บุบผาร้อยเสน่ห์ – ตอนที่ 633

ตอนที่ 633

บทที่ 633 จดจำพระคุณเอาไว้

“ท่านรอให้ข้ามาพบตลอดเลย?” ล่ายเสวียนปั้นหน้าขรึม ยังคงรักษาใบหน้าเย็นชาคำพูดเยียบเย็นในสนามฝึกเอาไว้

“ตอนนั้นเจ้าไม่ได้โต้แย้งข้าตลอดเลยนี่นา ทั้งยังช่วยข้าหาหนังสือพวกนี้มาแล้วจริงๆ อีก มันพิสูจน์แล้วว่าเจ้าเชื่อใจข้า ภายหลังเจ้าก็น่าจะมาหาข้าเพื่อเตรียมการศึกสงคราม “ กู้อ้าวเวยสูดลมหายใจเต็มเฮือกใหญ่ ยังคงมองเขาด้วยรอยยิ้มตาหยี “เพราะเจ้ารู้ ข้าก็คือผู้เหนือกว่าที่แท้จริง มีเพียงคนแบบนี้เท่านั้นที่จะสามารถช่วยเจ้าได้”

ถึงแม้ล่ายเสวียนจะไม่อยากยอมรับเอามากๆ แต่ความด้อยกว่าที่ฝังอยู่ในแกนกระดูกของทาสนั้นยากจะลบล้างได้ รวมถึงความไม่เชื่อมั่นในตัวเองของตน ไหนจะความโกรธที่สหายร่วมอุดมการณ์พวกนั้นมีต่อกู้อ้าวเวยอีก ทุกอย่างล้วนเพียงเพราะความด้อยกว่าและความไม่สมัครใจทั้งสิ้น

“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยโกรธเกรี้ยวไม่สงบด้วยเรื่องนี้ เคยคิดว่าทำไมพวกท่านก็แค่พื้นเพดีกว่าหน่อย ก็มักจะสามารถให้ถ้อยคำสูงส่งเอ่ยวาจากันได้แล้ว” ล่ายเสวียนนวดเรียวคิ้วอย่างเจ็บปวด หลังจากนั้นกลับไม่เต็มใจด้วยเช่นกัน “แต่ต่อมา ข้ายังคงยืมอำนาจของกู้เฉิงถึงได้เดินมาถึงตำแหน่งในปัจจุบันนี้ได้ เป็นเขาที่กรุณาข้า…”

“ไม่ใช่ความกรุณาเสียหน่อย แต่เพราะเจ้ามีค่ามากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นในบรรดาทาสตั้งมากมายขนาดนี้ เขาถึงได้เลือกเจ้า” กำปั้นของกู้อ้าวเวยทุบลงบนเสื้อเกราะของเขา สัมผัสที่เย็นวาบทำให้สายตาของกู้อ้าวเวยยิ่งคมกริบขึ้นมา “อย่าได้ทึกทักผิด สาเหตุที่เจ้ามาหาข้า ไม่ใช่เพราะมีแค่ข้าที่ช่วยเจ้าได้ แต่เพราะข้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาคนนี้มีค่าในสายตาของเจ้า เจ้าสิถึงจะเป็นหัวหน้ากองทหาร ผู้นำทัพหรือไม่ก็ผู้บุกเบิก ข้าเป็น…เครื่องมือของเจ้า”

นัยน์ตาดอกท้อของกู้อ้าวเวยไม่เคยเคลือบแฝงแววประจบสอพลอแม้เพียงครึ่งส่วน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน

ล่ายเสวียนครุ่นคิดเนิ่นนาน จึงมองเห็นกู้อ้าวเวยชักมือกลับไปทานบะหมี่ต่อ คราวนี้จึงเอ่ยต่อ “ข้าด้อยค่าเกินไป”

“นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่ทุกคนล้วนต้องเติบโตขึ้น” กู้อ้าวเวยกินบะหมี่คำสุดท้ายหมดแล้ว จึงมองเขา “ข้าปลอบใจเจ้าไปแล้ว ต่อไปพวกเราควรจะพูดคุยธุระปะปังที่แท้จริงได้แล้ว”

