บทที่545 มีดหนึ่งเล่มกับความเชื่อใจ
คำพูดของซ่านจินจื๋อห่างไกลและเกินเอื้อมเสมอ
เขาให้คำมั่นสัญญามากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นกลับเลือนรางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ใครจะทำ ไม่อยากจะเชื่อ
กู้อ้าวเวยดึงมือตัวเองกลับมาอย่างไม่แยแส แล้วมองไปที่เขา “เจ้าพูดเองนะ”
“ใช่ ข้าพูด” ซ่านจินจื๋อเงยหน้าขึ้นแล้วโบกมือให้เฉิงซานที่อยู่ข้างนอก “นำหยุนอี้เข้ามา”
ชิงจือมองดูมีดที่อยู่ในมือของแม่อย่างประหลาดใจ หลังจากที่ดึงมีดออกจากปลอก ปลายมีดก็ไปแตะที่หน้าอกของพ่อ เมื่อมองไปที่แสงสีเงินที่น่ากลัว เขาก็จับที่ข้อมือของกู้อ้าวเวยเบาๆ “แม่ มีดสามารถทำร้ายคนได้”
“แม่อยากได้อะไรคืนจากเขานิดหน่อย” กู้อ้าวเวยลูบหัวชิงจือเบาๆด้วยมือข้างเดียวโดยไม่มีเจตนาที่จะปกปิดเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงของนางแผ่วเบาและนุ่มนวล “ตั้งแต่ข้าหยิบมีดขึ้นมา ข้ามีสติครบถ้วน”
หยุนอี้แหวกผ้าเปิดออก จากนั้นเจาะเข้าไปในผิวหนังที่อ่อนนุ่มเป็นรูขนาดใหญ่ที่หน้าอกของเขา
ซ่านจินจื๋อยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น เขากัดฟันแน่นรู้สึกถึงมีดที่แทงทะลุหน้าอก มันบดขยี้ร่างกายทำให้เจ็บปวดอย่างมาก แม้แต่รากฟันก็ยังสั่นอย่างช่วยไม่ได้
มือของกู้อ้าวเวยยังมั่นคง แน่นอนว่านางรู้ ว่าจะทำร้ายชีวิตคนได้อย่างไรและรู้ว่าจุดไหนที่จะเพิ่มความเจ็บปวดได้อีก
ชิงจือทำได้เพียงมองดูอย่างตั้งใจ หลังจากที่แม่ให้เหตุผลที่จะต้องใช้มีดอย่างไม่ปิดบัง
คนแรกที่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติก็คือซู่โหย่วเว่ย เขาเดินออกมาอย่างรวดเร็วมองดูเลือดสีแดงที่หยดลงบนพื้นและตะโกนด้วยความตื่นตระหนก “พวกเจ้าทำอะไร! ทำไมถึงต้องใช้มีด! เด็กก็ยังอยู่ที่นี่!”
เฟิงเมี่ยวที่ได้ยินก็รีบพาชิงจือออกไปด้วยความรวดเร็ว
ซู่โหย่วเว่ยยังคงต้องการที่จะหยุดแต่กู้อ้าวเวยกลับเพิ่มความแข็งแกร่งของมือนางอยู่เสมอ จนกระทั่งเลือดไหลออกมามากเกินไป กู้อ้าวเวยจึงค่อยๆดึงหยุนอี้ออกมา
ซู่โหย่วเว่ยเป็นคนแรกที่ปิดปากแผลให้เขา ซ่านจินจื๋อกลับลังเลที่จะลุกขึ้นอย่างดื้อรั้น กู้อ้าวเวยจึงมองไปที่เขา “เอาเลย ชีวิตของเจ้าจะไม่มีเหลืออยู่ ไม่กลัวรึ?”
