจะทำอะไร เข้าล้วนสนับสนุนข้าไหม”
“แค่ไม่ทำร้ายถูกตัวเจ้าเอง” ซ่านจินจื๋อพยักหน้าอย่างจริงจัง ก้าวเดินช้าลงแล้วให้ชิงจือค่อยติดตามไปอย่างดีๆ พลางแอบสอดส่องสีหน้าของกู้อ้าวเวย “ช่วงนี้นับวันเจ้าจะยิ่งหลับได้ไม่ดีนัก”
กู้อ้าวเวยไม่ได้พูดอันใด ได้แต่แอบมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้ามีความคิดอยากจะขังเจ้าเอาไว้สักหน่อย ให้เจ้าไม่ต้องครุ่นคิดเรื่องอะไรเลย” ซ่านจินจื๋อพิจารณาคนในอ้อมอกไปมา จวบจนเห็นกู้อ้าวเวยจะลงมือ ก็เลยพูดต่อว่า “นอนอีกสักหลายชั่วยามเช่นนี้ ร่างกายก็คงไม่ได้มีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นมาสักเท่าไหร่หรอก”
“เดิมทีข้าก็นอนไม่ยาวอยู่แล้ว” กู้อ้าวเวยพูดเสียงเบาๆ หนึ่งคำ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
บัดนี้ฝันร้ายของนางเริ่มน้อยลงมาก แต่เพียงแค่คิดถึงคนป่วยที่นอนอยู่ในทุกๆ คืน นิสัยที่ไม่ดีเหล่านั้นของนางที่เคยเป็นก็ค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างโง่เขลา แค่คิดอยากจะแก้ปัญหาความเจ็บปวดทรมานที่เห็นอยู่ตรงหน้าให้สำเร็จ แน่นอนว่าหลับได้ไม่ดีหรอก
แต่บัดนี้ ซ่านจินจื๋อตั้งใจจะเอาพิษร้ายนี้ไว้กับตัว แค่เพื่อให้หยุนหว่านพอใจ
เรื่องนี้ก็ไม่มีวิธีแก้ไขเช่นกัน กู้อ้าวเวยก็คิดอยู่ว่าไม่มีอะไรที่จะเข้ากันไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว
ซ่านจินจื๋อกลับไม่รู้ความในใจของนาง ได้แค่ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร “หากรอจนกู้เฉิงกับซูพ่านเอ๋อมีปากเสียงกันขึ้นมาที่แคว้นซิน วันข้างหน้าเจ้าจะช่วยใคร”
“ข้าไม่ได้จะให้ซูพ่านเอ๋อไปมีปัญหากับกู้เฉิงจริงๆ ตามสติปัญญาของกู้เฉิง ซูพ่านเอ๋อก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่เอาไปเดินเกมรอบไปหมด รอให้ผ่านไปอีกหลายวัน ให้นางได้รับความลำบากจนถึงที่สุด ข้าก็จะส่งคนไปรับนางกลับมาด้วยตัวเอง” กู้อ้าวเวยยืดตัวขึ้นมามองไปที่ชิงจือครู่หนึ่ง เห็นเขายังคงมองดูรอบๆ อย่างแปลกใจ ก็เลยพูดว่า “มัวแต่ถามเรื่องนี้ ข้าว่าชิงจือน่าเห็นใจ”
“ชิงจือยังเห็นใจสงสารเจ้าที่ดูผอมลงทุกวัน” ซ่านจินจื๋อจ้องเขา
กู้อ้าวเวยยังคิดจะโต้กลับ ชิงจือกลับมองข้ามมาอย่างทันเวลา “เพียงแค่ชั่วพริบตา ก็ไม่เห็นเงาของท่านแม่แล้ว ตอนที่กลับมาฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว”
ถูกลูกชายพูดด้วยคำพูดเช่นนี้ กู้อ้าวเวยกลับมีความรู้สึกปรากฏออกมาว่าผู้ชายสองคนนี้เป็นตัวซวยของตนเองจริงๆ
ตลอดทางถูกอุ้มกลับมาที่ที่พัก เห็นได้ชัดว่าให้ชิงจือเดินไปไกลเกินไปไม่ดี ก็เลยไม่กลับวัง
กู้อ้าวเวยได้เพียงต้มน้ำร้อนอาบ ตอนที่คลานเข้าไปในผ้าคลุมเตียงรู้สึกสบายมากยิ่งขึ้นไปอีกจนออกเสียงออกมา รอจนซ่านจินจื๋อช่วยชิงจืออาบน้ำเสร็จแล้ว ตอนที่เอาคนกลับเข้ามายัดใส่ในผ้าคลุมเตียง นางก็ได้หลับไปอย่างไม่รู้สึกตัวแล้ว
เฉิงซานค่อยๆ ผลักประตูออก พูดอย่างเบาๆ ว่า “ท่านอ๋อง อ๋องจงผิงส่งข่าวมา”
“พูดมาได้” ซ่านจินจื๋อนั่งอยู่ที่ข้างเตียง บังหูของกู้อ้าวเวยเอาไว้มิด
“เมื่อก่อนสายที่ท่านให้แฝงตัวอยู่ในอินโจวล้วนถูกคนของสำนักเหลี่ยงหยีสังหารจนเรียบหมดแล้ว ยังจะเอาแผนที่ป้องกันเมืองที่เดิมทีควรจะส่งไปที่อินโจวไปด้วย บัดนี้ฮ่องเต้สงสัยว่าจะเป็นซูพ่านเอ๋อที่เอาไป ส่งท่านไปพาตัวซูพ่านเอ๋อกลับมา เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องเข้าใจผิด”
“ใครให้นางมีความกล้าขนาดนี้” ซ่านจินจื๋อได้เพียงแค่โมโห
เฉิงซานที่อยู่หน้าประตูนิ่งไปชั่วครู่ พูดเตือนว่า “ไม่เพียงแค่เท่านี้ นายพลเซียวไห่พาคนไปสืบข่าว บัดนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลย ในตำหนักของนายพลเซียวไห่ ยังพบจดหมายระหว่างนางกับซูพ่านเอ๋ออีกด้วย
“ยังมีอีก หลายปีมานี้เรื่องที่ซูพ่านเอ๋อไม่เพียงเท่านี้ ดึงพวกขุนนางมาเป็นพวกเพื่อท่าน ติดต่อกับคนในยุทธภพ และเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา ล้วนเป็นท่านที่ให้ท้าย ดังนั้น……”
เฉิงซานไม่กล้าพูดต่อไปอีก ซ่านจินจื๋อกลับขมวดคิ้วแน่นขึ้น ปวดหัวจนต้องนวดขมับไปมา
“เป็นเหตุที่ข้าก่อเอาไว้ ข้าก็ต้องกินผลที่ขมของมันเอง อีกสองสามวันข้าจะไปจัดการกับเรื่องนี้ เจ้ากลับไปบอกเสด็จพี่ที เรื่องความลับให้จับเอากับเซียวไห่ ส่วนเรื่องซูพ่านเอ๋อมอบให้ข้ามาจัดการเอง”
“บัดนี้ เหตุที่นางก่อเอาไว้ ก็ควรเก็บกินผลของตนเองแล้วเช่นกัน