บทที่ 538 เรื่องราวเปิดเผย
ซ่านจินจื๋อโมโหอย่างมาก แต่เขากลับไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้แม้แต่นิดเดียว
เพียงเพราะว่าเขายังจำได้ว่ากู้อ้าวเวยลงโทษเขามาตั้งแต่แรกแล้ว สถานการณ์ ณ ตอนนี้เทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนที่ไม่เชื่อใจซึ่งกันและกันมานานมากแล้ว กู้อ้าวเวยมีเหตุผลเพียงพอที่จะจากไปหลังจากที่เขาทำเกินกว่าเหตุมากเกินไป
เขาไม่สามารถแยกจากกู้อ้าวเวยได้
ซ่านจินจื๋อสงบลงภายนอกการคาดไม่ถึง แม้กระทั่งวางชิงจือลงบนพื้น พูดกับกู้อ้าวเวยว่า “ข้าพาเขาไปทานอาหารเช้า”
กู้อ้าวเวยหรี่ตาลงชั่วครู่ โบกมือกับเขา “ดูไปแล้วเจ้าจะเสพสุขกับบทลงโทษเหล่านี้อย่างมากทีเดียว”
“ใครเรียกให้ข้าถูกเจ้ากินจนทะลุปรุโปร่ง อย่าให้ข้าพบว่าคุยกับหลานนานไปในขณะที่ท้องว่างอยู่” ซ่านจินจื๋ออ้อมไปด้านหลังของเวยเวยจูงมือน้อยๆ ของชิงจือ อีกทั้งยังพูดคำว่าหลานสองพยางค์นี้อย่างชัดๆ
กู้อ้าวเวยได้แค่กระแอมไปหนึ่งเสียงต่อสิ่งนี้ หันหน้าไปมองซ่านเซิ่งหาน “เจ้าเห็นแล้วหรือยัง”
“ระหว่างเจ้ากับเขามักจะข่มขู่กันไปมาเช่นนี้หรือ” ตอนนี้เป็นเยว่ที่ถามขึ้นอย่างทนไม่ได้
“ที่เยอะก็คือเกี้ยวกันไปมา แต่ในความจริง เขาอยู่ข้างกายข้าก็จำเป็นต้องยอมรับการทรมานจากข้า ในเมื่อเขายินยอมที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเองใหม่ และเมื่อก่อนข้าก็เคยรับปากเขาไว้ แน่นอนว่าจะไม่รำลึกถึงคนอื่นเด็ดขาด” กู้อ้าวเวยพูดออกมาอย่างเรียบง่าย แล้วก็ลุกยืนขึ้น
ณ ตอนนี้ ซ่านเซิ่งหานก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน มองข้อมือที่เล็กๆ ของกู้อ้าวเวย ค่อยๆ พูดว่า “ข้าไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยแล้วใช่ไหม”
“น่าเสียดายที่ตอนนั้นเจ้าไม่ได้รับโอกาสนี้” กู้อ้าวเวยยกมุมปากขึ้นด้วยความน่าเสียดาย พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าอยู่ด้วยกันกับซ่านจินจื๋อ ให้เขายอมรับเอาชิงจือเป็นท่านอ๋องน้อย วันข้างหน้าเจ้าก็ไม่ต้องกังวลกับตำแหน่งฮ่องเต้อีก”
กู้อ้าวเวยเพียงแค่สาธยายถึงความเป็นจริงเท่านั้น
แต่ซ่านเซิ่งหานกลับหลบตาต่ำลง ใช้สายตาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่กู้อ้าวเวยไม่เคยเห็นมาก่อนมองไปที่นาง
“เจ้าหวังว่าข้าจะได้สืบทอดราชบัลลังก์หรือ”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรือ” กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างแปลกใจ
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ซ่านเซิ่งหานกลับหัวเราะออกมา “แต่ข้ารู้สึกเสียใจในภายหลังแล้ว”
“ทำไม” กู้อ้าวเวยอึดอัดไปทั้งตัว นางกลัวที่สุดคือซ่านเซิ่งหานหลังจากได้สืบทอดราชบัลลังก์ก็ปล่อยวางไป หากเป็นเช่นนี้ คนที่นางคิดว่าสำคัญมากเหล่านั้นก็ควรจะต้องตกอยู่ในอันตรายอีก
“วันเวลาเหล่านั้นในตอนนั้นที่อยู่ด้วยกันกับเจ้า เป็นช่วงที่ข้ามีความสุขมากที่สุด” ซ่านเซิ่งหานขยับขึ้นมาดด้านหน้า สังเกตดูหน้าของกู้อ้าวเวย ใบหน้าใบนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรกับนางเมื่อปีก่อนนั้นเลย อีกทั้งยังดูผ่อนคลายมากขึ้นด้วย
