บทที่ 621 หลบหนี
“เขารู้จุดอ่อนของเจ้า เจ้ากลับไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร”
กุ่ยเม่ยนั่งลงมาด้วยใบหน้าที่กลัดกลุ้ม แววตาโหดร้าย
กู้อ้าวเวยได้แต่คอตกลง เดิมทีตอนนั้นคิดว่าทำเช่นนี้เพื่อต้องการจะขีดเส้นตายกับซ่านจินจื๋อ ตอนหลังใครจะไปคิดว่าความปรารถนาของชิงจือกลับอยากจะได้น้องชายน้องสาวอีก ใครจะไปรู้อีกว่าฐานะของตัวเองไม่เพียงจะไม่ให้เขาสามารถนั่งอยู่บนที่สูงได้สงบสุข อีกทั้งยังกลายเป็นสาเหตุของการถูกลากลงมาด้วย
หายใจเข้าลึกๆ ไปชั่วครู่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี กุ่ยเม่ยจึงยอมที่จะกล้ำกลืนฝืนทนต่ออารมณ์โกรธ พูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า “งั้นเด็กในท้องของเจ้า……”
“เขาน่าจะยังไม่รู้ แต่ข้าจำเป็นแค่เพียงเขาต้องการจะทำอะไร ข้าไม่สามารถให้เขายุ่งเรื่องของแคว้นเจียงเยี่ยนมาแลกกับการได้กำลังทหาร และก็จำเป็นต้องให้เขายับยั้งการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของซ่านต้วนเฟิงไว้ด้วย” กู้อ้าวเวยพูดอย่างจริงจัง
“เป้าหมายของเจ้า” กุ่ยเม่ยสอบถามด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าต้องการทั้งเรื่องส่วนตัว อีกทั้งยังอยากให้การใหญ่สำเร็จ แต่เจ้าอยู่ในสถานการณ์ท่ามกลางสงครามมีความสำคัญเช่นนี้จริงๆ หรือ เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงฉากใหญ่นี้ได้จริงๆ หรือ”
“เป้าหมายของข้าก็คือช่วยชีวิตคนและฆ่าคน” กู้อ้าวเวยถอนหายใจเฮือกยาวออกมา “ข้าไม่สามารถปล่อยภาระนี้ไปโดยที่ไม่สนใจไม่ได้ อีกทั้งข้าเคยพูดไว้ว่า ฉากที่ข้าจะให้เจ้ากับชิงต้ายดู ไม่เพียงแค่ความโชติช่วงงดงาม และก็ไม่สามารถเป็นไฟสงครามที่โบยบินผ่านไป วันใดแคว้นเจียงเยี่ยนสูญสิ้น แผ่นดินทั้งผืนจะต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หลีกเลี่ยงการแยกจากกันโดยลำพัง”
กุ่ยเม่ยจึงไม่มีคำพูดใดอีกในตอนนั้น เขาแค่สามารถมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองตลอดทั้งชาตินี้ก็เพียงพอแล้ว
แต่มีความสามารถที่จะแบกรับภาระหน้าที่อย่างหนัก ก็ล้วนมองไปได้ไกลยิ่งกว่า เขารู้ดีว่าตัวเองยังไม่มีวิธีการที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขา ก็ได้เพียงพูดขึ้นเท่านั้น “เจ้าแม้แต่ท่านอ๋องก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ข้ากลับเชื่อว่าเจ้าสามารถหมุนเปลี่ยนสถานการณ์สงครามที่อยู่ตรงหน้าได้”
“เขาเกือบนับว่าเป็นแพทย์ทหารครึ่งหนึ่งของแคว้นชางหลาน โดยส่วนตัวส่วนรวมล้วนไม่สามารถมาที่นี่ได้” กุ่ยเม่ยมองเขาตาขาวไปครู่หนึ่ง “ไม่ว่าทำอะไร ปกป้องรักษาตัวเองเอาไว้ รักษาลูกในท้องให้ดี ไม่งั้นข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีหรือไม่มีกลยุทธ์อะไร ก็จะเอาเรื่องเรื่องนี้บอกให้ทุกคนได้รู้กัน”
คนที่ถูกอบรมสั่งสอนนั้นก็คอตกลงอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้ารับปากลง
นอกหน้าต่างหิมะใหญ่ยังคงโบยบิน รอจนเกี๊ยวในชามถูกกินจนหมดเกลี้ยง เสียงฝีเท้านอกลานกว้างก็ส่งเสียงดังเข้ามา ฉีหลินและหยินเชี่ยวพาเด็กๆ ที่เหลืออยู่หิ้วโคมไฟพุ่งเข้ามา หัวเราะกันเสียงดังว่าจะพากู้อ้าวเวยไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันที่ถนนใหญ่ด้วยกัน
กู้อ้าวเวยถูกเด็กกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่ตรงกลางอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เดินไปทางถนนในเมืองอย่างครึกครื้น
หยุนหว่านยังคงคลุมผ้าคลุมหน้าสีดำอยู่ ยืนอยู่ที่หัวถนน เห็นนางเดินมาก็ยิ้มเบาๆ “เวยเอ๋อ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ฉลองปีใหม่ด้วยกันกับเจ้า”
“ใช่สิ” กู้อ้าวเวยดันรถเข็นให้เลื่อนข้ามไป หยินเชี่ยวพาคนไปโต๊ะอีกทางที่อยู่ด้านข้างหยิบของกินอร่อยๆ ที่อยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้ม
และท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมอยู่ไปทั่ว โคมแดงที่อยู่ในมือของหยุนหว่านส่องไปที่หน้าของแม่และลูกสาวสองคน กู้อ้าวเวยยอมให้ท่านแม่ลูบหัวของตนไปมา ในปากพูดขึ้นมาอย่างพรึมพรำ “ตอนนั้นตอนที่แยกจากท่าน ก็เป็นแค่เด็กน้อยที่ยังไม่โต บัดนี้โตขนาดนี้แล้ว…..”
