บทที่ 632 น้ำใต้ดิน
ผลลัพธ์ของการยั่วโมโหล่ายเสวียน ก็คือถูกแยกให้มาอยู่ที่เรือนพักอันห่างไกลแห่งนี้นั่นเอง
องครักษ์สองนายคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกไม่ให้คลาดสายตา รวมถึงมีสาวใช้สองคนในเรือนดูแลชีวิตประจำวันของนาง ในวันเวลาที่เรื่องสงครามกำลังมาเยือนนั้น ทว่าที่นี่ยังคงเงียบเชียบอยู่เช่นเคย
กุ่ยเม่ยนำยาต้มมาวางไว้เบื้องหน้าของนาง “ใครให้ท่านพูดเกินควรขนาดนั้นกันเล่า ไปสั่งให้หัวหน้ากองทหารทั้งคณะทำธุระด้วยอาการวางท่า สุดท้ายยังให้ผู้อื่นไปแยกแยะถูกผิดเอาเองอีก มันไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด”
“การสื่อสารความคิดกับผู้อื่น ข้าคงไม่อาจร้องขอให้พวกเขาฟังความข้าได้ตลอดนี่นา” กู้อ้าวเวยบีบจมูกพลางดื่มยาต้มที่ขมเฝื่อนนี้ลงไป หัวคิ้วขมวดกันแน่น “รอหลังจากใบไม้ผลิผ่านไปก่อน ข้าก็จะจากไปเอง”
“ถึงตอนนั้นท้องของท่านจะปิดซ่อนอย่างไรก็ปิดไม่อยู่แล้ว” กุ่ยเม่ยมองทางท้องน้อยๆ ของนาง ตอนนี้ยังมองไม่เห็นความนูนโค้งใดๆ
“ต่อให้ถึงตอนนั้นล่ายเสวียนก็คงไม่รังเกียจหญิงมีครรภ์ที่อาจจะกลายเป็นตัวถ่วงได้ตลอดคนหนึ่งหรอก ข้าเองก็กลัวว่าถึงตอนนั้นอาจจะไม่มีหมอตำแยสักคนอยู่ข้างกายเลย” วางชามยาว่างเปล่าลง กู้อ้าวเวยหรี่ตาดื่มน้ำอุ่นไปหนึ่งคำ “อีกอย่างที่จางเหยียงซานพูดมานั้นก็ไม่ผิด ข้ารู้สึกว่าอาจจะคลอดก่อนกำหนดอยู่เหมือนกัน”
ในยุคสมัยเช่นนี้ การคลอดก่อนกำหนดมีนัยว่าชะตาชีวิตอาจไม่ปลอดภัย
กุ่ยเม่ยรู้ข้อนี้ดี ในใจยิ่งร้อนรนขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนนับเวลา “บางทีท่านอ๋องอาจจะมาหา…”
“เขาคงไม่มาหรอกกระมัง อย่างไรเสียหากว่าเขาออกมา ฮ่องเต้ก็จะเป็นอันตรายมาก องค์ชายสี่ไร้อำนาจทหาร อำนาจทหารขององค์ชายหกยังคอยเฝ้าอยู่ชายแดน ถึงตอนนั้นความอาจหาญของซ่านต้วนเฟิงและฮองเฮาก็จะเพิ่มมากขึ้น บางทีการชิงอำนาจอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาจจะเป็นการที่ซ่านจินจื๋อมาถึงชายแดน และมุ่งหน้าเปิดศึกที่เมืองเทียนเหยียน” กู้อ้าวเวยส่ายหน้า “เขาไม่ใช่คนโง่ คงไม่อาจทำเรื่องโง่เง่าแบบนี้หรอก”
กุ่ยเม่ยก็ขบคิดทุกการกระทำการเคลื่อนไหวของซ่านจินจื๋อขึ้นมาได้ จึงพยักหน้าอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“แล้วถ้าถึงตอนนั้นท่านอ๋องส่งคนมารับท่าน ท่านจะกลับไปไหม”
“ข้าอยากกลับเอ่อตานไปหาฉีหรัว ซ่านจินจื๋อคอยตามอยู่ข้างกายข้า ข้าจะต้องกังวลมากแน่ๆ” กู้อ้าวเวยทานขนมอบของที่นี่อีกคำหนึ่ง เท้าพวงแก้มมองไปทางสาวใช้ที่หอบหนังสือเข้ามาทางด้านประตู “ดูท่าข้าคงต้องทำธุระก่อนเสียแล้ว”
เนื่องจากเรื่องที่บ่อน้ำในเมืองถูกวางพิษ เห็นชัดว่าล่ายเสวียนเองก็เคยตรวจสอบน้ำใต้ดินมาแล้วเหมือนกัน
จะว่าไปแล้วน้ำใต้ดินของเอ่อตานและเจียงเยี่ยนนั้นแทบจะหาจุดกำเนิดไม่พบ ส่วนน้ำใต้ดินของชางหลานนั้นเกือบจะทุกเมืองล้วนมีการจดบันทึกเอาไว้เกือบทุกเมือง และยิ่งจะรักษาน้ำพุบางแห่งที่ถูกค้นพบอีกด้วย เพียงแต่ว่าสามประเทศนี้ต่างไม่ได้ก่อตั้งอยู่บนทะเลทราย น้ำใต้ดินจึงไม่ได้เชื่อมต่อกันโดยสมบูรณ์ แต่กลับมีแหล่งที่มาที่ไป
