บทที่ 555 อ้ายซู่จือ
ควบตะบึงผ่านสองฝั่งป่าเขาลำเนาไพร
กู้อ้าวเวยมุ่งไปยังคูเมืองสองแห่งก็ยังไล่ตามฝีก้าวของหยุนหว่านไม่ทัน หากไม่ใช่เพราะได้รับข่าวสาวอะไรจนฟาดแส้เร่งตะบึงม้า ก็เป็นไปได้ว่าเบื้องหลังจะมีคนไล่ตามมา กระทั่งทำให้นางไม่เหลือทิ้งร่องรอยของแหล่งที่ตั้งสองแห่งเอาไว้เลย
ไม่ว่าผลลัพธ์ใด ๆ ในนั้น ก็เป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการทั้งสิ้น
“พระองค์ คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ต่อให้พวกเราตามทัน ก็ราว ๆ ว่าอยู่ระหว่างสองแคว้น ได้ยินข่าวสารฝั่งนั้นคล้ายกับสถานการณ์ดูตึงเครียด น่าจะไม่ควรมีการสัญจรไปมาระหว่างคนสองแคว้น” ผู้ใต้บัญชาที่อยู่เบื้องหลังอดวิเคราะห์เช่นนี้ไม่ได้
“องค์ชายสามรู้จักนาง หากมีเขาโคจรอยู่ตรงกลาง ย่อมไม่เป็นปัญหาแน่”
ใบหน้าของกู้อ้าวเวยเย็นเยียบ น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุดได้ไม่นาน ข้างหูพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น พวงแก้มถูกลูกดอกขนนกถากผ่านจนเป็นทางยาวเล็ก ๆ หนึ่งทาง นางรีบคว้าบังเหียนเบี่ยงศีรษะออก ผู้ใต้บัญชาไม่กี่คนที่อยู่เบื้องหลังต่างทยอยมากำบังอยู่ข้างหน้าของนาง
เสียงกีบม้าลอยมาจากในป่า คนที่ลอบซุ่มโจมตีเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเขาขึ้นมา
“เป็นเจ้า?” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นลบรอยเลือดบนใบหน้า ยิ้มเย็นชาพลางมองสำรวจผู้ชายตรงหน้าที่บังเอิญพบกันไม่กี่ครั้ง
“คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังจำข้าได้” คนผู้นั้นหัวเราะหยันอย่างเย็นชาหนึ่งที ค่อย ๆ ยกมือขึ้น
พลธนูที่อยู่ด้านหลังเรียงแถวตอนควบอยู่บนหลังม้าอย่างเป็นระเบียบ ลูกศรขนนกในมือเล็งเป้ามาที่นางเพียงคนเดียว
คนผู้นี้ก็คือขุนนางราชสำนักแซ่อ้ายที่เคยถูกนางตบหูในงานเลี้ยงราชวัง นามว่าอ้ายซู่จือนั่นเอง ไม่ใช่ขุนพลด้วยซ้ำ ที่มาวันนี้ ก็คล้ายกับจงใจพาคนมาทำให้นางอับอาย
“ต้องจำได้อยู่แล้วสิ เพียงแต่ข้าแค่สงสัย เจ้าไม่ใส่ใจในสถานะของข้าสักนิดเลยหรือ” กู้อ้าวเวยยังคงยิ้มบาง ยังคงมีท่าทีสงบเยือกเย็นตามเดิม
“เจ้าพาคนจำนวนกระหยุมกระหยิมออกจากเอ่อตาน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็สามารถผลักความผิดไปให้พวกโจรภูเขาในละแวกนี้ได้” อ้ายซู่จือจูงม้าเดินมุ่งไปข้างหน้าเล็กน้อย พลางยื่นมือออกไปให้กับนาง “ขอเพียงเจ้าเต็มใจแต่งกับข้า หรือไม่ก็ส่งสูตรยาอมตะออกมาเสีย เช่นนั้นทุกอย่างก็จะพูดง่ายขึ้นแล้ว”
“ข้าแต่งงานตั้งนานแล้ว วิวาห์โอ่อ่าสองหนซ้ำยังมีบุตรชายอีกหนึ่ง ต่อให้เจ้ารับปาก ข้ากลับทำใจลาจากคนรักและลูกน้อยไม่ได้” เสียงหัวเราะเย้ยหยันของกู้อ้าวเวยดังขึ้นหนึ่งที ไม่รออ้ายซู่จือปริปาก ล้วงเอาพลุระเบิดที่เตรียมเผื่อในแขนเสื้อปาออกมา พลางกดปลดยาผงครึ่งถุง
ลูกน้องหลายคนกินยาถอนพิษอย่างรู้งานตั้งแต่ทีแรกแล้ว และออกไปจากอีกฝั่ง
อ้ายซู่จื่อถูกโจมตีอย่างรับมือไม่ทัน พลธนูรอบบริเวณถึงแม้จะยิงธนูออกมาแล้ว ทว่ารอหลังจากเศษควันจางไปกู้อ้าวเวยก็ได้พากำลังคนหนีออกไปไกลมากแล้ว
