บทที่ 553 ข้าทาสสร้างสถานการณ์รบ
คุกใต้ดินซึ่งไม่เห็นแสงตะวัน
หลังจากซูพ่านเอ๋อถูกกักขังในกรงเหล็ก มีแสงสว่างเพียงรำไรกระทบใบหน้าของคนที่มาเยือน
นางคิดไม่ถึงว่าทั้ง ๆ ที่ตนเข้ามาในฐานะองค์หญิงแคว้นซินแท้ ๆ แต่กลับยังไม่ได้พบอ้ายหยินสักครั้ง หนำซ้ำยังถูกคนลากเข้าตะรางอย่างไร้ปรานีอีกด้วย ทนรับการเฆี่ยนตีด้วยเส้นแส้ แผ่นหลังนั้นเปื้อนเลือด เสื้อผ้าบนเรือนกายก็แสนยับเยิน
ส่วนอ้ายจือที่ถูกกักขังก่อนหน้าที่ซูพ่านเอ๋อจะมากลับยืนมั่นอยู่หน้าประตูอย่างนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว หนำซ้ำองครักษ์ข้างกายยังช่วยนางถือตะเกียงอีกด้วย
“บิดารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์และการเจรจาระหว่างท่านกับกู้เฉิงมาตั้งนานแล้ว กลับคาดไม่ถึงว่าท่านคิดว่าเขาจะไม่กล้าฆ่าท่านจริง ๆ” อ้ายจือนั่งยอง ๆ ข้างรั้วเหล็ก สายตาจ้องมองที่นางโดยตรง “ท่านโง่เง่ากว่ากู้อ้าวเวยมากมายนัก ถึงขั้นไม่รู้เชียวว่านับตั้งแต่แรกกู้เฉิงไม่ได้หมายจะให้ท่านรอดชีวิตกลับไป”
“กู้เฉิงนั้น…”
“ไม่เช่นนั้นท่านคิดว่าพวกเรามีสายลับที่จะเข้าใกล้ฮ่องเต้แคว้นศัตรูได้หรือ” อ้ายจือทอดถอนใจเบา ๆ หยิบเอาอาหารจากในมือของผู้ติดตาม ส่งเข้าไปในกรงรั้วเหล็ก
กลับมองเห็นรอยแผลเป็นอันน่ากลัวบนน่องขาของนางโดยไม่ตั้งใจเข้า
“ท่านได้รับบาดเจ็บคราวนี้ วันหน้าจะไปพบอ๋องจิ้งได้อย่างไรกันอีกเล่า” อ้ายจือทอดถอนใจเบา ๆ อีกครั้ง ยื่นยารักษาแผลและผ้าเนื้อละเอียดส่งให้นางผ่านทางช่องว่าง
ซูพ่านเอ๋อหอบหายใจอย่างหนัก และยิ่งต้องการใช้ดาบตัดเฉือนกู้อ้าวเวยมากขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่โกรธแกมหงุดหงิด คุกใต้ดินอันเงียบสงบก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังลอยเข้ามา
เมี่ยวหารแทบจะกรูเข้ามาเบื้องหน้าคุก นั่งยอง ๆ บนพื้นกุมมือของซูพ่านเอ๋อเอาไว้ ทั้งนัยน์ตาเปี่ยมด้วยความปวดใจ “นี่ท่าน…”
“ตอนนี้นางถูกกู้เฉิงขายให้พวกเราแล้ว” อ้ายจือเสมองมือคู่นั้นซึ่งกำกันแน่นของทั้งสองคน รู้สึกเพียงแต่คลื่นไส้ จึงหยัดตัวลุกขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าปกป้องท่านไว้ไม่ได้หรอก พวกท่านหารือกันเอาเองเสีย คนที่อยู่ด้านนอกก็ติดสินบนไว้เรียบร้อยแล้ว”
กล่าวจบ อ้ายจือก็ให้ผู้ติดตามวางตะเกียงลง ก่อนออกไปอย่างรวดเร็ว
ด้านในห้องย่อมต้องมีคนอื่น ๆ ที่คอยฟังน้ำคำของทั้งสอง ส่วนนางกลับยังต้องคอยติดสินบนไปทั่ว ยิ่งไม่อายปล่อยให้อ้ายหยินรู้ว่าตนได้ยินข่าวนี้มาจากทางฝั่งของกู่เซิง ทำเพียงจัดระเบียบเสื้อผ้า นำคนมายังห้องหนังสือของบิดา