คิดไปคิดมาแล้ว กู้อ้าวเวยแค่คิดว่าบางทีปีนั้นบรรพบุรุษตระกูลหยุนอาจจะเป็นนักโบราณคดี ดังนั้นปีนั้นถึงได้สนใจเรื่องเหล่านี้เสียขนาดนั้น และกว่าจะเวียนมาถึงหมอตัวเล็กๆ อย่างนางก็ไม่ได้มีบักทึกเรื่องนี้ไว้แล้ว ตรงกันข้ามนั้นกลับแม่นยำด้านคุณสมบัติทางยาของสมุนไพรไม่น้อยเลย เวลานี้คิดจะเสาะหากฎเกณฑ์ที่แท้จริง ยังต้องแสวงหาหนังสือให้มากกว่านี้นัก
ล่ายเสวียนระงับการเคลื่อนพลชั่วคราว ในเมื่อจะเลือกโจมตีแบบอึดใจเดียวโดยไม่หยุดพัก พวกเขาจำต้องตัดสินใจบางอย่าง และต้องเตรียมพร้อมให้สุดความสามารถ
ห้องของกู้อ้าวเวยเปลี่ยนจากหนังสือสิบกว่าเล่มในวันแรก เป็นหนังสือที่เต็มโต๊ะให้สิบวันให้หลัง
สาวใช้ที่อยู่หน้าประตูนำจดหมายหลายฉบับเข้ามา บัดนั้นกลับหาที่ว่างให้วางไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่ามุมโต๊ะยังมีเศษกระดาษหรือแผ่นกระดาษที่เขียนอะไรลงไปแล้ววางอยู่ด้วย ออกจะจัดการยากไปเสียหน่อย
“ใครส่งจดหมายมา” ผ่านไปเนิ่นนานกว่ากู้อ้าวเวยจะสังเกตเห็นนาง จึงหันหน้าไปรับจดหมายเหล่านี้ไว้ ดูเหมือนจะมีกระบอกไม้ไผ่สองสามอันที่เป็นจดหมายส่งมาจากพิราบส่งสาร ส่วนที่เหลือกลับยังมีจดหมายที่คนในสำนักบางส่วนส่งมา คิดว่าจะต้องเร่งความเร็วกีบม้าอยู่เช่นกัน
“ด้านนอกมีคนที่นามว่าแม่หญิงตู้คนหนึ่งให้คนนำคำเข้ามาเรียน และถือโอกาสนำจดหมายสองสามฉบับนี้เข้ามาส่งด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้นำสิ่งของยื่นใส่ในมือของนาง พลางกล่าวเสียงต่ำ “แม่หญิงท่านนั้นกล่าวว่านอกเมืองเทียนเหยียนเกิดเรื่องขึ้น อ๋องจิ้งหายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”
อย่าเพิ่งพูดถึงว่าแม่หญิงตู้ผู้นี้เอาทักษะจากไหนมาสืบข่าวคราวได้รวดเร็วปานนี้ กู้อ้าวเวยกลับทำเพียงพยักหน้าน้อยๆ ต่อเรื่องนี้ ก่อนคลี่เปิดอ่านทีละฉบับ มีการถามไถ่มาจากตำบลเหยสุ่ย ยังอีกสองฉบับแบ่งเป็นจดหมายที่ฉีหรัวและหยุนหว่านเขียนมา
ฉีหรัวกล่าวว่าจะตามองค์ชายสี่กลับเมืองเทียนเหยียน ซ้ำยังเอ่ยถึงซ่านจินจื๋อว่าได้มอบอำนาจทางทหารส่วนหนึ่งให้องค์ชายสี่ ส่วนจดหมายของหยุนหว่านนั้นกลับเป็นคำตำหนิและเป็นห่วงคลุกเคล้ากัน สองสามฉบับสุดท้ายกลับเป็นปัญหาน้ำใต้ดินที่กล่าวโดยฉูห้าวฉูหลี่
พิราบส่งสารโดยมากแล้วจะเป็นของซ่านจินจื๋อ แต่ถ้อยคำสำคัญสักครึ่งก็ยังไม่มี มีแต่ถามว่านางสบายดีหรือไม่ อ่านจนกู้อ้าวเวยปวดเศียรไม่สิ้นสุด “ตอนนั้นที่กลับชายแดนลืมหยิบจดหมาย ของพวกนี้จะต้องเขียนขึ้นเมื่อนานมาแล้วแน่ๆ เขาจะหายตัวไปได้อย่างไรกัน คิดว่าคงจะต่อกรกับฮองเฮาอย่างลับๆ หรืออะไรสักอย่าง…”
ความแข็งแกร่งของซ่านจินจื๋อนั้นนางน่าจะรู้ดี ผู้ชายที่ฆ่าไม่ตายแม้ในสนามศึก ย่อมไม่อาจตายก่อนสงครามไปได้แน่นอน เพียงแต่หายตัวไปสองคำนี้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจอยู่เรื่อย
ตอนที่พลิกอ่านถึงฉบับสุดท้าย กู้อ้าวเวยกลับรู้สึกว่ายิ่งแปลกใจเข้าไปอีก
ตัวอักษรบิดเบี้ยวของชิงจือกลับเขียนว่าตนมุ่งหน้าไปยังอารามไป๋หม่า และอยู่ด้วยกันกับเสด็จย่า
“อารามไป๋หม่า?” กู้อ้าวเวยเลิกเรียวคิ้วขึ้น นับว่าฝืนเบาใจลงมาได้แล้ว
อารามไป๋หม่าแห่งนี้น่าจะไม่เรียบง่ายเพียงแค่พิธีกรรมทางพุทธศาสนาอย่างเรียบง่ายขนาดนี้กระมัง ตอนนี้หวนคิดขึ้นมา อารามไป๋หม่าบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย และมีเสบียงอาหารแห้งตุนไว้ไม่น้อย ส่วนไทเฮาตอนนี้พาเสียนเฟยเข้าไป ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังก็คือไปหลบภัย ส่วนแม่หญิงตู้ไม่ได้เอ่ยถึงชิงจือ คงอาจจะสืบข่าวของชิงจือไม่ได้แน่ๆ
ดูแล้วก่อนที่ซ่านจินจื๋อจะหายตัวไปนั้นได้จัดแจงทุกอย่างไว้ตามความเหมาะสมเรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ นางเองก็ไม่ต้องกังวลใจ
สิ่งที่เรียกว่าหายตัวไปนี้ น่าจะเป็นแผนการของซ่านจินจื๋อ
หัวใจที่ตุ้มๆ ต่อมๆ ก็กลับเข้าช่องท้องไป กู้อ้าวเวยตอบจดหมายทีละฉบับก่อนส่งให้สาวใช้ “นำของเหล่านี้ไปให้กุ่ยเม่ย เขารู้อยู่แล้วว่าของพวกนี้ควรจะแบ่งส่งไปให้ใครบ้าง อีกอย่าง ชายแดนชางหลานมีข่าวคราวอะไรบ้างหรือยัง”
“ไม่ได้มีข่าวคราวอันใดเลยเจ้าค่ะ เงียบสงบอย่างมาก” สาวใช้ส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ไปทำเรื่องที่อยู่ในมือก่อนเถิด” กู้อ้าวเวยหยัดตัวลุกขึ้นมาตบบ่าของนาง “และไปช่วยข้าหาอาภรณ์หลวมๆ มาส่วนหนึ่งด้วย แบบนี้ข้าค่อยเคลื่อนไหวได้สะดวกหน่อย”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้าจากไปอย่างว่าง่าย ส่วนสาวใช้อีกนางก็ยกยาต้มเข้ามา เอียงศีรษะมองกู้อ้าวเวยที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะแบบที่หาได้ยากยิ่ง “อีกประเดี๋ยวดูเหมือนว่าหัวหน้ากองทหารล่ายเสวียนจะเข้ามาเจ้าค่ะ”
“ดี เจ้าไปนำของกินเข้ามาให้ข้าก่อนสักหน่อยแล้วกัน ข้าเริ่มหิวแล้ว” กู้อ้าวเวยเดินไปหย่อนตัวนั่งลงหน้าโต๊ะทานอาหาร ในมือยังคงถือหนังสือไม่ยอมห่างมือเช่นเคย
หลังจากช่วงเวลาหนึ่งชั่วธูป ล่ายเสวียนในชุดเกราะก็เดินเข้ามาในเรือน บนกายยังเคลือบแฝงไปด้วยกลิ่นโคลนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในโรงฝึกอีกด้วย
กู้อ้าวเวยสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงอำพันทั้งกาย เปลื้องชุดคลุมก่อนหน้านี้ไปแล้ว ทานบะหมี่ด้วยสีหน้าเรื่อแดง ดวงตาสุกใสคู่นั้นยังคงอ่านหนังสือที่พลิกเปิดในมืออยู่ ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเหลียวหลังไปมอง พลางบัญชาสาวใช้ “ไปเอาของกินเข้ามาอีก ดูเหมือนว่าหัวหน้ากองทหารล่ายเสวียนจะยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง”
สาวใช้เอาแต่รอให้ล่ายเสวียนพยักหน้าเสียก่อน จึงรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
“วันนี้กุ่ยเม่ยไม่อารักขาอยู่ข้างกายท่านแล้วรึ?” ล่ายเสวียนปลดหมวกเกราะลงมาวางไว้ข้างมือ
“เขาไม่พอใจเจ้า หากเอาแต่อยู่ข้างกายเขาละก็ เจ้าก็คงไม่เข้ามาพบข้าแล้วน่ะสิ” กู้อ้าวเวยหันตัวมามองเขา “ข้ายังคิดว่าเจ้าจะทนอีกสักพักค่อยมาพบข้าเสียอีก