แต่ในความเป็นจริง กู้อ้าวเวยกลับจำต้องอยู่ในสถานที่ซ่อนตัวแห่งหนึ่งเพื่อนำยาถอนพิษป้อนให้กับม้าพวกนั้น เพื่อไม่ให้พวกมันอาเจียนและท้องเสียในอีกครู่หนึ่ง คนข้างกายจึงจูงม้าไปสร้างเครื่องหมายปลอมเอาไว้อย่างรู้งาน
กู้อ้าวเวยพิงบนข้างลำต้นไม้เพื่อพักผ่อน พลางไม่ลืมพลิกดูแผนที่ไปด้วย
ครุ่นคิดว่าตนยังพอมีหนทางลัดอยู่หรือไม่
แต่น่าเสียดายที่มองสำรวจมาเนิ่นนานแล้ว เส้นทางนั้นที่หยุนหว่านเดินทางไปก็เป็นทางที่ใกล้ที่สุดแล้ว
ส่วนตอนนี้ด้านหลังพวกนางยังมีคนของอ้ายซู่จืออยู่ กระทั่งถิ่นฐานของเอ่อตานยังกล้ารุกราน นับประสาอะไรเขายังเผยโฉมหน้าแล้ว คงไม่อาจปล่อยให้ตนจากไปอย่างง่ายดายแน่นอน ตอนนี้ทำได้เพียงเลือกอ้อมไปทางที่ไกลอีกสักเล็กน้อย เพื่อเลี่ยงกรณีฉุกเฉิน
“พระองค์ นี่คือยาของท่าน” ลูกน้องนำขวดยายื่นเข้ามาให้
กู้อ้าวเวยทานยาเม็ดลงไปด้วยอาการปวดศีรษะ รู้สึกเพียงแต่ว่าคนพวกนี้คล้ายกับเห็นตัวเองกินยาจนชิน กระทั่งออกมาก็ไม่ยอมผ่อนปรน ครั้นถึงเวลาก็จะส่งยายื่นเข้ามาให้ทันที
“ออกเดินทางกันเถอะ ตลอดทางนี้ยังจำต้องระวังกันอีกหน่อย” กู้อ้าวเวยลูบขมับที่เริ่มปวดตุบ แต่ยังคงพลิกตัวขึ้นหลังม้า นำคนกลุ่มหนึ่งจากไปอีกด้าน
หากอ้ายซู่จือยังคิดจะตามหาพวกนางภายในอาณาเขตเอ่อตาน ก็คงจะลำบากเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ทุก ๆ วันกู้อ้าวเวยจะศึกษาแผนที่ และเลือกสถานที่ซึ่งทหารกองสนับสนุนอื่น ๆ ของเอ่อตานสมทบได้กัน ต่อให้อ้ายซู่จือยังคิดจะไล่ตามพวกนาง ก็จำต้องพิจารณาถึงกองทัพทหารโดยรอบเสียหน่อย
ในเวลาเดียวกัน เมื่อเทียบกับม้าของกู้อ้าวเวยที่ไม่เคยหยุดฝีเท้า ซ่านจินจื๋อก็ได้มาถึงชายแดนชางหลานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ทันเห็นองค์ชายสามที่คอยประจำการอยู่ที่นี่ แต่ได้พบกับองค์ชายหกซ่านจวนฮ่าวเสียก่อน
เขาแตกต่างจากเมื่อนานมาแล้ว ความเป็นเด็กจางหายไป มีกลิ่นไอความเยือกเย็นและชั่วร้ายเพิ่มมากขึ้นหลายขนัด
แต่ซุปเม็ดบัวที่พกอยู่ช่วงเอวของเขารังแต่จะทำให้ซ่านจินจื๋อรู้สึกบาดตา
“ที่นี่มีเจ้าคอยตัดสินใจก็ดีไปอย่าง” ซ่านจินจื๋อปั้นหน้าขรึมนั่งลงบนเบาะที่นั่งหลัก
“ไม่มีใครฟังคำพูดขององค์ชายที่ฟื้นจากความตายหรอก” ซ่านจวนฮ่าวหย่อนตัวนั่งลงทางด้านซ้ายของเขา ให้ลูกน้องพาบรรดานายพลมารายงานสถานการณ์ล่าสุดให้พวกเขาทราบ
ที่แท้ในวันเวลาที่ซ่านจินจื๋อไม่อยู่นั้น เจียงเยี่ยนและแคว้นซินต่างส่งคนมาเที่ยวเตร่รอบบริเวณอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายเนื่องจากไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้นจริง แต่ก่อนหน้านี้ เจียงเยี่ยถูกโจมตีอย่างเหนือความคาดหมาย ซูพ่านเอ๋อทูตจากแคว้นซินถูกกักขัง กลับมีกองกำลังหลายกองรุกรานชายแดนชางหลานในช่วงชุลมุนวุ่นวาย
“เป้าหมายของพวกเขามีแค่ชางหลานหรือ?” ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้ว
“ตอนนี้ดูเหมือนว่า พวกเขายังไม่ทันลงมือกับเอ่อตานจริง ๆ แต่การรุกรานชายแดนชางหลานนั้น พวกเรามีเหตุผลอันพาควรในการเคลื่อนพลแล้ว” ขุนพลผู้ช่วยของซ่านจวนฮ่าวชิงปริปากก่อนหนึ่งก้าว
ซ่านจินจื๋อไม่ได้มีข้อมูลมากเท่าใดนัก ตอนนี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จนแล้วจนรอดก็ส่ายหน้าเบา ๆ “พาค่ายทหารถอยออกมาสิบลี้ ข้าอยากจะดูสักหน่อยว่าพวกเขาจะอาจหาญชาญชัยเข้ามาจริง ๆ หรือไม่”
ไม่กี่คนไม่กล้าพูดมากความ และไปทำตามนั้น
ซ่านจวนฮ่าวกลับมุ่นหัวคิ้วขึ้นมา “กู้อ้าวเวยยังไม่ทันได้รับข่าวคราวอะไรหรือ”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจนางพอตัวเลย” ซ่านจินจื๋อเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา และพลิกอ่านสมุดบันทึกในมือ พลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “พวกเขาน่าจะมีเป้าหมายอื่นเป็นแน่ ส่งคนมุ่งไปแคว้นซินและเจียงเยี่ยนโดยตรง ต้องการให้สองแคว้นก้มหัวเป็นเมืองบรรณาการ และลงนามในข้อบังคับกับชางหลานเอ่อตาน หากไม่ปฏิบัติตาม ก็ไม่จำเป็นต้องไกล่เกลี่ย ชางหลานเอ่อตานล้วนส่งกองกำลังไปปราบปรามได้โดยตรงเลย ต่อให้ก่อตั้งสามแคว้นหลักไม่ได้ เป็นเสือสองตัวประจัญบานก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
“ท่านอ๋อง นี่ท่านคิดจะก่อสงครามหรอกหรือ ท่านรู้ทั้งรู้ว่าเจียงเยี่ยนและแคว้นซิน…”
“แต่หากว่าปล่อยให้สองสำนักแสนทะเยอทะยานนี้ได้รับทุกอย่างไป เจ้าอยากแก้ไขเรื่องนี้อีก กลัวแต่ว่าคงต้องใช้ชีวิตผู้คนเป็นล้าน ๆ เท่านั้นแล้ว” ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้วมองไปทางนายพลที่เอ่ยคำผู้นั้น สายตาดุจดั่งคมมีดคล้ายกับจะกรีดทะลุอีกฝ่าย “เคลื่อนพลสู้ศึก ที่ทำไปไม่เพียงแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ใต้เท้าผู้นี้ไม่สู้ปลดออกจากตำแหน่ง ไปรับประสบการณ์ที่ชั้นล่างดี ๆ สักตั้ง ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็คงเรียนรู้การหุบปากไม่เป็นแล้ว”
นายพลคนนั้นตัวสั่นงันงก องค์ชายหกในเวลานี้ออกมาไกล่เกลี่ยทั้งสองคน ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดในตอนนี้
รอกระทั่งอภิปรายเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น ไม่กี่คนจึงตระหนักได้ว่าคนผู้นี้ถึงจะเป็นเทพเจ้าสงครามแห่งชางหลานในปีนั้น กลิ่นไอทรงพลังที่เป็นหนึ่งไม่มีสองนี้ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ตอนนี้รู้สึกเพียงแต่ว่าแผ่นหลังเย็นวาบ และไม่แปลกใจที่ไม่มีคนโต้แย้งเลยสักครึ่งประโยค
กลิ่นไอเข่นฆ่าอันไร้รูปร่างเกือบทำให้คนไม่กี่คนผงะถอยหนี
แต่ถึงอย่างนั้น ซ่านจินจื๋อก็ไม่อาจลืมเลือนว่าหยุนหว่านกำลังจะมาถึงชางหลาน จึงบัญชานายพลที่อยู่ข้างกาย “เพิ่มกำลัง พลส่งไปลาดตระเวนระหว่างชางหลานและเอ่อตาน หนึ่งคือสืบฟังข่าวคราว สองมาถ้าพบเห็นฮูหยินที่สวมผ้าโปร่งปกปิดใบหน้าท่านหนึ่ง ให้ปล่อยตัวได้เลย และส่งคนไปคุ้มกันด้วย”
“ขอรับ”
ซ่านจินจื๋อมองส่งบรรดาขุนพลเหล่านั้นไปยุ่งง่วนที่โรงฝึก ในอกกลับลอบกระวนกระวายใจอยู่บ้าง