“ข้าอยากจะรู้ การโจมตีด้วยน้ำใต้ดินนั้นใช้งานได้หรือไม่ ข้าไม่อยากสูญเสียกองกำลัง…หนึ่งพันคนโดยเปล่าประโยชน์” ล่ายเสวียนมองที่นาง “นี่คือวิธีที่ท่านเสนอขึ้นมา ท่านย่อมคิดว่ามันสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว”

ยังคงก้าวร้าวเอาแต่ใจเสียจริง กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าล่ายเสวียนค่อนข้างหัวดี หลังจากชี้แนะไปก็เรียนรู้ได้ไวมากทีเดียว

“ข้อนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันจะไม่ไร้ที่ติ แต่อย่างน้อยที่สุดคนพวกนี้จะไม่หลงทางในนั้น อีกอย่างข้ายังคิดวิธีดำน้ำขึ้นมาอย่างหนึ่ง เพิ่มความปลอดภัยให้พวกเขา ขณะเดียวกัน ถึงตอนนั้นเจ้าสามารถเลือกให้ห้าสิบคนลงไปก่อน แล้วค่อยดูสถานการณ์ได้” กู้อ้าวเวยหยัดตัวลุกขึ้น หยิบภาพวาดถุงน้ำที่ตนออกแบบไว้เรียบร้อยเข้ามาด้วย

การหมุนเวียนอากาศในน้ำใต้ดินนั้นสุดท้ายก็ยังมีบางจุดที่ไร้ซึ่งอากาศอยู่ดี แต่ขณะเดียวกัน เนื่องจากทิศทางการไหลเวียน หนึ่งในนั้นก็ไม่ได้ลึกมากนัก

“หลังจากไปถึงก้นบ่อในเมืองแล้วควรจะขึ้นไปอย่างไรอีกเล่า” ล่ายเสวียนพับเก็บกระดาษภาพไว้

“พวกเขาล้วนมีตะขอกรงเล็บ อีกอย่างมีอัตราสูงมากที่จะว่ายไปในแม่น้ำ เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่เพื่อฆ่าคนหรือเปิดประตูเมือง เพียงแค่ต้องจุดไปไว้ด้านหลัง รวมถึงปล่อยตัวทาสพวกนั้น เมื่อเทียบกับทหารชั้นยอดแล้ว คนพวกนี้น่าจะมีความสามารถอยู่แน่นอน” กู้อ้าวเวยยื่นภาพวาดตะขอกรงเล็บอย่างง่ายไปให้อีกครั้ง พวกนางไม่มีเวลาไปปรับแต่งตะขอกรงเล็บทีละอันได้ วิธีที่ดีที่สุดยังเป็นการใช้ประโยชน์จากของเหลือ ใช้เศษเหล็กที่ไม่ได้ใช้งานแล้วมาตีให้งอ แต่ขณะเดียวกันยังต้องรักษาระดับความแข็งแรงของมุมตะขอกรงเล็บอีกด้วย

ล่ายเสวียนมองผาดภาพวาดพวกนี้อย่างลวกๆ ก่อนมองนางด้วยความสงสัยปราดหนึ่ง “ข้าคิดว่าท่านเป็นเพียงแค่หมอที่ค่อนข้างฉลาดคนหนึ่งเท่านั้น”

“ข้าเป็นถึงอาจารย์ทหารที่เจนตำราคนหนึ่งเชียวนะ” กู้อ้าวเวยก้าวเท้าเดินมานั่งลงข้าวตัวเขา “คนที่ต่อสู้ไม่เป็น รวมถึงเด็กและสตรีในเมืองเจ้าเตรียมจะจัดการอย่างไร”

“เด็กและสตรีบวกกับทหารอีกห้าพันคนเฝ้าเมืองนี้เอาไว้” ล่ายเสวียนเลิกหัวคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ถึงแม้ว่ามีความเป็นไปได้ว่ากองทัพทั้งหมดจะถูกล้างบาง พวกข้าก็ไม่อาจทอดทิ้งเมืองนี้ได้”

“เพราะอะไร?”

“พวกเราต้องการเส้นทางล่าถอย ชีวิตของคนไม่อาจนำไปแลกเปลี่ยนอย่างท่านที่พูดมาทั้งหมดได้หรอก” ล่ายเสวียนหันหน้ามองที่นาง เห็นแต่ว่าผู้หญิงตรงหน้าเกิดหัวเราะขึ้นมากะทันหันราวกับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ความเอาแต่ใจและถ้อยคำอย่างถือศักดิ์สูงส่งก่อนหน้านี้คล้ายกับจะมีคำอธิบายขึ้นมาแล้ว “ก่อนหน้านี้ท่าน…กำลังลองเชิงข้าอยู่?”