“ชีวิตข้าเป็นของเจ้า” ซ่านจินจื๋อโบกมือให้ซู่โหย่วเว่ยออกไป
กู้อ้าวเวยเกลียดเขามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเห็นซ่านจินจื๋อเป็นคนหลอกลวง สิ่งที่เขาเคยทำในอดีตเหมือนกับว่าเขายื่นมือออกมาจากส่วนลึกของจิตใจเพื่อบีบคอของนาง
ซ่านจินจื๋อเป็นผู้ชายที่เลวยันกระดูก
นางเอาเลือดที่อยู่บนปลายมีดเข้าไปในปาก จากนั้นก็ลากกระโปรงที่ชุ่มไปด้วยวเลือดของซ่านจินจื๋อแล้วก้มลงแลกจูบที่รุนแรงกับเขา
จนกระทั่งซ่านจินจื๋อหอบหนัก นางจึงปล่อยเขาด้วยความสงสาร แล้วทิ้งหัวไปที่มุมโซฟา ขาทั้งสองข้างขดอยู่ที่หน้าอก
“เจ้าได้รับความเชื่อใจจากข้าแล้ว”
แม้แต่จากมุมของซ่านจินจื๋อก็สามารถมองเห็นน้ำตาบนแก้มของนางได้อย่างง่ายดาย
“น้ำตาของเจ้าใช้กับข้าจนหมดแล้ว” ซ่านจินจื๋อโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วใช้มือที่สะอาดเช็ดแก้มของนาง “หยุดร้องได้แล้ว”
“เจ้าห้ามตาย” กู้อ้าวเวยไม่อาจปฏิเสธการกระทำที่นุ่มนวลนี้
จนกระทั่งซู่โหย่วเว่ยทนดูไม่ได้จึงร่วมกับเฟิงเมี่ยวนำซ่านจินจื๋อส่งเข้าไปด้านใน โม่เหยียนโตขึ้นบ้างแล้วหยิบผ้าคลุมออกมา “พี่สาวมันค่อนข้างน่ากลัว”
กู้อ้าวเวยหยิบผ้าคลุมในมือของโม่เหยียนแล้วมองไปที่ชิงจือ “ข้าขอโทษ”
“พ่อบอกว่าเจ้าไม่สามารถขยับมีดได้ง่ายๆ” โม่เหยียนกำลังจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นแผลที่เท้าของนางแตกอีกครั้งจึงเรียกผู้ช่วยในร้านมาพันแผลให้
ตั้งแต่ต้นจนจบนางก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ชิงจือนั่งข้างๆนางเงียบๆอย่างเชื่อฟังเหมือนกับตอนที่ยังเป็นเด็กเพียงแค่ใช้นิ้วเล็กๆเกี่ยวที่มุมเสื้อของกู้อ้าวเวยและไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งกู้อ้าวเวยถูกโม่เหยียนทำความสะอาดแผลให้เรียบร้อย ขณะที่ถือแก้วชารื้อน ชิงจือก็พูดว่า “คนรับใช้ในตำหนักบอกว่าเจ้าเป็นปีศาจ”
กู้อ้าวเวยหยุดนิ่งแล้วมองเขา “ชิงจือคิดว่าแม่เป็นปีศาจรึ?”
“แต่ข้าคิดว่าพี่สาวของข้าไม่ใช่” โม่เหยียนปีนขึ้นไปบนโซฟาแล้วนั่งข้างๆกู้อ้าวเวย
ตรงกันข้ามชิงจือขมวดคิ้วแล้วคิดอยู่นานก่อนที่กระซิบ “แต่แม่ไม่เหมือน……”
กู้อ้าวเวยบีบปลายจมูกของเขาและอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็คือปีศาจตัวน้อย”
ชิงจือลูบจมูกของเขาแล้วคลานไปด้านหลังของโม่เหยียนเพื่อซ่อนตัว โม่เหยียนถึงกับต้องเกร็งหลัง ทำให้กู้อ้าวเวยผ่อนคลายลงบ้าง ยังดีกว่าที่เขาจะร้องไห้ออกมา
“มือเจ้าหนักเกินไป” เฟิงเมี่ยวเดินออกมาพร้อมกับถือเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดแล้วโยนลงถังไม้ใกล้ๆ “ความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยา ทำไมต้องถึงขั้นใช้มีด มีอะไรคุยกันดีๆไม่ได้รึ?”
