บทที่ 557 พลิกแผนโจรลักม้า
กู้อ้าวเวยหรี่ตาลงพลางควบบนหลังม้า ตะบึงมาตลอดทางกายท่อนล่างเจ็บปวดไปหมด แม้กระทั่งมือที่กำบังเหียนก็บุบสลาย จึงหยิบผ้าเนื้อละเอียดมาพันไว้ลวก ๆ
นางสวมชุดสีดำรีบรุดออกจากเมือง ก็เพียงเพราะความปลอดภัยของหยุนหว่าน
อ้ายซู่จือถูกตนเห็นหน้าเข้าแล้ว หากพบว่าฆ่าตนไม่ตาย คงจะต้องติดต่อเจียงเยี่ยนให้คนอื่น ๆ พาหยุนหว่านกลับไป และครั้นนึกถึงโจรลักม้ากับโจรภูเขาในละแวกนี้ ในใจนางก็มีความแน่วแน่แล้ว
พวกโจรลักม้าและโจรภูเขาเหล่านี้ไม่ปฏิสัมพันธ์กับแคว้นใด ๆ เลย ขอเพียงได้รับอะไรบางอย่างหลังสงคราม หรือไม่ก็ยักยอกส่งสินค้าของพ่อค้าเพื่อหากำไร ในทำนองเดียวกัน ภายใต้สมมติฐานที่ต้องการปกป้องตัวเอง พวกเขายังสามารถทำตัวเป็นอันพาลและนักฆ่าได้
โดยปกติแล้วบางทีก็เพียงเพื่อช่วยเหล่าพ่อค้าวาณิชแก้ปัญหาฝ่ายตรงข้ามที่จรผ่านไปมา แต่ถ้าหากอ้ายหยินไม่ได้โง่เง่าเลยสักนิด หมายจะขูดรีดเงินประชาชนมาเพื่อซื้อพวกโจรม้าโจรภูเขาก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ก็ไม่แน่ว่านางคิดมากเกินไป
“พระองค์ โจรลักม้ากำลังคลั่งอยู่ด้านนอก ท่านออกไปทั้งอย่างนี้…”
“ยามปกติพวกโจรม้าจะคลุ้มคลั่งแบบนี้หรือ” กู้อ้าวเวยนั่งบนหลังม้าพลางไถ่ถามเช่นนี้
“เปล่าเลย” ผู้ช่วยขุนพลด้านหลังสำลักหนึ่งที จากนั้นจึงมองทางกู้อ้าวเวยอย่างเหลือเชื่อ “ความหมายของพระองค์คือ…หรือว่าโจรม้าพวกนั้นกำลังรวบรวมเงิน”
“บางทีเป้าหมายของพวกเขาก็คือคนที่ข้ากำลังตามหา จะทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ได้ เจ้าให้คนด้านหลังไล่ตามโจรม้าไป ครั้นมีข่าวคราวอันใดให้รีบบอกข้าโดยด่วน” ขณะที่ออกคำสั่ง กู้อ้าวเวยก็ไม่ลืมสังเกตภูมิประเทศใกล้เคียง พลางคิดว่าหยุนหว่านออกไปจากทางไหนกันแน่
ตลอดทั้งวันนางเอาแต่เตร็ดเตร่ กระทั่งถึงยามราตรี ถึงได้พักผ่อนในป่าภูเขาจุดหนึ่ง กู้อ้าวเวยนั่งอยู่ข้างกองไฟ เหล่าทหารไม่เคยเห็นองค์หญิงท่านนี้มาก่อน จึงไม่กล้าเข้าใกล้
เพราะเหตุใดตลอดทางขามาท่านแม่ถึงไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เลย นี่มันน่าเหลือเชื่อไปหน่อย กระทั่งนางติดต่อกับคนของทิงเฟิงเก๋อระหว่างทาง ยังไม่รู้แหล่งที่อยู่ของนางเลย กลับไม่ได้ยินข่าวการถอนทัพของกู้เฉิงหรืออ้ายหยินเลย
ขณะที่นางกำลังคิดสะระตะ นายทหารรักษาการณ์ที่อยู่ด้านข้างก็ชี้ขึ้นไปบนฟ้า
“มีกองคาราวานร้องขอความช่วยเหลือ นั่นคือระเบิดพลุสีแดง พวกเขาพบกับโจรม้าแล้ว”
บรรดาพลทหารต่างทยอยกันลุกขึ้น กู้อ้าวเวยรีบพลิกตัวขึ้นหลังม้า ขุนพลที่อยู่ด้านข้างกลับคว้านางเอาไว้ “พระองค์ไปเสี่ยงอันตรายไม่ได้ เรื่องเล็กน้อยพวกนั้นปล่อยพวกเรารุดหน้าไปเถิด”
“ข้าสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียว กลัวว่าอันตรายจะยิ่งทวีคูณ” กู้อ้าวเวยกล่าวเช่นนี้ และเดินตามหลังกลุ่มทหารบุกเข้าไปในป่า
