บทที่ 607 โลภสำหรับข้า
กู้อ้าวเวยซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนเพิ่งจะตื่นขึ้นจากความฝัน
ความหนาวเหน็บคืบคลานเข้ามาจากฝ่าเท้าเคลื่อนขึ้นสู่หัวใจ นางอึดอัดราวกับมีฝ่ามือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดหัวใจของนาง นางอ้าปากค้างหายใจอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะลุกจากเตียงด้วยเหงื่อท่วมตัว เมื่อเห็นว่าฤดูหนาวกำลังมาถึง ห้องที่แสนเยือกเย็นไร้เตาผิง ไม่ว่านางจะสวมใส่ขนแกะสักกี่ชั้นก็ไม่อาจเพียงพอ
เมื่อรู้ว่าวันนี้กุ่ยเม่ยจะมาถึง นางจึงสวมอีกเพียงไม่กี่ชิ้น ทำให้ดูเหมือนคนอ้วนขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่บริเวณคอก็ยังมีขนนุ่ม สาวใช้ที่อยู่โดยรอบตกใจอยู่ครู่หนึ่ง “คุณหนู ฤดูหนาวยังไม่มาถึงเลย ท่านดูจะใส่มากชั้นเกินไปแล้ว”
“ฉันกลัวว่าอีกสักพักจะถูกคนบ่นจู้จี้” สิ่งที่กู้อ้าวเวยกลัวที่สุดคือมีกุ่ยเม่ยคอยจ้องนิ่งอยู่ หลังจากนั้นก็จ้องมองนางเอาเป็นเอาตายอย่างไร้ยางอายเหมือนกับซ่านจินจื๋อ จนกระทั่งนางสวมใส่ทุกอย่างเรียบร้อยอย่างเชื่อฟังจะยอมหยุด
สาวใช้อดไม่ได้ที่จะยิ้ม นำอาหารเช้าเข้ามาให้นาง
ฉีหรัวก็เข้ามาพร้อมกับกุ่ยเม่ยที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงด้วยความวุ่นวายและเหนื่อยหล้า เมื่อทั้งสองคนได้เข้ามาเห็นกู้อ้าวเวยต่างก็หัวเราะขึ้นมา กุ่ยเม่ยรีบมุ่งไปข้างหน้าทันที ใช้มือที่เปื้อนฝุ่นจากการจับบังเหียนมาบีบแขนเสื้อของนาง “เจ้าดูแลตัวเองได้แล้ว และรู้จักการเคี้ยวช้า ๆแล้ว”
“คนเราก็ต้องโตขึ้นกันบ้างสิ” กู้อ้าวเวยกลอกสายตามองบน ตบไปที่โต๊ะเพื่อเชิญให้เขานั่งลงรับประทาน
กุ่ยเม่ยมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าตอนที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของอ๋องจิ้ง และยิ่งต้องทำงานหนักเมื่อมาคอยติดตามรัชทายาทฉูห้าวคนนี้ และตอนนี้ดูจะมีความสุภาพอ่อนหวานกับผู้บังคับบัญชามากขึ้น การเคลื่อนไหวเพื่อนั่งลงในตอนนี้ก็ดูจะเป็นระเบียบเข้าที่เข้าทางกว่าแต่ก่อน
หลังอาหารเช้า กู้อ้าวเวยยังคงจมปลักอยู่กับความเปลี่ยนแปลงมากน้อยของผู้คนรอบกาย ก็ได้ยินฉีหรัวพูดกับนาง “คนรอบตัวเปลี่ยนไปตั้งมากมาย แต่พอมาดูเจ้า ดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเมื่อก่อนเลย”
“จริงหรือ ข้าดูซ่านจินจื๋อกับชิงจือก็ไม่เปลี่ยนนะ” กู้อ้าวเวยเช็ดมุมปาก
“ตอนนี้องค์ชายเริ่มเป็นคนที่เข้าถึงง่าย รู้จักการโน้มน้าวใจคน เรื่องนี้ข้ารู้มาจากการติดตามองค์รัชทายาท และตอนนี้ขุนนางจำนวนไม่น้อย ที่รู้ว่าเจ้าใช้เวลาในงานเลี้ยงในวังสอนชิงจือเรื่องการบ้านการเมือง เจ้าจำได้ไหมว่าตอนที่ชิงจือเพิ่งจะรู้เรื่องรู้ราว แม้แต่พูดก็ไม่รู้จะพูดยังไง” กุ่ยเม่ยเกือบจะสำลักคำพูดของกู้อ้าวเวย
เงียบอยู่เป็นเวลานาน กู้อ้าวเวยไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพียงแต่ยกมือขึ้น “เรียกเจ้ามาวันนี้ อันที่จริงมีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกกับพวกเจ้า รอให้จางเหยียงซานมาถึงก่อน”
“เรื่องอะไรหรือ ทำไมก่อนหน้าจึงไม่เคยได้ยินเจ้าพูด” ฉีหรัวถามพลางให้คนนำอาหารเช้าออกไป
รอจนกระทั่งทุกคนจากไป กู้อ้าวเวยก็ปลดกระดุมเสื้อผ้าของนางออกทีละชั้น เผยให้เห็นรอยอันน่ากลัวที่ไต่ไล่ไปตามไหล่สีขาวราวกับหิมะนั้น เมื่อเห็นดังนั้นคิ้วทั้งคู่ก็ขมวดขึ้น นางกลับพูดขึ้นเบาๆ “ตอนนั้น ตอนที่ซูพ่านเอ๋อได้มอบยาแกล้งตายให้ข้า มีการผสมรากเหง้าของถุงน้ำดีหงส์เอาไว้ มันเป็นพิษรุนแรง ข้าไม่ได้รักษามันให้ดีก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้มีเวลาไม่มากแล้ว อย่างน้อยก็สองปี อย่างมากก็สามปี”
“ทำเจ้าไม่บอกตั้งแต่แรก” กุ่ยเม่ย ลืมตาโตด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ข้าได้ถอนพิษออกไปตั้งแต่แรกแล้ว แม้แต่น้าจู้กับท่านแม่ก็ยังไม่สังเกตเห็น ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้สนใจอะไร มากนัก จนกระทั่งข้ามีเลือดไหลออกมาจากหัวใจแล้วรู้สึกปวดเล็กน้อย จึงได้พบว่ายังมีพิษแอบซ่อนอยู่ลึกมาก ตอนนี้มันเพิ่งจะปรากฏออกมา ข้าเพียงแต่แปลกใจว่าตอนนั้นข้าไม่ควรจะกังวลแบบนี้ เพียงแต่หวังจะสามารถมีลมหายใจต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่เป็นอย่างวันนี้” กู้อ้าวเวยเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเคร่งเครียด
ไม่ว่าตอนนั้นซ่านจินจื๋อจะรักนางมากแค่ไหน นางกลับไม่สามารถไว้วางใจได้อีกแล้ว และยังมีอารมณ์อีกมากมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้การแสร้งเฉยเมย
เป็นเพราะนางกลัวจะระเบิดออกมาจึงต้องการจะจากไป
และยังหวังจะจากไปอย่างไม่เป็นกังวล
“ถ้าตอนนั้นข้าอดทนอีกสองสามปี รู้จิตใจที่แท้จริงของซ่านจินจื๋อ…….” กู้อ้าวเวยหดหู่ใจ เหมือนกับว่าพิษจากรากเหง้าถุงน้ำดีหงส์ เป็นเพราะนางทนไม่ได้เอง
“แต่ถึงแม้ว่าตอนนั้นเจ้าจะไม่จากไป ซูพ่านเอ๋อก็ยังคงจะวางยาพิษเจ้า” ใบหน้าของฉีหรัวเคร่งขรึม “นางทำยาแกล้งตายนี่ขึ้นมาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็เพราะหวังว่าจะให้เจ้าตายจริง ๆ ไม่ว่าในตอนนั้นเจ้าจะเลือกอย่างไรก็ตาม เจ้าก็ต้องถูกพิษนี้อยู่ดี และแม้ว่าอ๋องจิ้งจะไม่เอาผิดซูพ่านเอ๋อ แต่กลับไม่สามารถที่จะรั้งเจ้าไว้ให้อยู่ร่วมชายคากับนางได้”
ชั่วครู่หนึ่ง กู้อ้าวเวยก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
“องค์ชายรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” กุ่ยเม่ยถาม
“ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่อง รวมถึงคนใกล้ชิดของข้าและซ่านจินจื๋อ” ความเศร้าโศกเยือกเย็นในดวงตาของกู้อ้าวเวยหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงแต่รอยยิ้มบาง ๆ “ข้าเอาเรื่องนี้มาบอกพวกเจ้า ไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้ามาเป็นกังวลตัวข้า เพียงแต่ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ยังต้องการจะเพิ่มน้องชายน้องสาวให้กับชิงจือ”
“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!” ฉีหรัวมีน้ำเสียงดังขึ้น “ผู้หญิงคนหนึ่งจะให้กำเนิดลูกก็เหมือนการเดินผ่านประตูผี ตอนนี้ร่างกายของเจ้า……”