กู้อ้าวเวยไม่เข้าใจมากขึ้น “พวกเราก็แค่ตรวจดูรายชื่อเท่านั้น”
“นอกจากเจ้า ข้าไม่เคยให้ใครคนใดคนหนึ่งไปอยู่ในห้องบรรทมของข้านานขนาดนั้นเลย” ซ่านเซิ่งหานแค่รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ความซับซ้อนในใจของเขาดุเหมือนว่าจะไม่เคยทำให้กู้อ้าวเวยได้ใส่ใจถึงเลย แต่เขาไม่อยากปล่อยทิ้งไปแต่แรกอยู่แล้ว “ข้าชอบเจ้าจริงๆ”
สีหน้าของกู้อ้าวเวยดูแปลกไปนิดหน่อย สุดท้ายกลับได้แต่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองเขาอย่างระวัง “ข้าไม่สามารถตอบคำถามตามความปรารถนาของเจ้าได้”
นางเคยลองที่จะยอมรับความปรารถนาดีทั้งหมดขององค์ชายหกที่มีต่อตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจแล้ว
แต่ผลลัพธ์ก็คือการทดลองครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นหมากตัวหนึ่งของซ่านจินจื๋อ บัดนี้ได้กลายเป็นคนแปลกหน้ากันกับนางไปแล้ว
ตอนที่ควรปฏิเสธ ก็ควรพูดให้ชัดเจน
“พวกเราล้วนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เมื่อเทียบกับความรักใคร่สองพยางค์นี้ เยอะยิ่งไปกว่านั้นก็คือภาระหน้าที่และคำมั่นสัญญา” พูดจบ กู้อ้าวเวยแค่มองไปที่นอกประตูที่ซ่านจินจื๋อยืนอยู่ชั่วครู่ พูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “คำพูดของข้าหมดเพียงเท่านี้ หากไม่กินข้าวกินยาตรงตามเวลา เขาก็จะไปบอกกับท่านแม่เป็นแน่”
ซ่านเซิ่งหานหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม เห็นกู้อ้าวเวยรีบเดินไปทางซ่านจินจื๋อ มองดูมือที่เล็กๆ คู่นั้นถูกมือที่ใหญ่ของซ่านจินจื๋อกุมไว้แน่น จู่ๆ ก็เกิดอาการหายใจไม่ออก
“ฝ่าบาท นางใจแข็งมากที่จะอยู่ด้วยกันกับอ๋องจิ้ง นี่ท่านจำเป็นขนาดนั้นเชียวหรือ” เยว่เดินขึ้นมาด้านหน้า
“ข้าแค่ไม่เข้าใจ” เขาไม่เข้าใจว่าภาระหน้าที่ที่กู้อ้าวเวยพูดทั้งหมดนั้นหมายถึงอะไร แล้วก็ไม่เข้าใจว่านางปล่อยวางความรักใคร่ได้แล้วจริงๆ หรือ หรือว่าถูกความรักบดบังดวงตาคู่นั้นอยู่
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็พาเยว่จากไปอย่างเร่งรีบดีกว่า
แต่บนโต๊ะอาหาร กู้อ้าวเวยยังคงเหมือนเดินดังเช่นเมื่อก่อน ดุเหมือนว่าคนที่พูดจาทำร้ายคนอื่นกลับไม่ใช่นางเลย ซ่านจินจื๋อก็ไม่เข้าใจเหตุผลใดๆ แม้แต่ประโยคเดียวที่นางพูดไปเช่นกัน ได้แต่อยู่กับชิงจือจนกินข้าวเสร็จแล้วไปเล่น เขาจึงพาคนมาที่ห้องหนังสือเพียงลำพัง
“เกิดอะไรขึ้นอีกหรือ” กู้อ้าวเวยถูกกดลงไปบนเก้าอี้อย่างไม่เข้าใจ
ซ่านจินจื๋อนั่งอยู่ตรงข้ามนาง แค่มีโต๊ะหนึ่งตัวกั้นเอาไว้
“เมื่อครู่ที่เจ้าพูดคำพูดเหล่านั้นกับองค์ชายสาม ข้าไม่เข้าใจ”
ฝ่ายตรงข้ามอึ้งไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นมาเท้าคางเอาไว้ล้านิ่งคิดสักครู่ จึงมองไปทางเขา “แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงก็เป็นเครื่องมือในการจับคู่เชื่อมสัมพันธ์ นี่คือภาระหน้าที่ เมื่อก่อนเรื่องที่ข้ารับปากเจ้า คือคำมั่นสัญญา และความรักสองพยางค์นี้แม้ว่ายังอยู่ แต่ก็เหมือนสลายไปนานแล้ว”
“ข้าก็แค่ลองชั่งตวงน้ำหนักดูจากผลดีผลเสียในคนทั้งหมดแล้วอย่างตั้งใจ แล้วจึงเลือกเจ้า”
