บทที่ 601 เก็บเป็นความลับ
เผชิญหน้ากับซ่านจินจื๋อ ซ่านต้วนเฟิงกลับกลายเป็นคงหยิ่งผยองดังเช่นเมื่อก่อน รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเกรงใจ “ท่านอาล้อเล่นแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ข่าวลือพวกนั้นข้ายินดีจะขอโทษในความผิดที่ทำกับองค์หญิงผู้นั้น”
“แบบนี้ดีที่สุด” ซ่านจินจื๋อเดินไปยังเบื้องหน้าของกู้อ้าวเวย เห็นผมของนางดูยุ่งเหยิง แต่ไม่ได้ยกมือขึ้นมา อีกทั้งนางยังไม่ต้องการจะให้มาแตะต้องตัวนางเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายเก้าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา พูดออกไปแต่เพียงเบาๆ “ชิงจือกำลังตามหาเจ้า”
กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ ดวงตาดอกท้อคู่หนึ่งนั้นดูหม่นลงเล็กน้อย
ดูเหมือนว่านางจะไม่นำราชวงศ์เหล่านี้มาไว้ในสายตา จะมาจะไปก็ทำตามใจชอบ เมื่อเดินผ่านซ่านต้วนเฟิงก็ได้แต่จับลูบตรงเอวและคอที่เจ็บ ต้องโทษที่เมื่อคืนนี้ซ่านจินจื๋อตื่นเต้นมากเกินไป นางยิ่งกัดฟันรับ แบบนี้ยิ่งไม่รู้อะไรสำคัญไม่สำคัญ แผลที่หน้าอกตอนนี้ก็ไม่มีอาการเจ็บแม้ไม่ได้กินยา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้นางสบายใจมากขึ้น
แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไป กลับได้ยินซ่านต้วนเฟิงเดินมาด้านข้าง “องค์หญิงควรจะใช้ผ้าพันคอปกปิดให้มิดชิดนะ”
ดวงตาของเขามองไปยังด้านข้างของคอเสื้อนาง มีรอยสีชมพูอ่อนปรากฏออกมาให้เห็นอยู่ครึ่งหนึ่ง
แม้ว่ากู้อ้าวเวยจะไม่สามารถเก็บอารมณ์บนสีหน้าเอาไว้ได้ สั่งให้คนไปนำผ้าสีขาวมา ตนเองยืนนิ่งอยู่กับที่ หันศีรษะมองไปยังซ่านจินจื๋อ มีตำหนิเล็กน้อยในดวงตาที่นุ่มนวลนั้น
“ข้ายังต้องจัดการเรื่องที่จะกลับเมือง” ซ่านจินจื๋อยังคงเดินไปยังห้องหนังสือด้วยรอยยิ้ม
“อย่างนั้นวันนี้ ให้ชิงจือตามข้ามาแล้วกัน” กู้อ้าวเวยหยิบผ้าพันคอสีขาวมาจากสาวใช้ นำมาพันคอตามใจชอบ จนเกือบจะคลุมไปถึงครึ่งใบหน้า แสดงให้เห็นเพียงปลายจมูกแสนกลม แม้ไม่หนาวเท่าไรแต่ดูน่ารัก
แม้แต่ซ่านต้วนเฟิงเองก็ยังมองถึงสองสามครั้ง กู้อ้าวเวยก็คือฟางหวาอย่างแน่นอน เป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุดของผู้หญิง
สายตาเฝ้าดูการจากไปของนาง ซ่านต้วนเฟิงยังคงมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ในขณะที่ซ่านจินจื๋อกำลังยุ่งอยู่ ก็ได้พบกับซ่านเซิ่งหานที่กำลังเตรียมเข้าพิธีการแต่งตั้งรัชทายาท แม้ว่าทั้งสองพี่น้องจะต่างมารดากัน แต่กลับมีความคล้ายกันอยู่มาก
“มาที่นี่วันนี้ คงจะไม่ใช่มาหาพี่ที่นี่เพื่อทานอาหารหรอก” ซ่านเซิ่งหานสวมชุดยาวลายไผ่และดอกเบญจมาศ ดูอบอุ่นดุจหยก ทุกทวงท่าดูสง่างาม แต่กลับมองไม่เห็นด้านของการบู๊
และซ่านต้วนเฟิงที่อยู่ตรงหน้านั้นกำเนิดมามีจมูกโด่ง ริมฝีปากบางดวงตาแคบ มองดูมีภาพลักษณ์ที่แสนจะเย็นชา แต่เมื่อนั่งลง กลับมองเห็นได้ว่าเขาสองคนเป็นพี่น้องกัน เพียงเพราะบุคลิกที่ดูสง่างามลุ่มลึก ถือได้ว่าเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงมากกว่าซ่านเซิ่งหาน
ขณะที่นั่งอยู่ตรงนี้ตอนนี้ สายตากลับจ้องไปยังเยว่ซึ่งกำลังเสิร์ฟอาหารอยู่ด้านข้าง “ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายพี่สามล้วนแต่เป็นหญิงงามมากมาย เหตุใดจึงเลือกองค์หญิงเอ่อตาน”