ตอนที่ฉูหลี่รีบมาจากในค่ายทหาร กำลังเห็นกู้อ้าวเวยดึงผ้าปิดหน้าของหยุนหว่านลง หลบซ่อนตัวหอมลงไปที่ข้างแก้มของหยุนหว่านหนึ่งฟอด บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่จืดจางอยู่ “ในวันปกติตอนที่ชิงจือชอบข้า ก็จะเป็นเช่นนี้”
หยุนหว่านที่ไม่ได้อยู่ในวัยเยาว์มานานแล้วกลับขอบตาชื้น โค้งตัวลงเอานางเข้ามากอดในอ้อมอก
ฉูหลี่แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่สามารถเดินออกไปได้ ฉูห้าวกลับผลักเขาเบาๆ อยู่ด้านหลังหนึ่งที “ท่านอาของข้าก็ไม่น่าจะไม่มีความกล้าเช่นนี้ ข้าดูๆ ไปแล้วน้าหยุนก็คงจะให้อภัยท่านที่ตอนนั้นอารมณ์ร้อนไปแล้วล่ะ”
“จริงหรือ” ฉูหลี่มองดูรอยแผลที่น่าหวาดกลัวบนใบหน้าของหยุนหว่าน “หากไม่ใช่ข้า นางก็ไม่ต้องหลงเหลือ……”
“อีกทั้งน้าหยุนในสายตาของท่านไม่ว่าอย่างไรก็ล้วยดูดีไปหมด เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น” ฉูห้าวหัวเราะแล้วก็เดินเข้ามา เปลี่ยนไปจากท่าทางในวันปกติอย่างมาก ยิ้มอยู่และยังต้องการรอยจูบที่ทำให้คนชื่นชอบจากท่านพี่และน้าหยุนอีกด้วย
หยุนหว่านและกู้อ้าวเวยล้วนสัมผัสใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างเปิดเผย แต่ฉูหลี่ยังยืนอยู่ที่เดิม บนไหล่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่ไม่น้อย กู้อ้าวเวยจึงกวักมือเรียก “ท่านพ่อ”
ฉูหลี่เดินเข้ามาอย่างทำอะไรไม่ถูก หยุนหว่านก็พุ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย ทิ้งรอยจูบที่เย็นเยือกไว้บนแก้มของเขา อีกทั้งยังพูดด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “เวยเอ๋อบอกว่า นี่คือการแสดงออกว่า…..”
