บทที่544 ชดเชยให้เจ้า
“รากที่แท้จริงของต้นไม้นี้อยู่ห่างออกไปมากกว่า10ฟุต ในหนึ่งวันไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่จะปีนขึ้นไปหนึ่งนิ้ว เพื่อหารอยแตกร้าวของหินปูน แล้วก็ไม่รู้ว่าต้องใช้แรงมากเพียงใดที่จะแยกรอยแตกร้าวที่กระจัดกระจายไปทั่วได้ ตั้งแต่นั้นมาก็เห็นแสงสว่าง”
เสียงของชิงต้ายกลับเลือนรางและแผ่วเบาลงในที่สุด
นางเคยเล่าเรื่องต้นไม้แห่งนี้และยังจำได้ว่าตอนนั้นนางเพิ่งจะมาที่นี่ด้วยสภาพที่สิ้นหวังในความไม่คุ้นเคยในชีวิตคน ต้นไม้ต้นนี้เป็นแรงบัลดาลใจให้นางเผชิญหน้ากับมัน
กระดูกมนุษย์และกระดาษสีเหลืองยังคงโบยบินอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน กระดูกมนุษย์และกระดาษสีเหลืองเหล่านี้ทำให้ต้นไม้ที่สูงตระหง่านไม่สามารถแตกกิ่งก้านได้เพราะมีเถ้าถ่านจำนวนมากไปกดทับอยู่บนรากไม้และยังทำให้มีกลิ่นของยา
แม้ว่าตอนนี้จะมีกลิ่นจางๆแต่ว่านางก็ยังได้กลิ่น
หากครั้งหนึ่งนางเคยกินยาที่อยู่ใต้ดินนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงไม่สามารถมีลูกได้
จะว่าไป ซ่านจินจื๋อก็ไม่เชื่อนางตั้งแต่แรก จนกระทั่งนำกระดาษสีเหลืองเพื่อไล่ผี
ความฝันนี้โบยบินไปอีกครั้ง ตั้งแต่จังหวะการเต้นของหัวใจในคืนวันแต่งงานไปจนถึงแสงแดดที่สาดส่องก่อนจะหลับไป เมื่อพิจารณาดูแล้วมันทุกข์ทรมานมากกว่าที่อบอุ่นและแทบจะไม่ได้ผ่อนคลายเลยซึ่งมันทำให้นางวิตกกังวล
ซ่านจินจื๋อนั่งรอนางตื่นขึ้นมาที่ขอบเตียงอย่างกังวล
“เจ้าตื่นแล้ว?” ปลายนิ้วของซ่านจินจื๋อวางลงบนแก้มของนางอย่างไม่แน่ใจ
“ข้าหลับไปนานเท่าไหร่?” กู้อ้าวเวยหลับตาอีกครั้งและเสียงสั่นเครือ
“สองวันเต็มๆ” ซ่านจินจื๋อเดินไปข้างๆหูของนางแล้วก้มตัวลง “ข้าขอโทษ”
กู้อ้าวเวยขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ค่อยๆผ่อนคลายลงหลังจากที่แยกแยะความคิดในใจอย่างละเอียดแล้ว จากนั้นนางก็ลืมตาขึ้น “แม้ว่าข้าจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องในอดีต แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่าในเวลานั้นเจ้าจะเกลียดข้าได้ถึงเพียงนี้ เพื่อให้ท่านชายที่เคยชื่นชมข้าได้ลิ้มลอง…”
“ข้าขอโทษ” ซ่านจินจื๋อพูดซ้ำอีกครั้ง
“ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความคิดที่สกปรกเช่นนี้ ข้าเสียใจที่ให้ชิงจือไปกับเจ้า” กู้อ้าวเวยหันหัวเล็กน้อยแล้วเบี่ยงปลายนิ้วของเขาออก “สิ่งที่เจ้าทำ มันบ่งบอกว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร”
ซ่านจินจื๋อกลับเพียงมองไปนางอย่างเงียบๆ
ในช่วงเวลาหลายสิบปีของเขา เขาไม่เคยรู้จักการยับยั้งชั่งใจ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะมองข้าต่อจากนี้ได้หรือไม่?” ซ่านจินจื๋อดึงมือแข็งทื่อของเขาออกไป “ตั้งแต่ข้ายังเด็ก ข้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ มีคนอยู่ข้างหลังคอยแก้ปัญหาให้ข้าเสมอ ข้ามักจะทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