“ข้ารู้ว่ามันร้ายแรงแค่ไหน ถึงแม้จะตั้งครรภ์ในเดือนสิบ ข้าก็ยังมีเวลาเหลืออยู่หลายเดือน เพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนี้อยู่ในห้วงศึกสงคราม ข้าจึงอยากบอกกับพวกเจ้า ให้พวกเจ้าคอยดูแลข้า ให้คลอดลูกโดยราบรื่น หากว่าไม่ตั้งครรภ์ ในอีกไม่กี่เดือนข้าก็ต้องกลับไปหาซ่านจินจื๋อแล้ว” กูอ้าวเวยยิ้มเบาๆ
ฉีหรัวยังคงอยากจะพูดอะไรออกไป แต่กุ่ยเม่ยแตะนางเอาไว้บนโต๊ะเบาๆ
“ซีจือกับชิงต้ายล้วนแต่ได้ล้วนแต่จากไปแล้ว บางทีพวกเขาคงจะกลับมาเกิดใหม่กันแล้ว” กุ่ยเม่ยกล่าวอย่างจริงจัง
กู้อ้าวเวยมองไปยังกุ่ยเม่ยอย่างทำอะไรไม่ได้ ถอนหายใจออกมา “อันที่จริง ข้าคนนี้ก็ไม่เคยยืนกรานเรื่องใดเลยในชีวิต แต่ข้าไม่สามารถจะปล่อยวางเรื่องของชิงต้ายและซีจือออกไปได้เลย และก็ไม่คิดจะปล่อยวาง”
“ชิงต้ายฝากชีวิตของนางไว้กับข้า ข้าเองก็ได้แต่ใช้ชีวิตให้ดีและทำเพื่อตัวเอง นี่คือเพื่อนของข้า และซีจือก็ควรจะมีความสุขอยู่บนโลกใบนี้ แต่ข้าก็รู้ดีว่าสภาพแวดล้อมตอนนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่ข้ากลับไม่ปกป้องให้สุดกำลัง ข้าจึงคิดจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเขา” กู้อ้าวเวยใส่เสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยอีกครั้ง “และข้าต้องการมีลูก เพียงเพราะข้าเป็นแม่ของชิงจือ เขาไม่ต้องการให้ข้าตาย แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่อาจรู้ได้ แต่หากว่ามีลูกทิ้งไว้อีกสักคน ก็หวังว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาลืมข้าได้”
ใครบอกว่าคนเราจะมีความหลงใหลเพียงเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ
กุ่ยเม่ยอ้าปาก แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าไม่ใช่สามีของเจ้า เป็นเพียงแค่เพื่อนผู้ใกล้ชิด หากว่านี้คือสิ่งที่เจ้าเลือก ข้าก็จะทำทุกทางเพื่อปกป้องเจ้า ขอเพียงแค่ให้เจ้าสมปรารถนา”
“จริงหรือ” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นเหมือนเด็ก ตาคู่นั้นเปล่งประกายออกมา
“เจ้าก็บ้าไปแล้ว” ฉีหรัวขมวดคิ้วมองไปที่กุ่ยเม่ย
“ข้าไม่ได้บ้า ก่อนหน้านี้ชิงต้ายก็สอนข้าแบบนี้” กุ่ยเม่ยส่ายหน้า “นางเชื่อใจข้ามาก ข้าก็ควรจะเชื่อใจนางว่านางสามารถจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เจ้าจะรับรองได้ไหม”
“ได้” กู้อ้าวเวยพยักหน้าอย่างจริงจัง โน้มตัวไปกอดกุ่ยเม่ยดังพี่น้อง แล้วพักศีรษะไว้ที่คอของเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าเชื่อฟังคำพูดของชิงต้ายมากที่สุด”
กุ่ยเม่ยโอบกอดนางไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก ฉีหรัวก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ได้แต่เพียงตอบรับคำ แต่กลับอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าไม่คิดจะบอกอ๋องจิ้งจริง ๆหรือ”
“บอกไม่ได้หรอก เขาไม่มีทางเห็นด้วย” กู้อ้าวเวยส่ายหน้า “เขาต้องการข้ามากกว่าเด็กในท้อง ยิ่งคิดอยากจะได้ข้า เขาโลภเกินไปสำหรับข้า จะบอกเขาไม่ได้”