อ้ายหยินอายุมากแล้ว ในเวลานี้เอกสารราชการส่วนใหญ่ถูกส่งมอบให้กับลูกชายหลายคนไป
ตอนนี้เหลือบเห็นลูกสาวคนนี้ กลับใคร่รู้ขึ้นมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าซูพ่านเอ๋อเป็นคนไม่ดี”
อ้ายจือหัวเราะหยันหนึ่งที ทำเพียงวางขวดหยกหนึ่งอันลงบนผิวโต๊ะ “พิษนี้ข้าเคยเห็นที่ตำหนักอ๋องจิ้ง ทั้งยังเป็นพิษที่กู้อ้าวเวยพระชายาจิ้งคนก่อนทำขึ้น นางมาครั้งนี้ได้พกมาด้วยกว่าสิบชนิด ซ้ำยังไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของกู้เฉิงอีก จึงคิดว่านางอาจจะเดิมพันชีวิตของตัวเอง เพื่อแลกกับชีวิตของใครหรือไม่…”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ อ้ายจือทำเพียงช้อนสายตามองไปทางบิดา
บุคคลหลังจึงเข้าใจความหมายนี้ทันใด พลางควงขวดหยกเล่น “แต่ข้ากลับไม่ได้ยินข่าวอะไรเลยด้วยซ้ำ หากกู้เฉิงเต็มใจร้องขอความสงบจริง ๆ ข้ายังทำร้ายลูกสาวในนามคนนี้ของเขาอีกด้วย…”
“รายงานขอรับ” ทหารนายหนึ่งพุ่งถลาเข้ามาจากด้านข้าง “แคว้นซินบุกโจมตีอีกครั้ง พระองค์ได้นำคนไปรักษาเมืองด้วยตัวเองแล้ว”
อ้ายหยินตบโต๊ะลุกขึ้นทันที อ้ายจือกลับหัวเราะเย็นชา “ท่านพ่อคิดว่า นี่ก็คือความจริงใจของกู้เฉิงหรอกหรือ”
จากนั้นสายตาอ้ายหยินพลันเย็นเยียบ คิดในใจว่า หากกู้เฉิงคนนี้ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า คิดว่าซูพ่านเอ๋อคล่องมือแล้ว ทำไมต้องส่งคนมาบุกโจมตีอีก คงทำได้เพียงให้อ้ายจือคอยดูซูพ่านเอ๋อไว้ให้ดี ส่วนตนค่อยออกไปฟังข่าวคราวของแนวหน้าอีกที
แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน การบุกโจมตีหนนี้ แม้แต่แคว้นซินก็ยังยุ่งเหยิงเป็นพัลวัน
กู้เฉิงยกมือขึ้นฟาดผิวโต๊ะอย่างดุดัน ตบจนโต๊ะเกิดเสียงดังปึงปัง ตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “เมื่อครู่พวกเราส่งคนเข้าไปแล้ว เหตุใดตอนนี้เจ้าพวกโง่นั่นถึงไม่ฟังบัญชาแล้วเคลื่อนทัพไป”
บุตรธิดาหลายคนต่างก้มหน้าและไม่รู้ว่าเหตุใด
กู้จี้เหยาเดิมควรจะยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างว่าง่าย ในเวลานี้กลับเห็นกู่เซิงพยักหน้าให้นางเบา ๆ จึงเดินเข้าไปอย่างรู้งาน และเอ่ยวาจาตามคำพูดที่เตรียมไว้ล่วงหน้า “มิได้เคลื่อนทัพเสียหน่อย แต่ก่อนหน้านี้ผู้คนส่วนใหญ่ในตำบลอำเภอหลายแห่งทางฝั่งนั้นล้วนเป็นทาส พวกเขาไม่ได้ถูกจัดแจงสถานที่ดี ๆ ซ้ำยังถูกคนรังแกข่มเหง จะบอกว่าเคลื่อนทัพ ไม่สู้บอกพวกเขาให้ไปพึ่งใบบุญล่ายเสวียนเสียดีกว่า”