“พูดแบบนี้มันไม่น่าฟังเอาเสียเลย ข้าก็แค่สงสัยใคร่รู้เท่านั้นเอง” กู้อ้าวเวยเท้าพวงแก้มของตน

“เช่นนั้นถ้าหากข้าทำตามที่ท่านพูดมาทั้งหมดเลยจะทำอย่างไรกันเล่า!” ล่ายเสวียนตบโต๊ะพลางลุกขึ้น “นี่ท่านกำลังเล่นตลกกับชีวิตของคนอยู่นะ!”

กู้อ้าวเวยตกใจสะดุ้งโหยง กลับยังคงมองเขาด้วยรอยยิ้มตาหยีเช่นเคย “ทุกอย่างที่เจ้ามีในตอนนี้ รวมถึงทุกอย่างในอนาคตด้วยต่างก็ใช้ชีวิตคนกองสุมกลั่นออกมาทั้งสิ้น รวมถึงเส้นด้ายทุกเส้นบนร่างกายของเจ้าด้วยเช่นกัน ล้วนเคยสิ้นเปลืองชีวิตมนุษย์มาแล้ว มีเพียงการรู้ข้อนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะไม่ไร้เดียงสาขนาดนี้ คิดว่าข้ากำลังเล่นตลกกับชีวิตมนุษย์อยู่ได้”

ปลายตาของนางโค้งงอ มุมปากกระตุกขึ้นด้วยความโค้งที่ค่อนข้างดูแคลน “คนที่เป็นฝ่ายเลือก ท้ายที่สุดก็คือพวกเจ้า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ล้วนเป็นพวกเจ้าที่ต้องมารับผิดชอบ ข้าก็เป็นแค่เครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น จำข้อนี้ไว้”

เดิมทีล่ายเสวียนก็ไม่ควรพึ่งพานางเลย ตั้งแต่แรกนางก็ไม่ได้จำเป็นต้องช่วยพวกเขาให้ได้รับชัยชนะอยู่แล้ว แม้ว่าล่ายเสวียนจะตายในศึก กู่เซิงก็ยังคงกลายเป็นทัพหลังที่เตรียมพลตอบโต้บัลลังก์ฮ่องเต้อยู่ดี ขอเพียงเจียงเยี่ยนและแคว้นซินฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง เช่นนั้นสถานการณ์ก็จะมั่นคงทันที

ล่ายเสวียนไม่สำคัญ คนในเมืองก็ล้วนไม่สำคัญเลย

สำหรับกู้อ้าวเวยซึ่งเป็นคนนอกผู้นี้ การสันติถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หนึ่งในนั้นคนที่ต้องเสียสละมากที่สุด เดิมก็ควรเป็นชะตากรรมของตัวเอง แต่ไม่ใช่การพึ่งพาคนนอกสักคนที่สามารถเสียสละชีวิตเพื่อพวกเขาด้วยความจริงใจเสียหน่อย

“ท่านช่างเป็นผู้หญิงเลือดเย็นไร้ปรานีคนหนึ่งจริงๆ” ล่ายเสวียนกัดฟันกรอด “ท่านกับซ่านจินจื๋อเหมือนกันมาจากแกนกระดูกไม่ผิดเพี้ยนเลย”

“ข้าก็เรียนรู้มาจากเขานั่นแหละ แต่ตอนนี้เรื่องที่ข้าสอนเจ้าทั้งหมด ก็ฟังมาจากทางฝั่งหมดทั้งสิ้น พวกเราบอกเจ้าว่าควรเริ่มก้าวอย่างไร และจะคาดเดาความคิดของผู้มีตำแหน่งสูงอย่างไร เจ้าสามารถเกลียดชังพวกข้าได้ แต่เจ้าไม่อาจไม่ยอมรับ วิธีของพวกเราได้ผลเสมอ ยิ่งอย่าลืมว่าใครกันที่ส่งคนมาคุ้นกันพวกเจ้าตั้งหลายเดือน” กู้อ้าวเวยตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นเช่นเดียวกัน “จดจำพระคุณของซ่านจินจื๋อเอาไว้ วันหน้าเจ้ายังต้องชดใช้ให้กับเรื่องนี้”