“แม้ว่าข้าจะรู้สึกเสียใจต่อเจ้ามาก แต่ข้าก็ยังอยากที่จะคู่ควรกับเจ้า”
“ได้โปรดมองข้า”
สายตาของกู้อ้าวเวยเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เห็นได้ชัดว่าเจ้าทำผิด ตอนนี้ต่อหน้าข้า เจ้ายังแสร้งทำเป็นน่าสงสาร? ข้าอยากจะตีเจ้าจริงๆ”
ด้วยความขบขันกับสิ่งที่นางพูด ซ่านจินจื๋อเพียงแค่ปีนขึ้นไปบนขอบเตียงด้วยความขี้โกงเขากอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา “ข้าทำเรื่องไม่ดีมามากมาย ข้าเพียงต้องการจะอยู่ข้างกายเจ้าเช่นนี้”
“ข้าโกรธมาก” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นเพื่อผลักเขาลงไป แต่กลับพบว่ามือทั้งสองข้างของตนไร้เรี่ยวแรง
“แน่นอน เจ้าควรจะโกรธ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าร่างกายของเจ้าถึงขีดจำกัดแล้ว”
นางวางนิ้วบนฝ่ามือ ส่วนมืออีกข้างของซ่านจินจื๋อนวดต้นขาของนางเบาๆ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ไม่เพียงแต่เป็นภาระทางร่างกาย แต่ยังรวมถึงหัวใจด้วย”
“ไม่” กู้อ้าวเวยเอนตัวไปพิงเขา “ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องในอดีตแต่ข้าก็ยังไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ข้าจะไปรับซูพ่านเอ๋อด้วยตัวเอง และเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับร่างกายของข้า”
“แน่นอนว่าข้าต้องกังวล มันเป็นความผิดของข้าอย่างเห็นได้ชัด แต่คนที่เจ็บปวดกลับเป็นเจ้า” ซ่านจินจื๋อยังคงโน้มตัวไปข้างหน้าและกอดนางไว้แน่น ไม่ว่ากู้อ้าวเวยจะดิ้นรนขนาดไหนเขาก็จะไม่ยอมปล่อยนางไป
ผิงชวนที่อยู่หน้าประตูได้ยินเสียงอู้อี้ที่ดังมาจากข้างในจึงย้ายไปอยู่ข้างประตู
“ปัง” ประตูถูกผลักให้เปิดออก
กู้อ้าวเวยสวมเสื้อ และตามด้วยซ่านจินจื๋อที่เพิ่งจะลุกขึ้นตามหลังนาง
ที่นี่ไม่ใช่วิหารเฟิ่งหมิง แต่เป็นร้านยาเหย้าที่นางเคยอาศัยมาก่อน
นางตะลึงไปชั่วขณะ ผิงชวนที่อยู่ตรงประตูก็ขวางระหว่างนางกับซ่านจินจื๋อไว้
“ข้าอยากอยู่เงียบๆคนเดียวสักพัก อย่าตามข้ามา อย่าได้คืบจะเอาศอก” กู้อ้าวเวยรวบรวมเสื้อผ้าของนาง หลิ่วเอ๋อที่แกล้งชิงจืออยู่ข้างประตูเห็นนางเดินออกมาด้วยเท้าเปล่าและผมที่หลุดลุ่ย
จึงรีบก้าวไปห้ามนาง “ใส่รองเท้าก่อน”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขาเลยสักนิด” กู้อ้าวเวยไม่มีแรงที่จะโต้เถียงหลิ่วเอ๋อ นางเพียงแค่เดินไปรอบๆโดยไม่สนใจพื้นที่หนาวเย็น
เป็นครั้งแรกที่หลิ่วเอ๋อเห็นนางโกรธแบบนี้ จากนั้นชิงจือก็วิ่งตามนางไป
ซ่านจินจื๋ออยากจะจัดการ แต่ถ้าหากเขากล้าที่จะทำร้ายผิงชวน ตนเองก็ไม่อยากจะพบเขาในภายหลัง ตอนนี้จึงทำได้เพียงระงับความโกรธไว้ “ให้ข้าไปหานาง”
“ไม่ได้หรอก” ผิงชวนก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เหลือร่องรอย “หากข้าบอกให้เจ้ารู้ว่าจ้านอนข้างกระดูกมาหลายปี เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?”
“นี่เป็นคำสั่งของเสด็จแม่” ซ่านจินจื๋อโบกมือให้ผิงชวนออกไป “แม้ว่าข้าจะเกลียดนางเพียงใด แต่ข้าไม่มีทางใช้วิธีเหล่านี้แน่นอน แต่ถ้าหากข้าบอกนาง นางจะทำอย่างไรกับความกระตือรือร้นของเสด็จแม่?”
ผิงชวนมองซ่านจินจื๋อด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ดึงมือกลับมา
มีเพียงแต่ซ่านจินจื๋อเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ทำเรื่องผิดกับซู๋ฮองเฮาเพราะในเวลานั้นนางเชื่อคำพูดของซูพ่านเอ๋อ จึงคิดว่าสิ่งที่กู้อ้าวเวยต้องการคือทรัพย์สมบัติของตนเอง นางจึงเกลียดกู้อ้าวเวยมาก
แต่เขากลับไม่เคยขอให้ซู๋ฮองเฮาทำเรื่องนี้
เพียงเพราะในเวลานั้น เขาค้นพบแล้วว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อกู้อ้าวเวยนั้นแตกต่าง
กู้อ้าวเวยกลับมาพร้อมรอยยิ้มเสมอเมื่อเข้าไปในวัง ในตอนนั้นเขาแสร้งทำเป็นเห็นนางอยู่ในสายตาและนางก็ถูกโจมตีอย่างหนัก หากตอนนี้นางรู้ว่าคนที่เปรียบเสมือนย่าทำกับนางเช่นนี้ นางจะรู้สึกอย่างไร?
ซ่านจินจื๋อไม่กล้าที่จะเดิมพัน
เขาเดินไปรอบๆเมืองเทียนเหยียนราวกับแมลงวันหัวขาด และในที่สุดก็พบนางในโรงหมอโหย่วเว่ย
นางสวมชุดที่สง่างามและเท้าหนึ่งข้างของนางถูกห่อหุ้มด้วยผ้าเนื้อดี ดวงตาของนางแดงก่ำและชิงจือที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างทุกข์ใจก็หยิบผ้าคลุมมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง
“เจ้าไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้า” กู้อ้าวเวยบีบนิ้วไว้แน่นแล้วสบตาเขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำและไม่ลืมเช็ดน้ำตาบนใบหน้า
“ข้าผิดไปแล้ว” ซ่านจินจื๋อยังคงเดินไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าลงและมองไปที่เท้าที่เพิ่งได้รับการรักษา จากนั้นกระซิบว่า “เจ้าจะตีจะด่าข้ายังไงก็ได้”
“ข้าจะกล้าดียังไง” กู้อ้าวเวยตะคอกแล้วยังถอยเท้าของตนเองกลับไป
“ตราบที่เจ้าต้องการ เจ้าจะแทงข้าด้วยมีดกี่ครั้งก็ย่อมได้” ซ่านจินจื๋อจับมือแล้วมองลึกเข้าไปข้างในดวงตาของนาง “ข้าทำร้ายเจ้ามาตลอด เจ้าบอกว่าจะแก้แค้นแต่เจ้ากลับไม่เคยทำร้ายข้าเลยจริงๆ”
“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องการให้ข้าเห็นน้ำตาของเจ้า” ซ่านจินจื๋อวางมือทั้งสองข้างไว้บนฝ่ามือของนางแล้วกระซิบว่า “ข้าจะใช้ชีวิตนี้ชดเชยให้กับเจ้า”