กู้เฉิงเลิกหัวคิ้ว รู้สึกแปลกใจกับลูกสาวคนนี้ที่ไม่เคยออกความคิดเห็นอะไรเลยตั้งแต่เล็ก “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
“ตอนที่ข้ากลับไปยังแคว้นซินก็ผ่านที่นั่นมาเจ้าค่ะ” กู้จี้เหยากล่าวอย่างเบาหวิว
ในความเป็นจริงทุกอย่างนี้ก็หนีไม่พ้นการจัดฉากเอาไว้ของกู่เซิงและอ้ายจือ ส่วนกู้จี้เหยาเพียงแค่ทำตามคำสั่งของทั้งสองคนเท่านั้นเอง
กู้เฉิงมุ่นคิ้วให้คนไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ไม่นานเท่าใดนัก เจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองคนก็เอ่ยเหตุผลแบบเดียวกันกับกู้จี้เหยาออกมาจริง ๆ ด้วย แต่ถึงแม้พวกเขารู้ เจียงเยี่ยนกลับไม่รู้อย่างแน่นอน สถานการณ์ของทั้งสองแคว้นคงรังแต่จะตึงเครียดมากกว่าเดิม
แต่น่าเสียดายตอนนี้เขายังไม่มีกำลังพลไปช่วงชิงทาสพวกนั้นกลับมา ต่อให้แย่งกลับมาก็คงจะทำได้เพียงให้ทาสชั้นต่ำทั้งหลายพวกนั้นของแคว้นซินค้นพบว่าเรื่องราวไม่ถูกต้อง และเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง กู้เฉิงจึงยกมือขึ้น “ส่งคนไปจัดการล่ายเสวียน หากมีทัพชางหลานเฝ้าเมือง ก็บุกโจมตีเข้าไปโดยตรง”
เขาไม่เชื่อ ชางหลานจะใช้กองกำลังทหารไปช่วยเหลือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งระหว่างทุกแคว้นจริง ๆ
กู่เซิงตระหนักว่าเรื่องราวเริ่มมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่เขาได้เตรียมแผนการแก้ปัญหาที่สมบูรณ์ในเรื่องดังกล่าวไว้เช่นเดียวกัน ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ถนัดการลงสนามศึก ก็ใช้โอกาสนี้หลีกทางให้แก่บรรดาพี่น้องอย่างสมมาพาควรเสียเลย
รอกระทั่งหลายคนออกไป เขาจึงเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ต่อให้แย่งชิงคูเมืองของล่ายเสวียนแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ทาสพวกนั้นจะยังคงต่อต้านอยู่ดี”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะเป็นเช่นไร” มือที่เคาะผิวโต๊ะของกู้เฉิงหยุดลงมาแล้ว
“ย่อมต้องคิดหาวิธีดึงเข้าพวกอยู่แล้ว สำหรับคนที่ไร้หนทางดึงเข้าพวกได้ ก็ไม่สู้ขายไมตรีให้กับล่ายเสวียนไปเสีย” กู่เซิงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ มองไปยังแผนที่บนผิวโต๊ะ “ล่ายเสวียนไม่ได้มีความสามารถแห่งจักรพรรดิ ทาสที่คอยติดตามข้างกายส่วนใหญ่ล้วนยากจะกลายเป็นกษัตริย์ ดังนั้นข้าใคร่รู้มาโดยตลอด เหตุใดชางหลานจึงได้เลือกปกป้องคูเมืองแห่งนี้เอาไว้”
