บทที่ 593 ไร้โอกาสกำชัยโดยสิ้นเชิง
หลังจากนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ซ่านต้วนโฉงจึงปริปากเอ่ยเสียงต่ำ “หากเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้าจะรีบออกราชโองการเดี๋ยวนี้”
“ต้องขอให้ฝ่าบาทออกราชโองการโดยพลัน ข้ามิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย” สีหน้ากู้อ้าวเวยเป็นปกติ คุกเข่าอยู่บนพื้นยังคงนั่งแผ่นหลังเหยียดตรง ดวงตาสองข้างนั้นไม่หวาดเกรงต่ออาภรณ์เหลืองอร่ามนั้นเลย ยิ่งไม่สนใจว่าบนแท่นปะรำจะเป็นใคร
แทบจะเห็นว่าฮ่องเต้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือคนหนึ่งเท่านั้น หาใช่บุคคลสูงศักดิ์ไม่
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะแปรปรวนเช่นนี้” ซ่านต้วนโฉงหยัดตัวลุกขึ้น เสมองนางจากที่สูง “ชั่วชีวิตนี้ของเจ้า เคยทำลายหลักการของตนเองเพื่อผู้อื่นบ้างหรือไม่”
“ไม่เลย” กู้อ้าวเวยกล่าวห้วนๆ ค่อยๆ เชยปลายคางขึ้น “มนุษย์เกิดมาก็เพื่อมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น”
“จงจำถ้อยคำวันนี้ของเจ้าไว้ วันหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ถูกเจ้าจูงจมูกอีกแล้ว ลุกขึ้นเถิด”
ซ่านต้วนโฉงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ตัดสินใจออกราชโองการ
กู้อ้าวเวยก็พลอยหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา ก่อนหยัดตัวลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า เหลือบมองดวงหน้าของซ่านต้วนโฉงที่คล้ายคลึงกับซ่านจินจื๋อหลายส่วนไปพลาง ก่อนถอนใจอย่างจนแต้ม “ฝ่าบาทช่างเหมือนกับซ่านจินจื๋อยิ่งแล้ว มักจะอ่อนโยนเสมอ”
นางเดินออกไปด้านนอกก่อนที่ขันทีจะนำสิ่งของเข้ามา เผชิญหน้ากับแสงสนธยาอันแดงซ่าน แผ่นหลังแสนเปล่าเปลี่ยว
ซ่านต้วนโฉงอดมองอีกหลายทีไม่ได้ จนกระทั่งราชโองการร่างจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาจึงบีบพู่กันในมือ และไม่วางลงเลยเป็นเวลาเนิ่นนาน
ซ่านจินจื๋อ เคยอ่อนโยนตั้งแต่เมื่อไรกัน?
เขาคิดไม่ตก แต่ซ่านเซิ่งหานที่รออยู่นอกประตูเป็นเวลานานแล้วกลับมองกู้อ้าวเวยซึ่งเดินมาทางตน แต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปหานาง ทำเพียงยืนห่างจากนางเพียงช่วงไหล่ ชำเลืองดูอาทิตย์อัสดงสู่ประจิม ยามสนธยาพร่างฟ้าสะท้อนสู่นัยน์เนตร ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “บางทีท่านอาอาจจะเกลียดเจ้า หรือไม่ก็แย่งเจ้ากลับไป”
“เขาเกลียดข้านับเป็นเรื่องดี หากแย่งข้ากลับไป ก็แค่จ่ายชีวิตนี้ให้แก่เขา ก็ถือเป็นความผิดฐานหลอกลวง ต่อให้เขารู้ความจริงและทนทุกข์ไปชั่วชีวิตที่เหลือ คงเป็นเพียงการลงทัณฑ์ที่ยังไม่สิ้นสุดในปีนั้นเท่านั้นเอง” ในดวงตากู้อ้าวเวยสว่างพรางแวบหนึ่ง คิดมาเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าหนึ่งในนั้นคือหาใช่ความคดเคี้ยวหรือเที่ยงตรงไม่
หัวไหล่ของทั้งสองกระทบเข้าด้วยกันบ่อยครั้ง กลับไม่อาจทำให้เกิดประกายไฟได้เลยสักครึ่งเสี้ยว
“ระหว่างเจ้ากับข้า เป็นเพื่อนกันก็ไม่เลวเลย” ซ่านเซิ่งหานอดปริปากไม่ได้
“คงไม่ดีกว่า เดิมท่านก็คงถวิลหาข้าอยู่เหมือนเก่า หากสักวันหนึ่งข้าตายขึ้นมาจริงๆ ท่านก็จะปวดใจชั่วระยะหนึ่ง ไม่สู้ให้ข้าลบล้างสิ่งเหล่านี้ออกไปเสียก่อนดีกว่า” กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างจนปัญญา เอียงหน้าเหลียวมองเขา “ต้องให้เป็นความตาย ข้าเองก็ไม่อยากติดหนี้ใคร ยิ่งไม่ต้องการให้คนบริสุทธิ์อย่างพวกท่านเพิ่มมลทินเข้าไปใหญ่”
“เจ้าดื้อรั้นและเข้มแข็งเกินไปแล้ว” ทันใดนั้นซ่านเซิ่งหานก็ไม่พูดว่าควรพูดอะไรบ้างแล้ว
“อิสระสัญจร สันโดษเหนือใด คือเรื่องราวที่ข้าอยากทำให้สำเร็จ” กู้อ้าวเวยจนปัญญาเช่นเดียวกัน ชาติก่อนนางจากไปแบบปุบปับยิ่ง นี่ก็เป็นเพียงความปรารถนาเล็กๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น หาใช่ความเข้มแข็งดังที่ซ่านเซิ่งหานคิดไม่
แต่ว่านางเองก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้คนอื่นทราบ ขอเพียงรู้จักตัวเองก็พอแล้ว
กลับไม่รู้เลยว่ายิ่งนางดึงดันกับความปรารถนาเล็กๆ ของตนมากเพียงใด ซ่านเซิ่งหานยิ่งยากจะรามือง่ายๆ มากเพียงนั้น
บนโลกนี้สตรีส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่เพื่ออยู่ใต้ปกครองบุรุษ ต่อให้เป็นคนที่มีชีวิตเพื่อตัวเอง คงไม่พ้นดิ้นรนหลายวันคืน ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงผู้อื่นหรือเปลี่ยนแปลงลูก ขอเพียงตนสามารถมีชีวิตต่อไปอย่างอิสระ ก็นับว่าเป็นสตรีที่เข้มแข็งแล้ว
พระราชโองการจะส่งมาวันพรุ่ง ทว่าคืนนั้น องค์ชายและคณะทูตไม่น้อยต่างรับรู้เรื่องดังกล่าว
ซ่านจินจื๋อหากู้อ้าวเวยไม่พบเลย ขณะที่กอดชิงจือซึ่งหลับสู่ห้วงนิทราลึกแล้วเร่งรุดไปยังบ้านพักภูเขา เฉิงเอ้อก็นำเรื่องนี้มาบอกทีละอย่าง
“เป็นอุบาย?” ซ่านจินจื๋อยังคงไม่อยากจะเชื่อ
ระยะนี้เขากับกู้อ้าวเวยควรจะไร้ความเคียดแค้นชิงชังกันจึงจะถูก ตนก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ยั่วโมโหนางเสียหน่อย
“หาใช่อุบายไม่ วันพรุ่งก็น่าจะมีพระราชโองการลงมาแล้ว แม้กระทั่งคณะทูตต่างก็รับรู้เรื่องนี้ เมื่อครู่ฮองเฮาก็ทรงกริ้วอยู่ในตำหนัก คล้ายกับว่าฮ่องเต้ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากกลับไปจะแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นรัชทายาทในทันที ทั้งยังหมั้นหมายกับองค์หญิงแห่งเอ่อตานด้วย” เฉิงเอ้อกล่าวด้วยเสียงร้อนรน
หากเป็นเรื่องใหญ่อย่างการแต่งตั้งรัชทายาท ซ่านต้วนโฉงย่อมไม่อาจตัดสินใจอย่างง่ายดายอยู่แล้ว
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เขาส่งชิงจือที่อยู่ในอ้อมอกมอบให้เฉิงเอ้อ ก่อนสาวเท้าตัวปลิวเดินไปทางเรือนที่กู้อ้าวเวยพักอยู่
ทว่าใต้ชายคาเบื้องหน้า กู้อ้าวเวยสวมเพียงอาภรณ์สีขาวตัวบางยืนอยู่กับซ่านเซิ่งหานภายใต้โคมไฟสีแดง แสงนุ่มนวลทำให้สีหน้าของนางชุ่มฉ่ำเป็นสีกุหลาบมากขึ้น คล้ายกับเหลือบเห็นเขาที่อยู่ข้างประตู ดวงตาสองข้างนั้นทอดมองเข้ามา ครั้นปริปากก็เป็นคมมีดกรีดกระดูก “ท่านอามาแสดงความยินดีกับพวกเราหรือ”
“กู้อ้าวเวย!” เรียวตาของซ่านจินจื๋อหรี่ลงเล็กน้อย พลางเดินสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไป
ซ่านเซิ่งหานก้าวมาบังระหว่างพวกเขาเสียก่อน มือข้างหนึ่งยกขึ้นขวางไว้เบื้องหน้าของกู้อ้าวเวยพอดี “ท่านอา คิดว่าท่านต้องได้ยินเสียงลอยลมแล้ว เวยเอ๋อกำลังจะหมั้นหมายกับข้า ย่อมต้องเรียกท่านว่าท่านอาอยู่แล้ว”
“เจ้าไม่อยากได้ชีวิตของซูพ่านเอ๋อแล้วหรือ” ดวงตาสองข้างของซ่านจินจื๋อแดงก่ำ
เขาแค่ไม่ได้อยู่ข้างกายนางเพียงครึ่งวันเท่านั้นเอง ตอนนี้นางกลับก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมา มันเพื่ออะไรกันแน่
ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยกลับลากผ่านมุมปากเบาๆ เจือท่าทีอ่อนช้อยเพิ่มขึ้นมาก “ย่อมอยากได้อยู่แล้ว แต่ขอเพียงองค์ชายสามได้เป็นฮ่องเต้ ทุกอย่างที่ข้าต้องการล้วนสามารถบรรลุผลทั้งสิ้น ท่านก็ไม่ต้องเคลื่อนพล ชีวิตของซูพ่านเอ๋อก็จะประเคนใส่ในมือของข้าแล้ว”
ผู้หญิงสมควรตายคนนี้!