เป็นครั้งแรกที่เยว่ได้ยินคนพูดว่ากู้อ้าวเวยนั้นหน้าตาไม่ดี ในเวลานี้ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มและรินน้ำชาเติมให้เขา “องค์ชายเก้าพูดจาเหลวไหล ในบรรดาผู้หญิงทั้งหมดนั้น องค์หญิงนี้แหละที่มีความโดดเด่นที่สุด”
“สำหรับข้าแล้ว พี่สะใภ้สามกับเจ้านี่สิถึงดูดี” ซ่านต้วนเฟิงเห็นซ่านเซิ่งหานทำสีหน้างุนงง คิดแต่เพียงว่าองค์ชายสามนี้ไร้แม่คอยดูแล ชีวิตราบเรียบน่าเบื่อมาก่อน ต่อมาก็เพิ่งจะได้เห็นความสามารถที่แสดงออกมาตอนอยู่บนศาล แม้สตรีที่มิได้สูงศักดิ์ที่อยู่ข้างกาย จึงคิดว่าเขาคงจะไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ พูดต่อไป “การจะแต่งกับองค์หญิงก็มีเพียงแต่เพื่ออำนาจทางการเมือง”
สายตาของซ่านเซิ่งหานเปล่งประกาย กลับพูดด้วยเสียงต่ำ “มิใช่เช่นนั้น ข้ารักนางจากใจจริง”
“จริงหรือ” ซ่านต้วนเฟิงหัวเราะเบาๆ
“ข้าจริงจัง นางไม่ใช่คนหยิ่งผยองและเอาแต่ใจ จะว่าไปแล้วดูจะรู้กาลเทศะอะไรควรไม่ควรมากกว่าฉางอีฉิน พบกันไม่กี่ครั้ง ก็รู้สึกถูกใจนางแล้ว แต่บังเอิญว่ามีกองกำลังของแคว้นเอ่อตานคอยหนุนหลังนาง นี่อาจจะเป็นความโชคดีของข้านะ” ซ่านเซิ่งหานเป็นเหมือนพี่ชายที่รู้ใจในบรรดาองค์ชายทั้งหมด ในตอนนี้เต็มไปด้วยความรัก ใครจะไปเชื่อ
มือที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว แต่สีหน้าของซ่านต้วนเฟิง พูดต่อไป “พี่สาม เช้าวันนี้ ข้าเห็นนางเดินออกมาจากตำหนักของท่านอา ผู้หญิงแบบนี้ เจ้ายังจะรักหรือ”
ซ่านเซิ่งหานเคลื่อนไหวอยู่พักหนึ่ง ความตื่นตระหนกในดวงตาถูกซ่านต้วนเฟิงมองเห็นอย่างรอบด้าน
เยว่ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ ในใจคิดว่าซ่านต้วนเฟิงนี้เหมือนกบที่อยู่ก้นบ่อ แท้จริงก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรลึกซึ้งซับซ้อน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เห็นสีหน้าแท้จริงของซ่านเซิ่งหาน
“บางทีมีเรื่องอยากจะปรึกษา แต่อย่างไรอ๋องจิ้งก็มีปัญหาต่างๆของพวกขุนนางให้คอยแก้ไข” เยว่พูด
“บางทีสินะ” ซ่านต้วนเฟิงหัวเราะแห้ง จากนั้นก็พูดเรื่องอะไรต่ออีกเล็กน้อย จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างปมในใจให้ซ่านจินจื๋อ
รอจนกระทั่งกินอิ่ม ซ่านต้วนเฟิงจึงออกไป
ความอบอุ่นก่อนหน้านี้ของซ่านเซิ่งหานเปลี่ยนไป ดวงตาดุจดั่งนกอินทรีย์ วางชามและตะเกียบในมือลง ทำอะไรไม่ถูก “หากไม่ใช่ว่าเบื้องหลังของซ่านต้วนเฟิงมีกองกำลังมากมาย ข้าก็ไม่อยากจะเปิดเผยออกมา”
“อันที่จริง องค์ชายสามก็สามารถจะปีนขึ้นมายังตำแหน่งตอนนี้ของท่านได้ จะมาเป็นคนไร้น้ำยาให้คนเขาคอยเสี้ยมได้อย่างไร” เขาคิดแบบนั้นจริง ๆ ว่าซ่านเซิ่งหานมาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะโชค และยังคิดจริง ๆว่าที่เขาไม่แต่งกับพวกคนรวยก็เพราะความไม่รู้ เมื่อเทียบความมั่งคั่งแล้ว ซ่านเซิ่งหานแค่ต้องเชื่อใจผู้หญิงรอบตัวเขา เพื่อซ่อนความทะเยอทะยานของเขา
“เขาโง่เขลาแบบนี้ ข้ากลัวว่าจะถูกพวกขุนนางนำมาใช้เป็นมีดดาบทิ่มแทง หากเขาขึ้นมารับตำแหน่ง อย่างนั้นพวกขุนนางที่โหดร้ายก็จะมาต่อรองกับรัฐได้” ซ่านเซิ่งหานลุกขึ้นยืน “นำเรื่องนี้ไปแจ้งกับท่านอา ให้เขาเลี่ยงการติดต่อกับกู้อ้าวเวย ที่สุดแล้วคำพูดของคนนี่แหละที่น่ากลัว แม้ว่าซ่านต้วนเฟิงจะงี่เง่า แต่กลับไม่รู้ว่าฮองเฮากำลังจะทำอะไร”
“ใช่” เยว่พยักหน้าและกลับออกไป
……….
หลังอาหารกลางวัน กู้อ้าวเวยก็นำไม้แกะสลักที่ตั้งใจแกะมาสองสามวันส่งให้ชิงจืออย่างระมัดระวัง
นางไม่ได้แกะเป็นรูปสัตว์หรือสิ่งของ แต่เป็นของมงคลรูปร่างคล้ายกุญแจโบราณ แม้ว่ารูปแบบจะดูไม่ได้งามนัก แต่ชิงจือก็ยังดูมีความสุข “ท่านแม่ทำเองกับมือเลยหรือ ทำให้ข้าคนเดียวใช่ไหม”
“แม้แต่พ่อก็ไม่ทำให้” กู้อ้าวเวยนำตัวเขามากอดเอาไว้ในอ้อมแขน แล้วพูดไป “ของชิ้นนี้เก็บเอาไว้ให้ดีนะ อย่างทิ้งขว้างเป็นอันขาด”
“นี่เป็นของที่สำคัญมาเลยหรือ” ชิงจือลืมตาโตด้วยความสงสัย
“สำคัญมาก ๆ” กู้อ้าวเวยหลบตา นิ้วอันเรียวดุจหยกนั้นเคลื่อนผ่านของมงคลรูปร่างคล้ายกุญแจโบราณนั้น บนนั้นมีรอยแตกยาวที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และได้แสดงรอยแตกนี้ให้เขาดู “มีข้อตกลงระหว่างแม่กับพ่ออยู่ด้านใน จะเปิดดูในนั้นได้ก็เมื่อถึงฤดูหนาวหลังจากผ่านไปสามปี”
ปลายนิ้วของชิงจือใช้มือลูบตรงช่องยาวนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อย่างนั้นข้าขอดูหน่อยได้ไหม”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อพ่อกับแม่ได้” กู้อ้าวเวยทำสัญญาณมือให้เงียบไว้ อีกมือหนึ่งก็โอบรอบแขนของชิงจือ จับมือชิงจือเบาๆ “ในฤดูหนาวอีกสามปีข้างหน้า ชิงจือจะยินดีเก็บรักษาความลับนี้ให้แม่ไหม”
“บอกพ่อได้ไหม” ชิงจือขมวดคิ้วขึ้นมา
“ไม่ได้หรอก หากว่าถูกหยิบออกมา สัญญานั้นก็ไม่บรรลุผล” กู้อ้าวเวยส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “เจ้าจะช่วยเก็บความลับนี้ไว้ได้ไหม”
แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีใครเชื่อว่าเด็กจะสามารถรักษาความลับไว้ได้ พวกเขามักถูกบงการโดยพ่อแม่เสมอ มีความเป็นไปได้ว่าจะนำเรื่องทั้งหมดไปบอกต่อ แต่ชิงจือกลับกำมือแน่น ถามกู้อ้าวเวยอย่างจริงจัง “ข้ากลัวว่าข้าจะรักษาความลับไว้ไม่ได้”
“รอให้เจ้ารู้สึกว่าเจ้ารักษามันไว้ไม่ได้ ก็ให้แอบเอาไปบอกกับพ่อ ว่าในนี้มีสัญญาฉบับหนึ่งอยู่” กู้อ้าวเวยลูบศีรษะของเขา แต่ดวงตากลับมีความอาลัยอาวรณ์ “แต่แม่ก็ยังหวังว่าเจ้าจะเก็บรักษาความลับไว้ได้”
“ข้าทำได้” ชิงจือยิ้มและทิ้งตัวไปยังอ้อมแขนของกู้อ้าวเวย โดยไม่ได้สนใจว่านิ้วของกู้อ้าวเวยกำลังรวบรวมอยู่ด้านหลังเขา