บทที่ 592 ความรับผิดชอบของอ๋องจิ้ง
ซูพ่านเอ๋อถูกบังคับให้คอยอยู่ข้างคอกม้า เฉิงยีใช้กริชจี้ที่แผ่นหลังของนางไม่ยอมถอยร่นเลยสักครึ่งก้าว ส่วนชิงจืออ่านบันทึกที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยอ่านจบเสียที นวดลำคอพลางเงยหน้าขึ้นมา เสมองซูพ่านเอ๋อ “ท่านพี่หิวหรือไม่ ข้าจะไปหยิบอาหารบางส่วนมาให้กินนะ”
“ไม่หิว” ซูพ่านเอ๋อเปล่งสองคำนี้รอดไรฟันออกมา “เฉิงยี ข้าอยากถามท่านพี่จื๋อเสียหน่อยว่าข้าทำผิดเรื่องอะไรกันแน่”
“สมรู้ร่วมคิดกับเซียวไห่และซู๋ฮองเฮา ระดับความผิดเช่นนี้ก็เพียงพอจะฆ่าเจ้าพันครั้งได้แล้ว”
น้ำเสียงของซ่านจินจื๋อลอยมาจากทางประตู ชุดดำเหลือบทองทั้งร่างทรงอำนาจดุดัน สายตาแสนเยือกเย็น
ซูพ่านเอ๋อรู้สึกเพียงว่าร่างกายแข็งทื่อ ความเย็นวาบไหลแนบลงบนแผ่นหลัง ทำเอานางตระหนกจนเหงื่อกาฬท่วมศีรษะ
เพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น ไฉนท่านพี่จื๋อจึงมองออกถึงความไม่ชอบมาพากลในนั้นได้กัน?
ชิงจือกลับไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน ทำเพียงยิ้มและวิ่งไปหยุดอยู่ข้างกายซ่านจินจื๋อ ทำให้สีหน้าอึมครึมของบุคคลหลังเริ่มโอนอ่อนลงบ้าง ใช้มือข้างหนึ่งโอบชิงจือเข้าสู่อ้อมกอด สายตาที่มองไปทางซูพ่านเอ๋อเยือกเย็นไม่ลดละเลยสักนิด “ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักหน แต่ว่าเพราะเจ้ายังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง หากไม่สามารถทำตัวเป็นประโยชน์ต่อข้าได้ ข้าย่อมเฉือนมือเท้าของเจ้ามัดไว้หน้าหลุมศพอาจารย์กับท่านอาจารย์หญิงเพื่อสำนึกผิดหนึ่งร้อยปีแน่นอน”
คล้ายกับฉุกคิดถึงสามวันที่อยู่ในคุกใต้ดินขึ้นมา ซูพ่านเอ๋อยังจำได้ถึงสภาพน่าเวทนาก่อนลาโลกของชิงต้ายในปีนั้น เดิมก็ระส่ำระสายทุกคืนอยู่แล้ว ปัจจุบันยิ่งขยาดกลัวเข้าไปใหญ่ “ท่านพี่จื๋อ ข้าไม่ได้สังหารท่านอาจารย์กับอาจารย์หญิงจริง ๆ นะ…”
“ต่อให้ไม่ได้ฆ่า เจ้าก็ทำร้ายเวยเอ๋อกับลูกสองคนของกู้จี้เหยาอยู่ดี สองชีวิตนี้ แลกกับความเจ็บปวดในชีวิตที่เหลือของเจ้า ข้าก็ไม่ยี่หระเลยด้วยซ้ำ” ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นอุดใบหูของชิงจือเอาไว้ การเคลื่อนไหวอ่อนโยนถึงขีดสุด