ล่ายเสวียนแทบอดรนทนไม่ไหวกัดรากฟันจนเกือบหัก สวมหมวกเกราะแล้วจากไปโดยไม่เหลียวกลับหลังอีกเลย

ถึงเขาจะโกรธ แต่อย่างน้อยที่สุด ในใจของเขาเองก็มีคำตอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กู้อ้าวเวยเหลียวมองเขาจากไปด้วยเพลิงโทสะ ส่วนกุ่ยเม่ยนั้นเดินผ่านไหล่เขาสวนเข้ามา เดินมาหยุดต่อหน้าของนางด้วยสีหน้าเปี่ยมความไม่พอใจ “ทั้งที่ยามปกติท่านอ่อนโยนต่อผู้อื่นมากแท้ๆ ทำไมพอเป็นเขากลับ…”

“เพราะเขาไม่มีความเป็นผู้ใหญ่พอ สหายที่ข้ารู้จักทั้งหมดล้วนมีพื้นเพมาจากครอบครัวมั่งคั่ง สภาพแวดล้อมของพวกเขาถูกกำหนดให้เป็นผู้ใหญ่และไร้ปรานีมากพอ แต่เขาไม่ได้เรียนรู้ข้อนี้ คงไม่สามารถหอบความเมตตาแห่งอิสตระไปในสนามรบได้หรอกนะ” กู้อ้าวเวยนั่งลงด้วยความปวดหัว ตรงข้ามกลับรู้สึกผิดเล็กน้อย “นี่เรียกว่าสอนผู้เรียนตามความถนัด แต่เขามักจะมีสีหน้าปั้นยากเสมอ”

กุ่ยเม่ยมองนางอย่างทึ่งๆ เป็นเวลาเนิ่นนาน กว่าจะเค้นเสียงเอ่ยหนึ่งประโยคออกมาอย่างแผ่วเบา “ช้าเร็วท่านก็ต้องผิดใจกับคนรอบตัวจนหมดเกลี้ยงแน่”

“พูดตามตรง เจ้าก็อยากจะต่อยข้าอยู่บ้างใช้หรือไม่ ระยะนี้ความถี่ในการตบหัวข้าเห็นชัดว่ามันสูงขึ้นแล้ว” กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างสนเท่ห์

“เป็นอย่างนั้นแน่นอน” กุ่ยเม่ยนั่งลงพลางรินชาให้ตัวเองหนึ่งแก้ว “แต่ว่าท่านอ๋องก็ช่างรู้จักต่อกรกับท่านเสียเหลือเกิน ปล่อยให้ท่านอยู่เฉยๆ ตั้งสองเดือนโดยไม่ทำอะไรเลย ให้ท่านรู้สึกกระวนกระวายใจตาย”

“อย่าพูดถึงเขาเลย ข้าเริ่มกังวลอีกแล้ว” กู้อ้าวเวยอุดหูเอาไว้

กุ่ยเม่ยกลับยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่ ก่อนวางผลไม้ที่เก็บได้จากในเมืองลงเบื้องหน้าของนาง “มีแค่ท่านอ๋องเท่านั้นที่สามารถสยบท่านเอาไว้ได้”

“ข้าผิดเอง” กู้อ้าวเวยถอนหายใจ ปลายนิ้วกดลงบนท้องน้อย

อันที่จริงนางยังแอบตั้งตารอคอยจะได้พบหน้าซ่านจินจื๋อสักครั้ง ดูว่าเขาจะแสดงท่าทางประหลาดใจออกมาหรือไ

บุบผาร้อยเสน่ห์

บุบผาร้อยเสน่ห์

Status: Ongoing

ฟิ้ววว นางข้ามพภแล้ว!!!แพทย์โดดเด่นทันสมัยกู้อ้าวเวยข้ามภพกลายเป็นลูกสาวคนโตของเฉิงเสี้ยง อยากฆ่าข้าหรือ?มีดผ่าตัดของข้าสามารถทำให้เจ้าพิการทั้งตัวเลยนะ เปิดร้านยา ช่วยชาวบ้าน ถึงจะเป็นฮ่องเต้ก็อยากมาคบหาข้า นี่ท่านอ๋องชายเลว เจ้ากำลังแกล้งข้าอยู่รึ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท