บทที่ 623 หยุดพักชั่วคราวบังเอิญพบกัน
ตลอดทางซ่านเซิ่งหานไม่ได้คิดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลยแม้แต่นิดเดีย ได้แต่คิดถึงเรื่องที่จะต้องจัดการของตนเอง
แม้แต่ซ่านต้วนโฉงก็ไม่เห็นด้วยกับลูกชายคนนี้ไม่ได้ เมื่อรู้ว่าความเห็นแก่ตัวที่เหลืออยู่ของเขามีเพียงเพื่ออำนาจที่ชั่วร้าย หรือไม่ก็เป็นดังผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างกู้อ้าวเวยเช่นนี้ก็ไม่ปาน
วันนี้หิมะละลาย ซ่านต้วนโฉงมองดูซ่านจินจื๋อที่เข้าวังมาแต่เช้าอย่างปวดหัว น้ำเสียงแหบแห้ง “หานเอ๋อฉลาดมาก ไปชายแดนด้วยกันกับเฟิงเอ๋อนั้นเป็นแค่เรื่องเล็ก เดิมทีข้าคิดว่าเขาจะใส่ใจเรื่องตำแหน่งขององค์ชายรัชทายาทยิ่งกว่า……”
ซ่านจินจื๋อกำถ้วยชาที่อยู่ในมือแน่นขึ้น
ซ่านต้วนโฉงรับปากคำร้องขอของซ่านเซิ่งหานที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเหตุเป็นผล ซ่านเซิ่งหานรู้ดีว่าซ่านต้วนโฉงและซ่านจินจื๋อไม่ยอมให้ซ่านต้วนเฟิงได้ทำการสำเร็จเป็นแน่ ดังนั้นเมื่อเมืองหลักปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ ซ่านเซิ่งหานกลับไม่ต้องการยืมความสำเร็จจากการกำจัดผู้ก่อความไม่สงบเช่นนี้มารักษาตำแหน่งของตนเอง แต่กลับเลือกที่จะไปชายแดนอันห่างไกล
ที่แท้แล้วเพื่ออะไรกัน
เขาไม่ได้อยู่ในวังมากไปกว่าองค์ชายสี่และเสด็จแม่ หรือบางทีองค์ชายหกทรงกุมอำนาจทางทหาร
คำตอบเกือบจะเปิดเผยออกมาแล้ว แต่วินาทีต่อมา เสียงไอของซ่านต้วนโฉงกลับดึงความสนใจของเขาออกมา “ยังไม่พูดถึงเรื่องนี้ก่อน เมื่อก่อนเจ้ากับฮองเฮาสองคนเคยทะเลาะกันใหญ่โตต่อหน้าตำหนักเสด็จแม่ ได้ยินว่าทั้งสองคนเอาตราหงสและตำราพิชัยสงครามหยิบออกมาข่มขู่กัน แต่ก็เพียงเพื่อทาสรับใช้กลุ่มหนึ่งเท่านั้นหรือ”
“ไม่ใช่เพื่อทาสรับใช้จำพวกนั้น แต่เพื่อสอนให้ชิงจือรู้จักการเป็นคนซื่อตรงต้องทำเช่นไร” ซ่านจินจื๋อดึงสติกลับมา มองไปที่ซ่านต้วนโฉง “เขาไม่ได้หวังว่าทาสรับใช้เหล่านั้นแค่เพราะว่าเขาป่วยจึงถูกลงโทษ”
ซ่านต้วนโฉงมองเขาด้วยรอยยิ้มครึ่งหน้า “เจ้าเคยเป็นคนที่เอาเรื่องทุกอย่างโยนความผิดให้กับทาสรับใช้ เอะอะโวยวายจนคนรุ่นหลังในวังเจอเจ้าต่างก็พากันหวาดกลัวไปหมด บัดนี้กลับมีด้านที่เป็นเช่นนี้ด้วยหรือ”
กระแอมไอสองสามครั้งเพื่อปกปิดการทำตัวไม่ถูกอย่างน่าลำบากใจ สีหน้าของซ่านจินจื๋อยังคงไม่เปลี่ยนไป “องค์ชายเก้าและฮองเฮาช่างกล้าเช่นนี้ ท่านคิดว่าควรทำเช่นไร”
“เดิมทีข้าอยากรักษาลูกชายเหล่านี้ไว้ บัดนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน” ซ่านต้วนโฉงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างเยือกเย็นไปหนึ่งคำ ภายใต้ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
เขาไม่เคยเอ็นดูลูกหลานคนใดเลยแม้แต่คนเดียว แต่กลับวางเส้นทางหลายสายไว้ให้พวกเขานานแล้ว
