บทที่ 613 เพียงไม่หลอกกัน
ฤดูหนาวได้มาถึง ลมหนาวพัดผ่านใบหน้าราวกับมีดบาด
ใบสุดท้ายบนต้นตรงลานกว้างก็ได้ร่วงหล่นลงมา สถานการณ์ตรงชายแดนนั้นตึงเครียดและดูท่าไม่ดี ตรงลานกว้างที่นางพักนี้ก็มีอยู่แค่สองห้อง นางและกุ่ยเม่ยพักคนละห้อง และคงจะเพิ่มใครไม่ได้แล้ว
ในห้องที่เผาถ่านเตาผิงไว้ หน้าต่างเปิดอ้าไว้เล็กน้อย
กู้อ้าวเวยที่ไม่นอนที่เตียงอีกแล้ว ใช่เพียงแค่เก้าอี้สูงระดับเตียงเอาขาวางไว้ และเอาผ้าปูหนาๆห่มไว้หลายชั้น ทุกวันๆก็นอนข้างเตาผิงแบบนี้ ตอนเช้ากลัวหนาว แต่ก็ยังวางขาไว้ที่เก้าอี้อยู่ใต้ผ้าห่มอ่านหนังสือ คงอ่านหนังสือไปถึงน้ำบาดาลละมั้ง
กุ่ยเม่ยถืออาหารเข้ามา: “ฉีหรันกลับมาแล้ว เมืองล่ายเสวียนก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว จดหมายที่เขียนให้กับท่านอ๋องที่ให้องค์ชายสี่ทำการส่งก็ส่งไปแล้ว”
หนังสือบนมือค่อยๆวางลง นางขยี้ตาและออกมาจากใต้ผ้าห่มครึ่งตัว วางอาหารไว้บนโต๊ะที่อยู่บนเตียงแล้วกิน สองขารู้สึกเมื่อยเล็กน้อย พูดขึ้น: “ถ้างั้นฤดูหนาวนี้ข้าก็แค่ต้องรอข่าวคราวจากทางกู่เซิงและท่านซูสินะ” “
“ในเมื่อไม่มีเรื่องอันใด ไม่งั้นก็กลับแคว้นเอ่อตานชั่วคราวละเป็นไง? ปีนี้ฝ่าบาททรงเสด็จไปฉลองปีใหม่ที่ชายแดนในเมืองเล่อ”
“ทำไมถึงที่เมืองเล่อ?” กู้อ้าวเวยรู้สึกแปลกใจ
เมืองเล่อนี้ถึงนางไม่เคยไปสักครั้ง แต่ก็พอรู้อยู่ว่าเมืองเล่อนี้เคยผ่านศึกการสู้รบที่โด่งดัง พลทหารคนที่แซ่เล่อคนนั้นเป็นเหมือนเทพ ณ ตอนนั้น
เลยเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเล่อตามแซ่ของเขา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมืองนี้ไม่สามารถให้คนนอกเข้ามาได้ ว่ากันว่าเมืองนั้นใหญ่โตมาก สถานที่ทำการนั้นใหญ่จนลามไปถึงในป่าเขาห้าไมล์เลยดีเดียว และยังมีอีกชื่อว่ากำแพงเหล็ก “
“เอ่อตานมีกลยุทธ์ที่ดี ทุกๆปีหากสถานการณ์ไม่สู้ดีนักหรือช่วงสงครามจะไม่อนุญาตให้กษัตริย์อยู่ในพื้นที่ แต่ฝ่าบาททรงตั้งใจไปช่วยเหล่าพลทหาร เพราะดังนั้นเลยเลือกไปยังเมืองเล่อ” ไม่เสียแรงที่กุ่ยเม่ยเคยตามฉูห้าวอยู่ระยะหนึ่ง รู้ได้อย่างแจ่มแจ้งมาก
คิดไปคิดมา แม้ว่าการกลับไปเจอหน้าท่านแม่เป็นเรื่องง่าย แต่เวลานี้กุ่ยเม่ยต้องเสนอให้ตัวเองรักษาตัวอยู่ที่นั่นเป็นแน่……
แต่ก็ พอดีเลยแค่ได้กลับไปเจอหน้าท่านพ่อและท่านแม่ชั่วครู่ ก็ไม่เลวเหมือนกัน “
“แต่แค่เสียดายข้าไม่ได้พาชิงจือกลับมาด้วย” นางถอนหายเฮือกหนึ่ง ในขณะที่ถือถ้วยและตะเกียบมองไปทางกุ่ยเม่ย: “หากได้ไปเอ่อตาน เจ้าห้ามปริปากเป็นอันขาด หากเจ้าปริปาก ข้าก็จะรีบหนีไม่ให้เห็นแม้แต่เงา”
ตาของกุ่ยเม่ยกระตุกเล็กน้อย ยิ้มและพูดไปด้วย: “แน่นอนว่าข้าอยู่ข้างเจ้าอยู่แล้ว” “
“ข้ายังส่งจดหมายให้คนในตำบลเหยสุ่ย” พอพูดถึงเรื่องนี้ กู้อ้าวเวยมองดูสีหน้าของกุ่ยเม่ยที่ดูจริงจัง เดินไปตรงหน้าของนาง: “ฮูหยินเป็นแม่แท้ๆของเจ้า ท่านน่าจะรู้”
“หากท่านแม่รู้เข้า คงห้ามไม่ให้ข้าทำในสิ่งที่อยากทำ” กู้อ้าวเวยเงยหน้ามองเขา: “ไม่ว่าอย่างไร ข้าไม่เคยคิดเสียใจอะไรเลยในชีวิตนี้ ข้าแค่ต้องทำสิ่งที่อยากทำให้เสร็จ ข้าเชื่อว่าทุกสิ่งพลิกผันได้เสมอ”
“แต่เจ้ายังใช้คนตำบลเหยสุ่ยขู่ข้าอยู่เลย”
“ให้มันรู้ไปหากว่าเจ้าหายไปจากสายตาข้าแม้เพียงนิดเดียว” กุ่ยเม่ยนั่งลง มองด้วยสายตาจริงจัง: “เจ้ายังจำสัญญาของพวกเราได้ไหม?”
มือวางถ้วยและตะเกียบลง กู้อ้าวเวยโน้มตัวค่อยๆเข้าไปกอดเขา: “จำได้อยู่แล้ว ข้าจะใช้ชีวิตดีๆ แต่อย่างน้อยข้าก็เป็นหญิงนะ ไม่อยากให้ใครมาเห็นร่างอันน่ารังเกียจของข้า”
“ห้ามทิ้งข้านะ” กุ่ยเม่ยหายใจเบาๆกอดนางไว้
“งั้นเจ้าก็ต้องเชื่อข้า” กู้อ้าวเวยซบตรงไหล่ของเขา แววตาเต็มไปด้วยความสดใส
นางต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอยู่แล้ว และนั่นไม่ได้ขัดแย้งกับสิ่งที่นางต้องการหลีกเลี่ยง
หลังจากนั้นผ่านไปไม่นานทั้งสองมองหน้าและยิ้มให้กัน ถ้าเทียบกับเพื่อนสนิท กู้อ้าวเวยรู้สึกว่ากุ่ยเม่ยนั้นเหมือนพี่ชายแท้ๆของตัวเองมากกว่า ถึงแม้ว่าสมองจะไม่ว่องไวสักเท่าไหร่ แต่กุ่ยเม่ยจริงใจกับตัวเองเสมอ
แค่ไม่หลอกกัน แค่นี้ก็พอแล้ว
ทั้งสองกินข้าวไปด้วยพูดเรื่องวางแผนเดินทางว่าจะใช้เส้นไหน และพอกินข้าวเสร็จ กู้อ้าวเวยลุกออกจากเตียงสักที นั่งอยู่บนหน้าโต๊ะ พู่กันในมือเขียนไม่หยุด
นางไม่สามารถกลับไปฉลองปีใหม่กับชิงจืออีกครั้ง และไม่ได้อยู่ข้างๆซ่านจินจื๋อ
คิดอยู่นาน ว่าควรเขียนอะไร
พอเขียนแล้ว ก็ปาเข้าไปสิบกว่าแผ่นกลับทิ้งหมด และไม่วางใจที่ตัวเองถักเชือกให้ไป ตอนหิมะตกครั้งใหญ่ก็ไม่ลืมที่ไปค้นหาของน่าสนใจทั่วสารทิศกับฉีหรันที่รีบจนทำอะไรไม่ทัน ทำเอาฉีหรันทั้งหัวเต็มไปด้วยเหงื่อ:“พอได้แล้วมั้ง หากยังซื้ออีกคงไปไม่ทันปีใหม่เมืองเทียนเหยียนแล้ว”
กู้อ้าวเวยยิ้มให้และของที่อยู่ในอ้อมแขนนางพูด: “นายท่านฉีคิดถึงลูกที่ไม่ได้กลับบ้านอยู่นะ”
เหม่อไปชั่วครู่ ฉีหรันยังคงเดิมตามกู้อ้าวเวยเข้าไปยังร้านถัดไป
ถึงแม้ท่านพ่อจะลำเอียงกับนาเพียงใด แต่ก็ยังเลี้ยงดูนางจนโตขนาดนี้ วันนี้ท่านพ่อรู้ตัวแล้ว แถมไม่ถึงหนึ่งเดือนยังได้รับจดหมายสองสามฉบับรอนางกลับไป ใจของฉีหรันก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ตอนกลับ มองดูท้องฟ้าเหมือนหิมะกำลังจะตก
ก่อนกลับ กู้อ้าวเวยยืนอยู่หน้ากระจก มองดูเส้นที่มัดอยู่ตรงรอบเอวของนาง อย่างนิ่งสงบ แค่จัดๆเสื้อผ้าเสร็จก็ขึ้นรถม้าไป ถามซ่านเขียนหยวน: “เจ้าไม่กลับเทียนเหยียน?” “
“ในเมื่อท่านอาสั่งไม่ให้ข้ากลับ ก็ทำเหมือนว่าข้ามีสิ่งที่ต้องทำละกัน” ซ่านเชียนหยวนส่ายหัว และยื่นกล่องไม้ให้กับนาง: “นี้คือของที่ท่านอาให้คนรีบส่งมาให้เจ้า บอกว่าสวยกว่าอันก่อนของเจ้า”
กู้อ้าวเวยแปลกใจ รับกล่องมาและเปิดออก หลุดยิ้มทันที “
“ตรงนี้แหละ ชีวิตนี่คงเทียบกับองค์ชายหกไม่ได้”
ปิดกล่องไม้ลง นางขึ้นไปยังรถม้า ยิ้มและมองดูซ่านเชียนหยวน: “ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะรอถึงวันสมรสไหม”
ซ่านเชียนหยวนเขินอายขึ้นมาทันที แถมฉีหรันที่อยู่ข้างๆก็อดไม่ไหวจ้องไปทางนาง: “เจ้ารอต่อไปเถอะ”
“แน่นอนว่าต้องรออยู่แล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะไปวุ่นวายถึงเรือนหอเลย” กู้อ้าวเวยยิ้มตอบกลับไป คิดว่าครั้งหน้ามาชายแดนอีก อาจจะไม่ได้เห็นฉีหรันแล้ว ตามนิสัยของซ่านเชียนหยวนคงไม่ยอมให้อยู่ที่อันตรายแบบนี้แน่
กู้อ้าวเวยถึงปีนขึ้นไปยังรถม้า กุ่ยเม่ยที่ขี่ม้า ไม่ลืมถาม: “ท่านอ๋องส่งของอะไรมารึ?”
“กำไลน่ะ” กู้อ้าวเวยทำตัวไม่ถูก มองดูกำไลข้อมือสีแดงแถมยังมีแมวไม้ที่แกะสลักแขวนอยู่ข้างๆด้วย ไม่เหมือนเลยสักนิด และยังมีตัวหนังสือเล็กๆ——ใต้กล่องไม้ แมวได้กลับไปหาเจ้าของแล้ว
ด้านหลังยังรูปหน้ายิ้มเล็กไว้ เหมือนว่าชิงจือเป็นคนสอนเขาวาดเลย
ใต้ต้นไม่ตาย นางเอาของที่ซ่านจวนฮ่าวเคยให้ฝังไว้ใต้ต้นไม้ และในตอนนั้นหงุดหงิดจากท่านอ๋องจิ้ง แต่ยังมีซ่านจวนฮ่าวที่เป็นความหวัง ในวันเดียวกันไม้ที่ตายเป็นเดือนก็ได้ค่อยๆถูกรดน้ำลงไปให้ เป็นความคิดของกู้จี้เหยาที่อยากให้ต้นไม้ฟื้นขึ้นมาใหม่ นางยังจำได้ตรงใต้ต้นมีกระดูกและยันต์สีเหลือง ทำเอาเรื่องแมวที่แกะสละลืมไปซะสนิท
“หากได้กลับมาอีก ก็คงต้องขอบคุณองค์ชายหกอย่างซาบซึ้ง” นางยิ้มเบาๆ
ไม่มีใครรู้เลยว่า หากนางไม่มีเพื่อนเหล่านี้แต่แรก นางจะเป็นเช่นไรต่อ
วันนี้โชคดี ยังมีคนรักเหมือนเคย