บทที่ 637 ถึงตาข้าแล้ว
“ปิดบังเรื่องนี้ แบ่งกำลังเสริมออกครึ่งหนึ่ง ทุกคนในเมืองต้องเตรียมความพร้อม สิบวันให้หลังเริ่มออกเดินทางบุกโจมตีได้”
ชุดเกราะบนร่างของล่ายเสวียนยังเปื้อนสีโลหิต มือใหญ่หยาบหนาทั้งสองข้างกดอยู่บนขอบโต๊ะ “อีกอย่าง บอกนางว่าพวกเราคงไม่อาจพาผู้หญิงไร้ประโยชน์ไปสนามศึกได้ นางจำเป็นต้องอยู่ห่างจากแนวหน้าสิบห้าลี้ ข่าวสารข้าจะส่งไปให้ถึงมือนางเอง อีกประการลองถามว่าเคยเห็นตัวเลือกบุคคลที่เป็นหนังสือสู้รบเป็นบ้างหรือไม่ รีบตามตัวมา ให้ผู้หญิงคนนั้นคัดเลือก”
“ขอรับ” นายทหารรีบออกไปอย่างรวดเร็ว แม่ทัพรอบบริเวณต่างวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของล่ายเสวียน “ผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่คนนอกคนหนึ่งเท่านั้น ไยต้องเชื่อใจถึงเพียงนี้”
“เช่นนั้นท่านสามารถหาจุนซือที่น่าเชื่อถือและมีความสามารถกลับมาได้สักคนหรือ” ล่ายเสวียนสบสายตาอย่างเย็นชา แววตาโปรยตกลงบนแผนที่ทรายอีกครั้ง เมืองต่อไปห่างจากที่นี่ถึงสองร้อยลี้ อุดมสมบูรณ์กว่าที่นี่นัก ต้นน้ำและเสบียงอาหารเพียงพอต่อความต้องการ ขอเพียงสามารถบุกโจมตีได้ พวกเขาก็จะทำลายสถานการณ์เร่งด่วนในปัจจุบันลงได้
แต่น่าเสียดาย เมืองนี้อยู่ยงคงกระพัน เช้าตรู่วันนี้อ้ายหยินได้ออกบัญชาส่งทหารไปคุ้มกันเรียบร้อยแล้ว
ภายในเวลาห้าวัน เรื่องที่พวกเขาต้องทำมีกองสุมเป็นภูเขาทีเดียว
รอกระทั่งดึกสงัดไร้ผู้คน กู้อ้าวเวยและกุ่ยเม่ยถูกจัดสรรให้มาอยู่ในห้องคร่ำคร่าแห่งหนึ่ง ขอเพียงทะลุผ่านหลังคาไปก็จะเห็นดาราพร่างพราวฟากฟ้า ลมพระพายหนาวเย็นโชยกวาดเข้ามา กระทบบนกำแพงและหน้าต่างที่ทรุดโทรมจนส่งเสียงแครกครากดังขึ้น
ถึงแม้กุ่ยเม่ยจะได้รับบาดเจ็บ กลับยังคงนอนอยู่บนพื้น ปูเพียงแค่ผ้านวมผืนบางหนึ่งชั้นเท่านั้น
กู้อ้าวเวยกลับนอนแผ่บนเตียงที่อยู่ด้านในสุด ขดตัวอยู่ในผ้าห่มที่นำมาเอง ข้างหูยังมีเสียงร้องตะโกนมาจากโรงหมอ ทำให้นางยากจะนั่งนิ่งดูดาย จึงตะกายขึ้นมาผลัดอาภรณ์ทันที กลับเห็นว่ากุ่ยเม่ยในมุมมืดลืมตาขึ้น “ตอนนี้ท่านไวสัมผัสต่อกลิ่นคาวเลือดมาก”
“หวังว่าลูกของข้าจะเห็นอกเห็นใจแม่ที่มีฐานะเป็นหมอ” กู้อ้าวเวยออกแรงนั่งยองๆ ลงมาเล็กน้อย ก่อนวางยาหลายขวดไว้ข้างกายกุ่ยเม่ย “ไปนอนบนเตียง ข้าจะกลับมานอนตอนกลางวัน หากไม่มีใครเปลี่ยนยาที่ไหล่และแผ่นหลังให้เจ้า ก็รอข้ากลับมาเสียก่อน”
“ตกลง” กุ่ยเม่ยพยักหน้า เอี้ยวตัวเปิดทางให้นางมุ่งหน้าไปช่วยเหลือที่โรงหมอ
ตอนที่กู้อ้าวเวยรีบร้อนมาโรงหมอแพทย์หลายคนปฏิเสธอยู่ด้านนอก จนกระทั่งเด็กน้อยที่นางเคยสอนมาก่อนหน้านี้ตะโกนขึ้น “คุณหนูเก่งกาจยิ่งนัก เหตุใดจึงไม่ให้นางเข้ามาช่วย”
พวกผู้ใหญ่ต่างอับอายที่จะอธิบายเหตุผลกับเด็กน้อย ทำเพียงลูบกระหม่อมของเขา “นี่ไม่ใช่แค่คุณหนูท่านหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นถึงพระองค์หญิงหรือใต้เท้าท่านหนึ่ง สถานะสูงส่งยิ่ง”
ติดที่สถานะของนาง ตั้งแต่ต้นจนจบหมอเหล่านั้นจึงไม่กล้าให้พระองค์หญิงที่ทรงมีพระครรภ์ไปเสี่ยงอันตรายได้