เรื่องมาถึงบัดนี้ คนเดียวที่เดินตามเส้นทางที่เต้องการจริงๆ ก็มีเพียงซ่านเชียนหยวนเท่านั้น ลูกชายคนที่สี่ของเขา และยังถือว่าเป็นลูกชายที่เขาคิดว่าธรรมดาสามัญในตอนเริ่มแรก
“เรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายเยอะเกินไป เพียงเพราะราชบัลลังก์นี้ร้อนระอุจริงๆ” วางถ้วยน้ำชาลง ซ่านจินจื๋อยืดตัวขึ้นตรง “ตอนนี้ข้าก็จะไปคุ้มกันเสียนเฟย (พระสนม) ไปที่อารามไป๋หม่า”
เลิกคิ้วไปมา ซ่านต้วนโฉงปกปิดความโศกเศร้าใต้ตาของเขา พกรอยยิ้มที่เย็นชาอยู่หนึ่งเส้น “ที่จริงอารามไป๋หม่าเป็นสถานที่ที่ดีงามมาก”
……
โรงเตี๊ยมระหว่างแคว้นมีการผสมปนเปกันไปหมด ม้านั่งที่เปื้อนเลือดถูกน้ำของหิมะทำความสะอาดไปหมดจด
กู้อ้าวเวยแม้ว่าจะจะอยู่ในห้องพักที่สามารถรองรับเตียงได้เพียงเตียงเดียวกับกุ่ยเม่ย ยังคงสามารถได้กลิ่นคาวของเลือดที่เจือจาง ลมหิมะที่อยู่ด้านนอกประตูทำให้กู้อ้าวเวยอ่อนแอเป็นอย่างมาก ได้แค่หดตัวอยู่ในผ้าปูที่นอนที่เปียกชื้นเท่านั้น หลังจากอาเจียนแห้งๆ ไปแล้วก็เหลือไว้เพียงความอ่อนแอเท่านั้น
กุ่ยเม่ยถือบะหมี่เอ็นเนื้อหนึ่งชามใหญ่มา สองครั้งจึงจะปิดประตูที่พังให้สนิทได้ในที่สุด
“เจ้าดีขึ้นหรือยัง” กุ่ยเม่ยพยายามนั่งอยู่ที่ข้างเตียง วางบะหมี่เอ็นเนื้อไว้บนโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งด้านหน้า หูยังสามารถได้ยินเสียงกระซิบที่ดังมาจากห้องข้างๆ
“จู่ๆ ข้าก็อยากเอาเด็กที่อยู่ในท้องออก ข้ารู้สึกว่าข้าใกล้จะตายแล้ว” กู้อ้าวเวยเอาหัวโผล่ออกมาทั้งหัว มืออีกข้างหนึ่งจับกุ่ยเม่ยเอาไว้ “กลิ่นคาวเลือดนี้ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ”
“ลมหิมะแรงเกินไป มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่ทนพักอยู่ที่นี่ก่อนหรอก แค่หนึ่งคืนเท่านั้น” กุ่ยเม่ยกุมมือที่เย็นเฉียบของนางเอาไว้แน่น เอาพรมนวมทั้งหมดยัดเข้าไปในผ้าคลุมเตียงของนาง อีกทั้งยังวางถุงน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำร้อนลงในผ้านวมของนาง
กู้อ้าวเวยหดตัวเข้าหากันด้วยความเจ็บปวด “ในพายุหิมะตกหนักเช่นนี้ ข้าไม่สามารถรับรู้ข่าวสารใดๆ ได้เลย”
“จำเป็นต้องอดทนรอหน่อย” กุ่ยเม่ยพยุงนางขึ้นมาเล็กน้อย ป้อนบะหมี่เอ็นเนื้อเข้าปากนาง
“ข่าวสารก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง กุ่ยเม่ยเจ้าอย่าเอาเรื่องแบบนี้พูดเป็นเรื่องที่อะไรยังไงก็ได้เชียว” กู้อ้าวเวยค้อนเขาไปหนึ่งที ตัวเองยกชามขึ้นมา ระหว่างนั้นก็พูดกับเขาต่อว่า “คนที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้นเป็นพวกนักฆ่า อีกทั้งยังมีพวกคนจรที่มาเที่ยวที่นี่และพวกโจร รวมกับกลุ่มพ่อค้าเถื่อน เจ้าว่าพวกเขาจะรู้จักตำบลเหยสุ่ยไหม รู้ข่าวอะไรเกี่ยวกับที่นั่นสักหน่อยไหม”
“เจ้าควรจะพักผ่อนดีๆ” กุ่ยเม่ยค้อนเขาไปหนึ่งที
“ข้ายอมที่จะลุกขึ้นมา ก็ไม่ยอมที่จะนอนอยู่ตรงนี้” กู้อ้าวเวยกินบะหมี่เอ็นเนื้อในชามด้วยคำใหญ่ๆ จนหมด อีกทั้งยังเอาชามใหญ่ที่ว่างเปล่าวางไปบนโต๊ะ “อีกอย่างก็กำลังดี ข้าอยากจะลองดูสักหน่อย ที่นี่มีคนที่หนีมาจากตำบลเหยสุ่ยหรือไม่”