“ข้าเข้าใจ” ฉูหลี่พูดแทรกขึ้นมา ได้แค่โอบนางไว้ในอ้อมอก ราวกับว่าเป็นของล้ำค่า
ฉูห้าวและกู้อ้าวเวยต่างก็ปิดปากเงียบแล้วจากไป เอาพื้นที่เงียบเชียบเล็กๆ ผืนนี้ยกให้เป็นที่ของพวกเขาสองคน
บนถนนในเมืองเต็มไปด้วยโต๊ะหลายร้อยตัว กู้อ้าวเวยก็ถูกดันไปแล้วก็ดันมา แต่กลับถูกกุ่ยเม่ยปกป้องไว้อย่างดีที่สุด เหล้าแม้แต่หยดเดียวก็ยังไม่ได้แตะต้อง แต่ตลอดจนถึงกลางคืนหลังจากจัดการล้างหน้าอาบน้ำกับหยินเชี่ยวแล้วก็นอนเอนอยู่บนเตียง นางยังมีดวงตาที่สุกสว่างเมื่อมองดูหยินเชี่ยว หัวเราะขึ้นแล้วพูดว่า “คนไม่น้อยล้วนสงสัยว่าเจ้ากับ ฉีหลินเมื่อไหร่จะมีลูก”
หยินเชี่ยวหน้าแดงขึ้นทันใด ปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างทำอะไรไม่ถูก “เมื่อไหร่กันที่คุณหนูก็สงสัยเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้ว”
กู้อ้าวเวยได้แค่ยิ้ม ดึงเส้นผมของหยินเชี่ยวกระจุกหนึ่งไว้ “ป๋ายมี่ของบ้านข้าช่างน่ารักเสียจริง มักจะเหมือนกับเด็กเลย”
“ในที่สุดคุณหนูก็เดินออกมาแล้ว คนอื่นเรียกข้าว่าป๋ายมี่มาแบบนั้นตลอด” หยินเชี่ยวโผเข้ามาเอนพิงไปในอ้อมอกของกู้อ้าวเวย ตอนนั้นชื่อนี้เป็นชื่อที่กู้อ้าวเวยตั้งให้ แต่กู้อ้าวเวยกลับไม่เคยเรียกเช่นนี้แม้แต่ครั้งเดียวเลย
“นอนเถอะ” กู้อ้าวเวยลูบไปที่หลังหัวของนาง หลับตาลง
ใครจะลิ้มลองที่จะปล่อยมันไปล่ะ
แม้ว่าคนนับไม่ถ้วนจะเรียกนางว่าป๋ายมี่ แต่มีเพียงหยินเชี่ยวที่รู้ดีว่านางยังไงก็คือหยินเชี่ยว
เป็นเด็กรับใช้ที่เคยเดินออกมาจากจวนเฉิงเสี้ยง (เฉิงเสี้ยงเป็นตำแหน่ง) ไม่ยุ่งกับเรื่องทางโลก ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บัดนี้ทำเรื่องไม่น้อยด้วยกันกับ ฉีหลิน แต่ตลอดเวลานางคิดว่า ตัวเองมักจะเป็นแค่เด็กรับใช้คนหนึ่ง มักจะเป็นเด็กรับใช้ของกู้อ้าวเวย
แต่อาจจะหลังจากผ่านวันนี้ไป นางเป็นแค่หยินเชี่ยว เป็นแค่ป๋ายมี่แล้ว
มีบางคนมีชื่อเสียง แต่ตลอดเวลากลับถูกกุญแจแรกผูกไว้อย่างแน่นหนา
แม้ว่าบัดนี้กู้อ้าวเวยจะท้องอยู่ ข้างกายกลับไม่มีเงาของซ่านจินจื๋อแม้แต่นิด แต่ความฝันอันโหดร้ายเหล่านั้นและอดีตยังคงเป็นเงาที่ติดตามตัวมา บีบคั้นหัวใจทำให้คนยากที่จะหายใจได้
เป็นอีกครั้งที่ตกใจตื่นมาจากความฝัน กู้อ้าวเวยนั่งอยู่ข้างเตียง ฟังเสียงลมหิมะที่ดังอยู่นอกหน้าต่าง หยินเชี่ยวที่อยู่ข้างกายดูสะลึมสะลือเบิกตามองนาง “คุณหนู……”
“ไม่เป็นไร ข้าตื่นขึ้นมาดื่มน้ำสักถ้วย” กู้อ้าวเวยเอามือออกอย่างกะทันหัน พลิกตัวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง หยินเชี่ยวยื่นหัวออกไปอย่างตื่นเต้นกลัวว่านางจะหกล้ม จวบจนเห็นกู้อ้าวเวยจุดเทียนด้วยตัวเอง คราวนี้ถึงจะหลับลงไปได้อย่างลึกๆ
และกู้อ้าวเวยกลับยกโต๊ะข้างมาถึงหน้าโต๊ะใหญ่ เขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยลายมือหวัดๆ เปลี่ยนชุดและพกสัมภาระในช่วงข้ามคืน รอที่หน้าประตูร้านยาให้กุ่ยเม่ยมาเพิ่มเช่ออี้จื่อ (ต้นหญ้า) ห้ามคนเอาไว้ “พวกเราไปเถอะ”
“นี่ยังกลางคืนอยู่เลย” กุ่ยเม่ยดันนางเข้าไปด้านใน เช็ดรอยย่นที่มีเหงื่ออยู่ที่มุมหน้าผากของนาง
“ข้าไม่เหมาะที่จะใช้ชีวิตง่ายๆ สบายๆ ข้าควรจะต้องไปทำอะไรสักหน่อย” กู้อ้าวเวยพิงอยู่ในอ้อมอกของเขา มือทั้งสองข้างกำเสื้อผ้าของเขาไว้แน่น “ก็คิดซะว่าทำเพื่อลูกชายบุญธรรมและลูกสาวบุญธรรมของเจ้า”
“ที่แท้แล้วเป็นอะไรไป” กุ่ยเม่ยพยุงร่างกายที่ทรุดโทรมของนางไปแน่น
“ข้าไม่อยากทำให้หยินเชี่ยวตกใจ” กู้อ้าวเวยยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมา บนเล็บมีรอยม่วงคล้ำปกคลุมอยู่