“ข้าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด” กู้อ้าวเวยย่อตัวลงอย่างไม่รู้ตัวแล้วจิบชาร้อน “เจ้ารู้หรือไม่อ๋องจงผิงอยู่ที่ไหน หลังจากที่กลับจากเมืองเทียนเหยียน?”
เฟิงเมี่ยวตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยแขนเสื้อลง “ข้าจะให้คนสนิมช่วยไปตามให้เจ้า”
“ขอบใจมาก” กู้อ้าวเวยหลบตาแล้วนึกถึงตัวตนของตนเองและซ่านจินจื๋อ ถ้าหากให้ฮ่องเต้และไทเฮารู้เรื่องนี้ ผลที่ตามมาอาจจะเป็นหายนะ
เมื่อได้ยินคนสนิทของเฟิงเมี่ยวเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในร้าน ซ่านเชียนหยวนก็รีบไปที่โรงหมอโหย่วเว่ย ด้านในได้ทำความสะอาดคราบเลือดเรียบร้อยแล้ว กู้อ้าวเวยมองเขาด้วยตาแดงก่ำ เป็นครั้งแรกที่นางไม่พูดอะไรเพราะความรู้สึกผิด
“เสด็จอาทำอะไรให้เจ้าเสียใจ?” ซ่านเชียนหยวนโบกมือให้โย่วหลีที่อยู่ข้างหลังเขา แล้วสั่งให้เขาไปซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าให้ทั้งสองคน
กู้อ้าวเวยพูดเรื่องวิหารเฟิ่งหมิงอีกครั้ง เมื่อซ่านเชียนหยวนได้ยินก็โกรธมากเช่นกัน “สมควรได้รับ!”
กู้อ้าวเวยไม่กล้าตอบการสนทนา
ซ่านเชียนหยวนตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว หลังจากที่คิดเรื่องนี้เขาจะพากู้อ้าวเวยไปพักที่จวนของเขา แล้วจะส่งคนพาซ่านจินจื๋อที่หมดสติไปที่ตำหนักอ๋องจิ้ง
โย่วหลีก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว “กู้จี้เหยายังไปไหนไม่ไกลก็ถูกคนลักพาตัวไป ดูจากด้านหลังแล้วเหมือนกับแม่ทัพเซีนวไห่”
“เสด็จอาไม่เคยเชื่อในพลังแปลกๆ ข้าไม่คิดว่าเรื่องฝังกระดูกและกระดาษสีเหลืองเขาจะเป็นคนทำ”
“แล้วทำไมฝ่าบาทจึงไม่บอกความจริง เกรงว่าระหว่างฝ่าบาททั้งสอง……” โย่วหลียังไม่ทันพูดจบก็มีเงาสีขาวตกมาจากชายคา
เพียงเพราะผิงชวนเป็นแขกประจำจึงไม่มีใครหยุดเขาได้
“อ๋องจี้งไม่อยากบอกว่าเรื่องนี้ไทเฮาเป็นคนทำ” ผิงชวนพูดอย่างตรงไปตรงมา
“เพราะเหตุนี้เสด็จอาจึงให้มีดเล่มนี้กับนาง” ซ่านเชียนหยวนโบกมืออย่างเกียจคร้านแล้วบอกโย่วหลี “ส่งคนไปดูแลให้ดี แล้วค่อยส่งคนไปจับตัวเซียวไห่กลับมา หากเห็นกู้จี้เหยาเอาตัวรอดได้ อันที่จริงก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร”
“ขอรับ” โย่วหลีหายไปในความมืด
ซ่านเชียนหยวนประหลาดใจที่เห็นว่าผิงชวนยังไม่ออกไป “เจ้าอยากดูแลนางหรือไม่?”
“ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อปกป้องอ๋องจิ้ง แต่ข้าอยากจะมาบอกนางว่ากู่เซิงส่งจดหมายมาว่าซูพ่านเอ๋อหนีออกจากโรงเตี๊ยมและตอนนี้ถูกกู่เซิงจับตัวไว้ ข้าจะถามนางว่าจะทำอย่างไรต่อไป”