กุ่ยเม่ยขมวดคิ้วขึ้นมา เขาผูกรถม้าไว้ในถ้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้โดยไม่เต็มใจนัก
ตอนที่เข้าไปในโรงเตี๊ยมก็กอดกู้อ้าวเวยเอาไว้ทันที เขากลับไม่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอะไรเลย
“คนรับใช้เสี่ยวเอ้อที่โรงเตี๊ยมตำบลเหยสุ่ย ข้าเห็นแล้ว ผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ด้านข้างเขาดูเหมือนว่าจะเป็นเถ้าแก่เนี้ย รอบข้างยังล้อมไว้ด้วยคนที่รูปร่างกำยำหลายคน หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นผู้ต้องหาที่ทางแคว้นเอ่อตานต้องการตัว” กู้อ้าวเวยเขยิบตัวขึ้นมา ลูบไปที่ไหล่ของกุ่ยเม่ย “ข้าจำภาพที่ทางการตามหาผู้ต้องหาผู้นั้นได้”
“พบกันที่ตรอกแคบ” กุ่ยเม่ยถอนหายใจ หยิบมีดพกสองเล่มที่อยู่ในสัมภาระของตนเอง “ดาบยาวอาจจะใช้ไม่ได้”
กู้อ้าวเวยอึ้งไปชั่วครู่ก่อน หลังจากนั้นจึงคิดขึ้นมาได้ถึงเรื่องที่กุ่ยเม่ยเคยทำ “ข้าลืมไปเลยว่าเจ้าจริงๆ แล้วถนัดทางสายนี้”
“เรื่องสกปรกที่ข้าเคยทำเยอะกว่าที่เจ้าคิด” กุ่ยเม่ยเอามีดพกกรีดไปที่ผ้าออกมาหนึ่งสาย รับไป เผยให้เห็นหนังสีเข้มซึ่งอาจเป็นคราบเลือดที่ไม่สามารถล้างออกได้
กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นมานวดหัวของเขา ลงมาจากบนเตียง รอจนดึงสติกลับมาได้แล้วจึงหยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินออกมาจากห่อเสื้อผ้า ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเอง บีบแขนเสื้อของกุ่ยเม่ย “ข้ายังคงหิวนิดหน่อย”
ปลายนิ้วของกุ่ยเม่ยปัดไปตรงที่ถูกถูเมื่อครู่ มองนาง “ข้าสั่งให้เถ้าแก่เตรียมอาหารแห้งและบะหมี่ไว้แล้ว”
กู้อ้าวเวยมองเขาด้วยรอยยิ้ม กุ่ยเม่ยกลับอยากจะรีบเอาคนที่จัดการยากเช่นนี้โยนกลับไปที่ข้างกายของซ่านจินจื๋อโดยเร็ว
หญิงมีครรภ์ยุ่งยากยิ่งกว่าสถานการณ์ที่ยุ่งยากจริงๆ เลยเชียว
สองคนเดินลงมาด้านล่างพร้อมกัน แม้ว่าจะมีผู้ชายไม่น้อยที่มองมาแล้วต่างพากันหัวเราะ ดูเหมือนว่าจะแปลกใจว่าในร้านที่ผิดกฎหมายเช่นนี้ ทำไมจึงมีผู้หญิงกล้าเดินเข้ามาได้ แต่เพียงแค่เห็นมีดสองเล่มที่อยู่ข้างเอวของกุ่ยเม่ย ทั้งยังเห็นสายตาคู่นั้น พวกชายฉกรรจ์ต่างก็ได้แค่พากันพูดเล่นหัวเราะขึ้นมา ไม่มายั่วให้รำคาญใจอีก
ในเมื่อพวกเขาหนีมาถึงที่นี่แล้ว แน่นอนว่ายังไงก็ต้องมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เป็นอย่างดี
เถ้าแก่หดหัวอยู่ด้านหลังโต๊ะ สั่งคนรับใช้เสี่ยวเอ้อที่ผอมแห้งแรงน้อยไปเอาของกินที่กุ่ยเม่ยสั่งไว้มา อีกทั้งยังจัดโต๊ะด้วยตัวเอง เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูท่านนี้ดูเหมือนว่าจะหน้าตาคุ้นเคยอยู่บ้างเล็กน้อย”
“ขอโทษด้วย” กุ่ยเม่ยเอ่ยปากพูด คมมีดปักไปตรงระหว่างนิ้วมือของเถ้าแก่ “คุณหนูก็แค่อยากเจอคนคุ้นเคยเก่าที่โต๊ะข้างๆ