กู้อ้าวเวยมักจะรู้ว่าควรจะทำร้ายเขาอย่างจริงใจได้อย่างไร
แต่ซ่านจินจื๋อกลับพบว่าตัวเองมีปฏิกิริยาต่อคำพูดเหล่านี้หวานดั่งน้ำตาลอย่างไม่รู้ตัว “ข้าควรดีใจที่ตอนนั้นข้าไปหาเจ้าโดยตรง”
“ใช่ หากเป็นองค์ชายสามที่มาคุยกับข้าเรื่องเงื่อนไขก่อน สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไป” กู้อ้าวเวยยกมุมปากขึ้นอย่างได้ใจ “ดังนั้น อย่าคิดว่าข้าไร้ซึ่งสิ่งป้องกันต่อเจ้าจริงๆ เพียงแค่ข้ามีความแน่ใจว่าเจ้าไม่กล้าทำอะไรกับข้าจริงๆ”
“บัดนี้เจ้าเป็นองค์หญิงของแคว้นเอ่อตาน แน่นอนว่าข้าจะไม่ลงมือตามใจชอบ” ซ่านจินจื๋อทอดถอนใจออกมายาวหนึ่งเฮือก “ข้าควรคิดได้ว่าเจ้าเป็นไปตามความจริงที่ควรจะเป็นเช่นนี้นานแล้ว”
“ไม่มีใครลบความเจ็บปวดในอดีตได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นข้าแค่ปวดขึ้นมาก็อยากจะชกเจ้า แต่ก็แค่เอาชนะเจ้าไม่ได้…..” กู้อ้าวเวยยังบ่นไม่จบ ดวงตางดงามนั้นค่อยๆ ยกขึ้น “หากข้าวรยุทธ์เป็นเลิศ บนโลกนี้ก็ไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้เจ้าต้องทำแล้วล่ะ”
ซ่านจินจื๋อถูกคำพูดพวกนี้จนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บนใบหน้ากลับได้แค่ฝืนยิ้มออกมา “เจ้านี่ช่างคุยโวโอ้อวดอย่างไม่อายเลยนะ”
“มีเจ้าเป็นคนคอยหนุนหลัง โอ้อวดอย่างไม่อายจะเป็นเช่นไรได้” กู้อ้าวเวยราวกับเป็นแมวที่ยิ่งผยองตัวหนึ่ง ค่อยๆ ยกคางขึ้น “ค่าตอบแทนเมื่อก่อนของซูพ่านเอ๋อ อยู่กับข้าที่นี่จะต้องดีขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่แย่ลง”
“เงินที่ได้จากการรบในสงครามน่าจะไม่พอให้เจ้าใช้จ่าย” ซ่านจินจื๋อมองท่าทางที่น่ารักของนางอย่างมีความสุข
“แม้ว่าเป็นเช่นนี้ งั้นก็เอาเงินมาให้หมด ให้ข้าเอาเงินไปต่อเงิน” กระทั่งกู้อ้าวเวยยังเคาะโต๊ะเบาไปอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ก็เป็นแค่คำพูดล้อเล่น ซ่านจินจื๋อแต่กลับยังดึงข้อมือของนางไว้แน่น ยิ้มเบาๆ “ข้าเอาสิ่งที่ข้ามีทั้งหมดบนตัวข้าส่งมอบให้เจ้า จะสามารถลดโทษลงได้กี่ปี”
ถูกคนจับมือไว้เบาๆ เช่นนี้ แม้แต่กู้อ้าวเวยก็มีความรู้สึกอย่างกับว่ากระเบื้องเคลือบที่แตกได้ง่ายแบบนั้น แต่ก็แค่สติหลุดไปเล็กน้อย ต่อจากนั้นก็เลยคิดไปมาอย่างจริงจังสักครู่ “แน่นอนว่าลดไม่ได้แม้แต่ครึ่งส่วน วันข้างหน้าข้ายังต้องหาเงินได้อีกมาก นอกจากวันข้างหน้าเจ้าแค่ยอมที่จะใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย ไม่แสวงหาความหรูหรา งั้นก็สามารถลดหย่อนทาได้สักสองปี”
“มีหัวสมองของเจ้าเช่นนี้ ข้าก็ไม่กลัวว่าเงินเหล่านั้นจะจ่ายออกไปอย่างเสียเปล่า” ซ่านจินจื๋อไม่รู้ว่าจะพูดอะไร สุดท้ายจึงบีปวดข้อมือของนางอย่างเบาๆ “เรียกเจ้ามา ก็แค่อยากจะหารือเรื่องของกู้จี้เหยาสักหน่อย”
“หารืออย่างไร” กู้อ้าวเวยไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง
“กู้จี้เหยาเคยสูญเสียลูกไป เป็นข้าที่ผิดต่อนาง แต่ตอนนี้นางเป็นลูกสาวของขุนนางกังฉิน ยังไงก็คงอีกนานกว่าจะหาคนดีๆได้ เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร”
กู้อ้าวเวยกลับนิ่งแข็งอยู่ที่เดิม จู่ๆ ก็ยากที่จะพูดออกมาได้