กู้เฉิงมองไปที่แผนผังบนแผนที่อย่างแปลกใจ ผ่านไปเนิ่นนาน จึงหัวเราะเบา ๆ ออกมา “เจ้าคิดว่า ชางหลานต้องการให้ล่ายเสวียนนั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากชาวประมง? ดังนั้นจึงมีแก่ใจปกป้องรักษาสินะ”
กู่เซิงหัวเราะเบา ๆ เช่นเดียวกับจดหมายที่ส่งมาจากกู้อ้าวเวย กู้เฉิงไม่ได้เชื่อว่าชางหลานปกป้องล่ายเสวียนเพียงแต่หนึ่งประโยคของกู้อ้าวเวยเลยสักนิดเดียว แต่กลับคิดไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมาย
เขายังจำทุกคำทุกประโยคบนจดหมายฉบับนั้น จึงกล่าวห้วน ๆ “เจียงเยี่ยนและแคว้นซินรบกัน จะต้องพ่ายแพ้ราบคาบทั้งสองฝ่ายแน่นอน แต่สองแคว้นกลับมีจุดร่วมเดียวกันอย่างหนึ่ง ก็คือกุญแจสำคัญอันแท้จริงในการต่อสู้ครั้งนี้”
ดวงตาของกู้เฉิงค่อย ๆ หรี่ลงมา “ทาสที่ถูกกดขี่เหล่านั้น”
ต้องขอบคุณความแตกต่างทางชนชั้นรวมถึงนโยบายของเจียงเยี่ยน ทาสที่เหลืออยู่ถึงแม้จะมีไม่ถึงครึ่ง แต่ปริมาณก็ไม่น้อยเลย เทียบกับประชาชนทั่วไปแล้ว ทาสพวกนี้แม้ว่าจะร่ายรำปืนดาบไม่เป็น แต่ก็มีพละกำลังที่มากกว่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันของทั้งสองแคว้นต่างก็เป็นสตรีและเด็ก
และในตอนนี้ ทาสกลายเป็นกำลังกระดูกสันหลังอันแข็งแกร่งไปแล้ว
จำนวนทาสในแคว้นซินเกือบจะเท่ากับประชาชนทั่วไป กอปรกับชนเผ่าอื่น ๆ ตอนนี้ก็ยากจะจัดการมากขึ้นไปอีก หากให้พวกทาสได้รับสิทธิ์เทียบเท่ากับประชาชนทั่วไปโดยแท้จริงอีกละก็ กลัวว่าจะทำให้อลหม่านกันภายในเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงอืดอาดไม่ยอมรามือกับพวกทาสได้เลยจริง ๆ
ทว่าเอ่ยถึงตอนนี้ เขาจึงค้นพบว่าคนจำพวกนี้น่ากลัวมากมายเพียงใด
หากว่าพวกทาสเหล่านี้พร้อมใจกันก่อกบฏขึ้นมา หันเหไปทางล่ายเสวียน ส่วนเจียงเยี่ยนแคว้นซินล้วนสิ้นเปลืองทรัพยากรบุคคลและวัตถุไปปริมาณมากแล้ว เช่นนั้นก็มีเพียงแต่ต้องถูกทาสพวกนี้เขมือบไปเกือบหมดเท่านั้นแล้ว
ครุ่นคิดโดยละเอียด กู้เฉิงพลันตบโต๊ะลุกขึ้น “ขายไมตรีนี้ของล่ายเสวียนไปเสีย เทียบกับการให้เขานั่งรับผลประโยชน์จากชาวประมงแล้ว ไม่สู้ข้าก้มหัวเป็นเมืองบรรณาการของชางหลานไปก่อน จัดการเจียงเยี่ยนนั่นได้แล้ว แคว้นซินของข้าก็จะก่อร่างเป็นหนึ่งในสามมหาอาณาจักร”
“ฮ่องเต้ทรงพระปรีชานัก” กู่เซิงโน้มกายคารวะ กลับไม่ได้ทำให้กู้เฉิงมองเห็นแววเย็นชาใต้ตานั้น