และบนถนนใหญ่สายหนึ่ง คนของโจรม้าสูญเสียไปมากกว่าครึ่ง กองคาราวานราว ๆ หนึ่งร้อยคนนั้นกลับบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน ตอนที่พวกเขารีบร้อนตามมา กู้อ้าวเวยรับประกันว่านางจะลงจากม้าในที่ปลอดภัย โดยไม่คำนึงถึงการต่อสู้ข้างหน้า ทำเพียงมุ่งความสนใจไปรวมกลุ่มกันกับคนที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น
คนที่โชคดีมีชีวิตรอดไม่ได้บาดเจ็บสาหัสนัก กู้อ้าวเวยจึงพาพวกเขาไปยังสถานที่ปลอดภัย รอจนกระทั่งพวกโจรม้าถูกจัดการ คราวนี้จึงเริ่มลงมือพันผ้าพันแผล สองคนที่บาดเจ็บสาหัสเจ็บเกือบทั้งแขน ยังมีคนหนึ่งที่บาดเจ็บช่วงแผ่นหลัง กู้อ้าวเวยทำได้เพียงถอดไม้กระดานออกครึ่งแผ่นช่วยเขาดันไว้ให้มั่น แล้วจึงมาช่วยรักษาอีกสองคน
เหล่าทหารทยอยตักน้ำสะอาดบางส่วนเข้ามา แม่ทัพคุกเข่าลงด้านข้าง ถามไถ่คนเหล่านั้น “พวกเจ้าเคยเห็นฮูหยินที่สวมผ้าโปร่งคลุมหน้าผ่านมาแถวนี้หรือไม่”
หนึ่งในสาวใช้รีบพยักหน้า “ใช่แล้ว ฮูหยินท่านนั้นสวมผ้าโปร่งคลุมหน้า ซ้ำยังเตือนพวกเราให้รีบออกจากที่แห่งนี้ พวกเราอยู่ต่อแค่คืนเดียวเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกโจรปล้นม้าไล่ตามทัน…”
หลังจากกู้อ้าวเวยเก็บของเสร็จก็รับฟังน้ำคำของสาวใช้คนนั้นให้ชัดเจน ล้วงผ้าขนหนูออกมาให้นางกัด ส่วนตนก็เย็บสมานปากแผลพวกนั้น พลางพูดเสียงดัง “นอกจากนี้ พวกเจ้ายังรู้อีกหรือไม่ว่าฮูหยินท่านนั้นมุ่งไปยังทิศทางใด”
“ฮูหยินท่านนั้นบอกว่าจะไปสถานที่แห่งหนึ่งนามว่าตำบลเหยสุ่ย ทั้งยังบอกว่าโจรม้าอาละวาด เตรียมการไปท่าเรือสามสิบลี้ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองกวนผิง น่าจะเป็นทางอ้อมยาวทีเดียว” อีกคนกล่าวเสริมเช่นนี้ ยังเอ่ยว่าฮูหยินท่านนั้นคล้ายกับรีบร้อน
กู้อ้าวเวยย่อมจำตำบลเหยสุ่ยได้อยู่แล้ว เพียงแต่สถานที่นั้นเป็นเพียงแค่สถานที่สามลัทธิเก้าสำนัก ก็ไม่รู้ว่าหยุนหว่านไปที่นั่นมีธุระอันใด แต่หากว่าพูดถึงท่าเทียบเรือนอกเมืองกวนผิง ที่นั่นมีกองทหารเฝ้าประจำการเช่นเดียวกับชางหลาน กอปรกับ ละแวกนี้ยังมีทางผ่านภูเขาหนึ่งแห่ง แต่ถ้าหากนับดูแล้วระยะทางระหว่างจุดนี้ถึงตรงนั้น ก็ค่อนข้างไกลพอสมควร
ตลอดทั้งคืนกู้อ้าวเวยเอาแต่พันแผลให้กับหลาย ๆ คนอย่างดี ก่อนขุนพลจะส่งคนนำพวกเขาส่งกลับไปที่เอ่อตาน
“พาพวกเจ้าไปด้วย ข้าคงไม่ค่อยสะดวกไปท่าเรือของชางหลาน เลือกมาสักสามสี่คนตามข้าก็พอแล้ว” กู้อ้าวเวยลูบขาทั้งสองข้างที่เริ่มปวด พลางออกคำสั่งต่อไป
ขุนพลย่อมรู้ว่าชางหลานให้ความสำคัญอย่างมากกับธารสายนั้นอยู่แล้ว เพื่อความวุ่นวายอันไม่จำเป็น จึงเหลือผู้ที่มีวิทยายุทธ์แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้สี่คน หนึ่งในนั้นยังมีคนหนึ่งเป็นถึงผู้ช่วยของเขา แซ่หลี่ หลังจากนั้นจึงนำกองคาราวานมุ่งสู่ชางหลาน
กู้อ้าวเวยเดิมไม่คุ้นชินกับการพาคนจำนวนมากมายขนาดนี้มาด้วย ทว่าตอนนี้กลับคุ้นชินกับการออกบัญชาเสียแล้ว