ซ่านจินจื๋อสลัดซ่านเซิ่งหานที่อยู่ตรงหน้าออกโดยไม่ลังเลสักนิด บุคคลหลังรู้สึกเพียงว่าเจ็บท่อนแขนคล้ายถูกก้อนหินชนกระแทกก็ไม่ปาน ในเวลานี้คงไร้ปัญญาไปช่วยกันกู้อ้าวเวยเอาไว้โดยสิ้นเชิง
ถูกคนบีบลำคอเอาไว้นานแสนนาน
กู้อ้าวเวยรู้สึกเพียงแต่หายใจติดขัด ถอยร่นไปด้านหลังติดต่อกันหลายก้าว จนกระทั่งถูกเขากดลงบนเสา แผ่นหลังส่งเสียงอู้อี้ออกมา ซ่านจินจื๋อจึงคล้ายกับตระหนักอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะค่อย ๆ คลายลงเล็กน้อย “ดังนั้นเรื่องพวกนั้นที่เจ้าทำทั้งหมดก่อนหน้านี้…”
“ก็แค่หาใครสักคนมาเป็นองครักษ์เท่านั้นเอง ท่านอากลับจริงใจต่อข้ามากจริง ๆ เชียว” กู้อ้าวเวยฝืนท่อนขาสองข้างที่เริ่มอ่อนปวกเปียก เค้นเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอ
เวลานี้ซ่านจินจื๋อจะต้องเกลียดชังตนเข้าแกนกระดูกเป็นแน่
ทว่าหากรู้ความจริง เขาควรจะเป็นอย่างไรอีกกันเล่า? กู้อ้าวเวยอดหัวเราะเย้ยหยันสันดานเสียของตนไม่ได้เลย นางเป็นแค่ผู้หญิงน่ารังเกียจคนหนึ่ง คนที่รักมากที่สุดคงหนีไม่พ้นมีเพียงตนเองเท่านั้นแหละ
แต่สิ่งที่เข้ามาทดแทน กลับเป็นการเคลื่อนไหวที่ผ่อนคลายอย่างปุบปับของซ่านจินจื๋อ
อากาศบริสุทธิ์ไหลสู่โพรงจมูกและลำคอ เล่นเอากู้อ้าวเวยไอแค่กเบาๆ หลายทีโดยสัญชาตญาณ มองเขาด้วยความแปลกใจทั่วใบหน้า “ทำไม ท่านอานี่คือ…”
“ไม่ว่าเจ้าจะกำลังเล่นพิเรนทร์อะไรอยู่” ซ่านจินจื๋อกำหมัดแน่นอย่างเอาตาย ส่วนมือที่ยกขึ้นแต่ยังไม่คลายออกนั้นกลับเห็นว่าคล้ายจะตบเข้าที่หน้าผากของนางอย่างจัง เห็นว่านางหรี่ตาลงน้อยๆ พลางหลบเลี่ยง ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “รอให้ถึงตอนที่ฝุ่นตกตะกอนแล้ว ข้าจะสั่งสอนเจ้างาม ๆ เอง”
“อะ…” กู้อ้าวเวยกุมหน้าผากที่ไม่แม้แต่จะเรื่อแดงด้วยซ้ำ
น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด ซ่านจินจื๋อได้หมุนกายออกไปเสียแล้ว แทบจะเดินเฉียดหัวไหล่ของซ่านเซิ่งหานไป ทิ้งทวนเพียงหนึ่งประโยคสั้น ๆ “ไม่ว่าระหว่างเจ้ากับนางจะบรรลุข้อตกลงอะไรกัน แต่ขอเพียงเจ้ากล้าหักหลังนาง ทำให้นางตกสู่ที่นั่งลำบากละก็”
“ฮ่องเต้ชางหลานนี้ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นแล้ว”
สลัดแขนเสื้อจากไป ก่อนที่ซ่านจินจื๋อจะจรลีได้จ้องกู้อ้าวเวยอย่างดุดันปราดหนึ่ง “ข้าจะกลับไปบอกชิงจือให้เรียบร้อยว่าใครกันแน่ที่โลเลสับปลับ!”
กู้อ้าวเวยทั้งโกรธทั้งตัดพ้อเล็กน้อย สีหน้าปั้นยากไม่ยอมเปล่งวาจาแม้แต่คำเดียว
ส่วนซ่านเซิ่งหานกลับยืนอยู่ที่เดิม ลูบลำแขนที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงป้อย ๆ ยังคงนิ่งเงียบอยู่
ที่แท้ ซ่านจินจื๋อเชื่อใจเวยเอ๋อเพียงนี้ตั้งนานแล้ว
เขา แทบจะไร้โอกาสกำชัยโดย