“สถานะของข้าไม่ได้สูงส่งเลยสักนิด ตอนนี้ข้าเป็นเพียงแค่หมอคนหนึ่งเท่านั้น” กลิ่นคาวเลือดดูเหมือนจะไม่ได้เหม็นฉุนอีกแล้ว กู้อ้าวเวยถลกแขนเสื้อขึ้นผลักคนตรงหน้าออกก่อนเดินเข้าไปด้านใน มองทหารที่ถูกธนูยิงที่บริเวณขาและไหล่ปราดหนึ่ง มืออีกข้างกลับแนบลงบนศีรษะของเขาก่อนเป็นอันดับแรก “ผ่อนคลายร่างกาย ถ้ารู้สึกเจ็บหรืออึดอัดร้องบอกได้ทุกเมื่อ ข้าไม่อาจประหม่ามากเกินไปได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
กล่าวประโยคนี้จบอย่างรวดเร็ว รอกระทั่งนายทหารกัดฟันเพื่อยืนยัน นางจึงเริ่มขยับมือ
บรรดาแพทย์เริ่มรักษาและช่วยเหลืออย่างระมัดระวังในตอนแรก จนเริ่มร่วมมือไร้ที่ติในตอนสุดท้าย
เด็กน้อยอายุสิบกว่าปีสองคนแทบจะติดตามเป็นลูกมือคอยช่วยอยู่ข้างกายของกู้อ้าวเวย หยิบวัสดุยา ยกน้ำมาให้ รวมถึงช่วยทำความสะอาดปากแผล สิ่งสำคัญที่สุดยังช่วยเช็ดเหงื่อให้กู้อ้าวเวย เตือนนางให้ผ่อนคลายลงบ้างอีกด้วย
เอาแต่ยุ่งงานจนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาว ตอนที่ล่ายเสวียนมาดำเนินการตรวจสอบตามปกตินั้นก็มองเห็นกู้อ้าวเวยที่กำลังช่วยคนขูดจุดติดเชื้ออยู่ในมุมอับพอดี มีดเล็กที่มีขนาดไม่ยาวกว่าฝ่ามือเฉือนเนื้อชิ้นนั้นลงมา ในเรียวปากยังคงบ่นพึมพำ “เจ้าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น”
นางคุ้นชินกับการปลอบคนไข้ สีหน้าผุดเผยอาการมากกว่าหน้านิ่วคิ้วขมวด
“หัวหน้ากองทหารล่ายเสวียน นางยืนกรานจะมาช่วยให้ได้” องครักษ์หน้าประตูรีบร้อนเอ่ยคำ “พวกเราจะคอยสังเกตตลอด…”
“ทำตามที่นางพูดทุกอย่าง แต่อาหารสามมื้อไม่อาจขาดเขิน” ล่ายเสวียนออกจากบริเวณนี้ไปโดยไม่ได้เงยหน้า พอดีเผชิญหน้ากับกุ่ยเม่ยที่ฝีก้าวแทบลอยลิ่ว จ้องสายตามองอีกฝ่ายเป็นนาน กว่าจะเอ่ยปาก “เจ้าพูดมาไม่ผิดเลย ผู้หญิงแบบนี้เพียงพอจะทำผู้ชายไม่น้อยกังวลใจไปกับนางจริงๆ”
“คงเพราะปรารถนาจะได้รับการปกป้องจากบุรุษ” กุ่ยเม่ยยิ้มอย่างจนปัญญา “แต่คนที่ชอบผู้หญิงเช่นนี้ได้ ล้วนเป็นสัตว์ประหลาด ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ใช่”
ล่ายเสวียนเลิกคิ้ว ก่อนนำคนจากไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ส่วนกุ่ยเม่ยเดินมุ่งเข้าไปด้านใน พลางคิดว่าบางทีตัวล่ายเสวียนเองจะยังไม่ทันตระหนักรู้ เขาอิจฉาชื่นชมพรสวรรค์และความสามารถของกู้อ้าวเวยเพียงใด โดยเฉพาะลักษณะพิเศษที่ดึงดูดผู้คนทั้งกายนั้น
เดินเข้าไปในโรงหมอ กู้อ้าวเวยช่วยคนพันปากแผลไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือบเห็นกุ่ยเม่ยเข้ามา จึงทำเพียงเหลียวหลังมองด้านนอกปราดหนึ่ง “ฟ้าสางแล้ว”
“กลับมาแต้มยาให้ข้า จะได้เลยไปทานอาหารสักหน่อยด้วย” กุ่ยเม่ยแตะต้องแผ่นหลังที่บาดเจ็บของตัวเองไม่ถึงเลยสักนิด
“ตกลง รอประเดี๋ยว” กู้อ้าวเวยเอ่ยคำด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแวว ชำระมือด้วยท่าทางราบเรียบก่อนจะตามกุ่ยเม่ยออกไป ตนเองนั้นกึ่งๆ พยุงกุ่ยเม่ย พลางถาม “เมื่อวานมีพิราบส่งสารมาถึงหรือยัง”
“ครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้มีมาแล้วหนึ่งตัว” กุ่ยเม่ยล้วงกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ออกมาพลางยัดให้นาง “กองทัพหนึ่งพันคนนั้นจะมาถึงเมืองก่อนหน้าในอีกราวๆ สองวันให้หลัง ไม่เพียงเท่านี้ ท่านอ๋องยังออกบัญชาแล้วด้วย”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าซ่านจินจื๋อออกบัญชาอะไร” กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ กุ่ยเม่ยมีพลังวิเศษมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
แต่ยังคลี่จดหมายในมือออกอ่าน สิ่งที่สะท้อนรูม่านตาก็คือตัวหนังสือของซ่านจินจื๋อ นกพิราบส่งสารตัวนี้เป็นตัวที่ซ่านจินจื๋อส่งมานั่นเอง
“ถึงตาข้าลงโทษเจ้าแล้ว”
ประโยคสั้นหนึ่งประโยคทำให้กู้อ้าวเวยไม่มีเวลาคลี่กระดาษอีกแผ่นออก ทำเพียงยกมือขึ้นทาบบนพวงแก้มเย็นเยียบของตน “ข้าคลอดลูกให้เขาเชียวนะ แต่เหตุใดอ่านดูประโยคนี้แล้ว ข้ารู้สึกว่าเขาลงโทษข้าจริงๆ”
ขณะเดียวกันกุ่ยเม่ยก็มองใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง ก่อนหัวเราะอย่างกะทันหัน “ข้าบอกแล้ว มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่จะกินท่านจนถึงตายได้”
……
ในป่าลึก ซ่านจินจื๋อพิงบนลำต้นไม้ แพทย์ทหารที่ติดตามมาพันปากแผลให้เขา
ขณะเดียวกันเฉิงซานชีนิ้วสั่งให้คนตั้งกระโจมปักหลักที่นี่ด้วยท่าทีดุดัน กลิ่นคาวเลือดในระหว่างป่าเขาไม่เคยสลายไปเลยเป็นเวลาเนิ่นนาน และมีหมูป่าที่นายทหารล่ามาได้ เตรียมพร้อมในการอ้างแรมที่นี่หนึ่งคืน
“กำลังคนที่ซ่านต้วนเฟิงส่งมาฝีมือไม่เลวเลย” ซ่านจินจื๋อมองดูผ้าละเอียดบนบาดแผลของตน ก่อนเอ่ยปากกับเฉิงซาน “สถานการณ์ในเมืองเทียนเหยียนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ทุกพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของฮองเฮาถูกเปิดโปงหมดแล้ว รวมถึงการที่นางใส่ร้ายพระสนม ควบคุมการเมืองราชสำนัก กระทั่งเรื่องที่ควบคุมอำนาจทหารหมายจะบุกเมืองเทียนเหยียนล้วนกระจายอำนาจจนสิ้นแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ ต่อให้มีหลักฐาน กลับยังไม่อาจดึงองค์ชายเก้าลงมารับโทษด้วยกันได้” เฉิงซานคุกเข่าลงข้างๆ ยื่นอาหารแห้งและน้ำสะอาดให้
“แล้วทางฝั่งเวยเอ๋อเล่า?” ซ่านจินจื๋อดื่มน้ำหนึ่งคำ ปลายตาผุดแววอำมหิตเข้มข้นกว่าเดิม
“การต่อสู่ครั้งแรกถือเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ ส่วนกุ่ยเม่ยก็ตอบความกลับมาแล้ว พระองค์นาง…ถึงแม้จะหวงแหนเด็กในท้องมาก แต่ยังคงยุ่งง่วน ทั้งยังอ่อนไหวมากขึ้น สำหรับเรื่องที่ท่านจะเข้าไปนั้น…ต่อต้านอย่างยิ่ง” การเว้นวรรคสองครั้งติดทำให้ซ่านจินจื๋อเข้าใจความหมายแฝงในนั้น
ทุกการกระทำที่ผ่านมา ที่แท้บางอย่างก็ยากจะชดเชย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่อาจเข้าใกล้นางมากเกินไป” แววปะทุดุเดือดในดวงตาของซ่านจินจื๋อในที่สุดก็ถูกความละอายใจปกคลุมเอาไว้ “แต่จะให้ข้าทนเห็นนางไม่คำนึงถึงชีวิตละก็ เลิกคิดได้เลย!”