ในน้ำคำเช่นนี้นางกลับสัมผัสถึงความรู้สึกที่ราวกับถูกคมมีดกรีดเฉือนผิวหนัง หนังศีรษะมึนชา ทั้งดวงหน้าเริ่มซีดเผือดขึ้นมา “ท่านพี่จื๋อ…”
“เจ้าไม่คู่ควรจะใช้ชื่อนี้เรียกข้าตั้งนานแล้ว หลายวันมานี้ยอมให้เจ้ามีชีวิตรอด เจ้าคิดจริง ๆ เชียวหรือว่าข้ายังอาลัยอาวรณ์ในความรักครั้งเก่าอยู่?” ซ่านจินจื๋อก้าวไปข้างหน้า ฉวยเอาขนมอบน้ำตาลชิ้นหนึ่งวางใส่อ้อมแขนของชิงจือ ไม่สนใจว่าเขาจะกินจนตัวเองเปื้อนเศษขนมปังไปหมด ยังคงกอดเขาเอาไว้ตามเดิม ยามที่หมุนกายหมายจะออกไป กลับทิ้งทวนไว้หนึ่งประโยคอันแสนราบเรียบ “เพียงแค่สงสัยใคร่รู่ว่าระหว่างเจ้ากับเซียวไห่จะทำอะไรลงไปได้บ้างกันแน่”
“ซ่านจินจื๋อ!” ซูพ่านเอ๋อแทบจะตบโต๊ะลุกพรวดขึ้นทันใด ดวงหน้าที่พับเก็บความอ่อนแอทั้งหมดไปแล้วเริ่มบูดบึ้งขึ้นมา แผ่นหลังถูกกริชเชือดเฉือนยังไม่รู้สึกเลยสักนิด มองทางซ่านจินจื๋อด้วยดวงตาก่ำเลือด “ข้าเติบมากับท่านตั้งแต่เด็ก มอบใจทั้งดวงนี้ให้ท่านจนหมด ท่านกลับไม่อาลัยรักเก่ากับข้าเลยด้วยซ้ำ เช่นนั้นยี่สิบปีที่พัวพันไม่เลิกราของพวกเรา สำหรับท่านแล้วคืออะไรกันแน่”
เสียงของหญิงสาวแทบจะพลิกหลังคาคว่ำ ตะโกนจนน้ำเสียงจวนเจียนแหบพร่า
เรือนร่างแบบบางของซูพ่านเอ๋อสั่นระริก น้ำตาเอ่อรื้นขอบตาก่อนจะไหลออกมา กลับเปิดปากเอ่ยต่อไปในขณะที่ซ่านจินจื๋อชะงักฝีเท้า “ปีนั้นข้าเข้าใกล้ ตีสนิทท่านเพราะอำนาจจริง ๆ ทว่ายี่สิบปีมานี้ ต่อให้ท่านไม่มีแก่ใจเอ็นดูข้าตั้งนานแล้ว ก็ไม่มีความรักใคร่เลยหรือ? ท่านยังจำได้ไหมที่ปีนั้นท่านอาจารย์ทำโทษพวกเรากลางหิมะ แล้วเคยจำได้ไหมว่าท่านอาจารย์หญิงเคยกำชับกับท่านนักหนาว่าทั้งชีวิตนี้ข้าตรากตรำนัก ให้ท่านดูแลข้า?”
ทุกถ้อยคำล้วนแหบแห้ง ซูพ่านเอ๋อแทบจะร่ำไห้ไม่ส่งเสียง น้ำเสียงแหบพร่า “เรื่องใดๆ ก็ตามที่ข้าทำลงไปก็เพื่อท่านกับข้าทั้งนั้น ท่านกลับทำกับข้าเช่นนี้เพื่อเพราะกู้อ้าวเวยคนเดียว ในสายตาของนางก็มีแค่ความรับผิดชอบของผู้เป็นหมอหรือไม่ก็ประชาชนทั่วไปและสหายใต้หล้าเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีท่านเลยสักนิด”
บัดนั้นความเงียบโรยตัวปกคลุมคนไม่กี่คน ฝีเท้าซ่านจินจื๋อกลับไม่ได้สาวออกไป ส่วนน้ำตาของซูพ่านเอ๋อพลันร่วงเผาะลงบนผิวโต๊ะ
บนโลกนี้จะมีคนไร้ความรู้สึกได้อย่างไรกัน?