เพียงแต่ร่องรอยการเดินทางของพวกนางก็นับว่าถูกซ่านจินจื๋อและกุ่ยเม่ยพบเข้าจนได้
กำลังคนสองกองทัพต่างมุ่งหน้าไปท่าเทียบเรือพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
……
ผ้าโปร่งสีดำปกคลุมใบหน้า บนเรือนกายยังคงเป็นชุดตัวยาวสีดำหลวม ๆ
ผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ข้างกายหยุนหว่านก็มีแต่จื่อเหมิง ส่วนที่เหลืออีกสี่คนต่างก็เป็นวรยุทธ์ ทว่าตอนนี้ สองคนในนั้นได้แผ่อยู่บนเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้ท่านหมอในหมู่บ้านเล็ก ๆ คอยดูแล จื่อเหมิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึม “คิดไม่ถึงว่าพิราบส่งสารทั้งหมดจะถูกขวางไว้ ระยะทางยังห่างจากท่าเทียบเรือชางหลานตั้งหนึ่งวัน หากถูกตามทันเช่นนี้ต่อไป คืนนี้พวกเราคงต้องตายท่ามกลางป่าเขานี้แน่แล้ว”
“สุดท้ายข้าก็ประเมินความใจกล้าของกู้เฉิงต่ำไปจนได้” กำปั้นของหยุนหว่านที่วางบนผิวโต๊ะกำแน่นอย่างเอาตาย พลางเอ่ยเสียงเย็น “ตอนนี้เขาทำเพื่อสิ่งของจอมปลอม จนกระทั่งไม่ใยดีแว่นแคว้นของตัวเอง น่าเสียดายก็แต่ข้าติดกับแล้ว คิดว่าชางหลานเกิดเรื่อง จึงรีบเร่งบังเหียนม้ามุ่งสู่ชางหลานโดยเร็ว แต่กลับถูกตัดขาดกลางทาง”
“ตอนนี้คนสองฝั่งต่างติดต่อไม่ได้เลย มีเพียงท่าเทียบเรือแห่งนั้นที่เป็นหนทางรอดเดียว” จื่อเหมิงเองก็พลอยทอดถอนใจด้วย เดิมทีพวกเขาควรมุ่งหน้าไปฐานที่มั่นสองแห่งเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แต่ได้ยินว่าทิงเฟิงเก๋อในชางหลานถูกเปิดโปงแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับในนั้นถูกคนมีแก่ใจช่วงชิงไป หยุนหว่านจำต้องกลับไปก่อนเพื่อดูแลสถานการณ์โดยรวม ทว่าคิดไม่ถึงเลยครึ่งทางระหว่างสองแคว้น กลับถูกคนของเจียงเยี่ยนและแคว้นซินดักทางทั้งสองฝั่ง ไร้เรี่ยวแรงอ้อนวอน
“แต่ว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี” หยุนหว่านปรนลมหายใจหนึ่งเฮือกปุบปับ พลางก้มหน้างุด “หากข้าสามารถตายอยู่ที่นี่แบบไม่มีสุ้มไม่มีเสียง ก็จะเป็นการปลดปล่อยอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
จื่อเหมิงหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน “ท่านกำลังพูดอะไรน่ะ เรื่องแบบนี้ต้องไม่ให้เกิดขึ้นง่าย ๆ อยู่แล้ว ตอนแรกที่ท่านตัดสินใจทำเรื่องนี้ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องของท่านเพียงคนเดียวแล้ว ช้าเร็วต้องมีสักวัน คุณหนูต้องรู้เรื่องนี้แน่ นางยังคงจะเดินตามรอยเท้าของท่านอยู่ดี”
หยุนหว่านนิ่งเงียบเป็นนาน แต่ยังคงพยักหน้าหนักแน่น “ก็จริง ต่อให้ตาย ข้าก็ต้องจัดการเรื่องพวกนี้เสีย ไม่มีเหตุผลจะต้องทำให้นางทนทุกข์อีกต่อไปเด็ดขาด”
“ปึง…” บานประตูถูกเปิดออกเต็มเหนี่ยว
“คนของกู้เฉิงตามมาทันแล้ว” ผู้ใต้บัญชาข้างกายเอ่ยเช่นนี้