ซ่านจินจื๋อย่อมจำพระอาทิตย์ขึ้นที่ทั้งสองเคยมาชมที่โขดหินใหญ่บนยอดเขาได้ และยังจำได้ถึงน้ำคำกระซิบรักต่อซูพ่านเอ๋อซึ่งแนบในอ้อมอกได้อยู่แล้วและยิ่งจำได้ว่าแม้ซูพ่านเอ๋อจะงุ่มง่าม แต่ยังคงเรียนรู้จะจัดการตำหนักอ๋องให้ตนเองด้วยวิธีใดอยู่
ทว่าตัวเขาเองก็ยังจำทุกอย่างที่ซูพ่านเอ๋อบอกเขาได้
จนกระทั่งชิงจือยกมือขึ้นกระแทกไหล่ของเขาอย่างไม่พอใจ ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลนั้นตะเบ็งขึ้นมา “พี่สาวท่านบอกว่าท่านชอบท่านพ่อ แต่ท่านแค่หวังให้ท่านพ่อชอบท่าน ทะนุถนอมท่านเท่านั้น แต่ท่านแม่ข้าหวังว่าท่านพ่อจะเป็นคนดีคนหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าท่านพ่อจะโลเลสับปลับเพียงใด ท่านแม่ชอบท่านพ่อมากกว่าท่านเสียอีก”
เพราะน้ำคำของท่านอ๋องน้อย เฉิงยีจึงแน่นิ่งเล็กน้อย ซูพ่านเอ๋อหัวเสียจนหงายโต๊ะขึ้น
แต่ซ่านจินจื๋อกลับหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา กอดชิงจือที่อยู่ในอ้อมแขนแน่นขึ้นไปอีก หัวเราะทุ้มต่ำแต่กลับไม่เหลียวหลังหันไปมองทางซูพ่านเอ๋อเลยสักนิด
“ชิงจือพูดถูก ก็เพราะแบบนี้ เจ้าถึงเทียบไม่ได้แม้แต่เล็บมือเพียงนิ้วเดียวของเวยเอ๋อ”
“ข้าไม่เพียงแต่เป็นสามีของเจ้า แต่เป็นถึงอ๋องจิ้งแห่งชางหลาน แม้จะไม่ฆ่าเจ้า คนเห็นแก่ตัวใจอำมหิตเพียงนี้เช่นเจ้า ก็ไม่คู่ควรจะมาเป็นพระชายาของข้า”
ชิงจือในอ้อมกอดอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้วเพราะสองประโยคนี้ แต่ยังคงฟุบลงบนหัวไหล่ของเขาอย่างเง้างอดตามเดิม จดจ้องซูพ่านเอ๋ออย่างเอาตาย เป็นอุปนิสัยของเด็กน้อยจริงแท้แน่นอน
ปลายเล็บของซูพ่านเอ๋อจิกเข้าไปกลางฝ่ามือ เรือนร่างเริ่มสั่นเทาน้อยๆ
ดังนั้น นางยังจะสามารถทำอะไรได้อีกเล่า?
เฉิงยีที่อยู่ด้านหลังเก็บกริชในมือแล้ว “ท่านไม่ใช่พระชายาจิ้งอีกต่อไปแล้ว วันหน้าข้าจะติดตามท่านทุกเมื่อเชื่อยาม ไม่อาจให้ท่านห่างจากกายข้าได้เพียงครึ่งก้าวเป็นอันขาด?”
“แม้ข้าจะอยู่ห้องสุขาหรืออาบน้ำอยู่หรอกหรือ!” ซูพ่านเอ๋อโกรธจัดจนพลิกเก้าอี้ด้านหลังคว่ำ หอบหายใจพลางมองเฉิงยี จนกระทั่งเขายังคงพยักหน้าอย่างจริงจัง ซูพ่านเอ่อก็จนปัญญาโดยสมบูรณ์
ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อย ๆ ซ่านจินจื๋อยังไม่อยากให้ตนไปตาย
……
ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางโถงใหญ่ในบ้านพักภูเขา
แต่ไรมาซ่านต้วนโฉงไม่เคยคาดคิดว่ากู้อ้าวเวยจะเอ่ยปากร้องขอเช่นนี้ ถ้อยวาจาดังกล่าวดั่งฟ้าฟาดปฐพีก็ไม่ปาน พลางมองที่นางอย่างตระหนก “ถ้าให้จินจื๋อรู้เข้าละก็…”
“เขาจะต้องไม่อาจปล่อยข้ากับองค์ชายสามไปแน่ แต่เวลานั้นสถานการณ์ได้สงบลงแล้ว อำนาจทางทหารของเขากระจายตัวไปตั้งนานแล้ว แล้วจะทำอันใดกับข้าได้” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปาก แล้วโค้งศีรษะค้อมลงมาซ้ำอีก “ขอเพียงฝ่าบาทประทานอนุญาต ข้ายินดีรับปากว่าเอ่อตานจะเชื่อมสัมพันธไมตรีกับชางหลานไม่คลาย ต่อให้เจียงเยี่ยนกับแคว้นซินจะสลายไปโดยสิ้นเชิงก็ตาม”
ซ่านต้วนโฉงเริ่มไม่เข้าใจกู้อ้าวเวยมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้หญิงคนนี้แชเชือนนับไม่ถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณข้อมูลในมือหรือสมองอันชาญฉลาดล้วนหาตัวจับยาก ทว่าปัจจุบันรักใคร่อิงแอบอยู่กับซ่านจินจื๋อ ตอนนี้กลับมาเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ บัดนั้นถึงขั้นทำให้ความรู้สึกของเขาในฐานะที่เป็นฮ่องเต้สัมผัสถึงความวิกฤต
“ข้าประสงค์จะทราบเหตุผลที่เจ้าทำเช่นนี้”
“เวลากระชั้นชิด ประเดี๋ยวข้าจะไปทำเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า และมีเพียงความสัมพันธ์สายสมรสของข้ากับรัชทายาทในอนาคตแล้วยืมมือของรัชทายาทปราบปรามบรรดาพี่น้องเอาไว้เท่านั้น จึงจะสามารถควบคุมความอลหม่านภายในได้” กู้อ้าวเวยกล่าวจบ ทำเพียงบอกเรื่องที่ซู๋ฮองเฮาอาจจะมีส่วนพัวพันกับเจียงเยี่ยนให้ทราบทีละอย่างเท่านั้น
บนหน้าต้วนโฉงไม่ได้แปลกประหลาดเลยสักนิด คล้ายกับว่ารู้มาตั้งนานแล้ว
“ท่านทราบว่าซู๋ฮองเฮาคิดไม่ซื่อ เหตุใดจึงยังผ่อนผัน…”
“กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังนางนั้นซับซ้อนซ่อนเงื่อน หาใช่จะแก้ไขในชั่วข้ามคืนได้ไม่ เรื่องที่เจ้าเอ่ยมาวันนั้นใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย กระทั่งอาจกล่าวได้ว่ารับผลประโยชน์ล้นหลามทีเดียว เพียงแต่…เจ้าควรอธิบายต่อ จินจื๋อ อย่างไรดี?” ดวงหน้าซ่านต้วนโฉงปั้นยาก
น้องชายได้ภรรยาที่รักมาอย่างยากลำบากเพียงนี้ หากตอนนี้ต้องประสานมือหลีกทางให้คนอื่น แม้ว่าองค์ชายสามนั้นจะเป็นบุตรของตน เขายังคงรู้สึกว่ารักที่ไร้ความรู้สึกนั้นไม่ใคร่เหมาะนัก นับประสาอะไรที่องค์ชายสามจะเป็นฮ่องเต้ในภายภาคหน้า ระหว่างกู้อ้าวเวยและซ่านจินจื๋อควรจะทำอย่างไรกันเล่า?
ซ่านจินจื๋อจะยึดอำนาจเพื่อชิงกู้อ้าวเวยไปหรือไม่ ทุกสิ่งล้วนไม่มีใครทราบ
ทว่าตอนนี้ภายใต้สถานการณ์ที่ซับซ้อน นี่กลับเป็นวิธีที่จะแก้ไขเรื่องต่าง ๆ ได้เร็วที่สุด
“ขอเพียงข้าได้รับความช่วยเหลือจากเอ่อตาน จะต้องช่วยฝ่าบาทจัดการซู๋ฮองเฮาได้อย่างแน่นอน” กู้อ้าวเวยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา