บทที่ 636 สำคัญที่สุด
กุ่ยเม่ยแนบมือข้างที่มีแต่เศษฝุ่นทาบลงบนหน้าผากของกู้อ้าวเวย กลิ่นดินปืนยังคงลอยคลุ้งที่ปลายจมูกอยู่
ในท้องปั่นป่วน แต่กู้อ้าวเวยกลับโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ จนกระทั่งกุ่ยเม่ยหัวเราะพลางตีหน้าผากของนางเบาๆ บอกนางด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อยเพราะอาการบาดเจ็บ “หายใจลึกๆ ข้าไม่เป็นไร ท่านเองก็ต้องปกป้องลูกทูนหัวของข้าให้ไม่เป็นไรด้วยเช่นเดียวกัน”
หายใจลึกๆ ตามการเคลื่อนไหวของกุ่ยเม่ยสักพัก อาการปวดที่ช่องท้องค่อยๆ ทุเลาลง เพียงแต่ในกระเพาะยังคงกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ฟ่านเฟิงให้พื้นที่เล็กๆ แห่งนี้แก่พวกเขาสองคนโดยสมบูรณ์ และส่งทหารคอยอารักขาในละแวกใกล้เคียง ครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะกุ่ยเม่ยปีนขึ้นไปสังหารพลธนูที่อยู่บนกำแพงเสียก่อน พวกเขาคงยากจะขว้างระเบิดลูกไฟเข้าไปได้
หากไม่มีแผนการน้ำใต้ดินของกู้อ้าวเวย บางทีพวกเขาอาจจะสูญเสียมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ขุนนางทำความชอบย่อมต้องได้รับการปฏิบัติที่ดีเสียหน่อย
ฟ่านเฟิงกลับมารายงานที่ข้างกายของล่ายเสวียน ส่วนหัวหน้ากองทหารหน้าตายทำเพียงชำเลืองมองสองคนที่อยู่ฝั่งนั้นปราดหนึ่ง ก่อนเลิกคิ้ว “พื้นเพของพวกเราไม่ได้สูงส่ง คงคิดไม่รอบคอบเหมือนพวกเขาขนาดนั้น แต่ไม่อาจไร้สมองไปเลย แม้กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่งยังเทียบไม่ได้”
แม่ทัพที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม พวกเขาก็ไม่ยินดีจะฟังสตรีนางหนึ่งชี้นิ้วออกคำสั่งไปวันๆ เช่นกัน
แต่ในมุมเล็กๆ แห่งหนึ่ง กู้อ้าวเวยเพิ่งจะหายใจทั่วท้องก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เปิดกล่องยาขนาดเล็กที่อยู่ช่วงเอว “ต่อให้อยากจะเตือนสติอะไรข้า ก็ไม่เห็นต้องบาดเจ็บเลย แค่พูดออกมาก็สิ้นเรื่องแล้ว ตอนนี้ นอนลง!”
กุ่ยเม่ยกลับนอนลงบนเสื้อคลุมตัวนอกของนางอย่างว่าง่าย ความเจ็บปวดช่วงเอวและหน้าท้องไม่อาจบรรเทาลง แม้ทักษะทางการแพทย์ของกู้อ้าวเวยจะโดดเด่นเหนือปวงประชา แต่คงยากจะนำยาชาอันแสนล้ำค่ามาให้เขาใช้ในสถานการณ์สับสนวุ่นวายเช่นนี้ได้ บนช่วงไหล่และแผ่นหลังก็มีบาดแผลประปราย กลับถูกซ่อนเร้นไว้ภายใต้เสื้อคลุมสีดำ ทันทำให้กู้อ้าวเวยดวงตาแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง
จัดการบาดแผลให้เขาอย่างคล่องแคล่ว น้ำเสียงของกู้อ้าวเวยเริ่มสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ข้าไม่ตายหรอก”
“หากท่านตายไป ข้าก็คงไม่เหลืออะไรแล้ว” กุ่ยเม่ยหัวเราะหยันหนึ่งทีให้กับท้องฟ้าสีคราม “ที่น่าขันคือหลังจากข้าลาจากท่านอ๋องแล้วก็แทบไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไร มีแต่คอยตามท่าน ถึงได้รู้สึกว่ามีชีวิตอยู่เป็นผู้เป็นคนขึ้นมา”
กู้อ้าวเวยลืมไปแล้วว่าตนเองสำคัญกับกุ่ยเม่ยขนาดไหน
คนที่ดึงกุ่ยเม่ยออกจากตำหนักอ๋องในขณะนั้นก็คือนาง คนที่ใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาช่วงสุดท้ายของโจวซื่อมารดาของเขา ก็คือนางอีกเช่นกัน จนถึงตอนนี้ กุ่ยเม่ยยังคงเดินหน้าต่อด้วยการทำตามคำสั่งของผู้อื่น
เขายิ่งเหมือนเด็กที่ตัวติดกู้อ้าวเวยแจ ไม่รู้จักโลกภายนอก ไม่รู้ว่าอนาคตอยู่ทิศทางใด
“ถ้าหากท่านตายไป ชิงจือต้องร้องไห้แน่ ว่าไปแล้วข้ายังเห็นเด็กคนนั้นร้องไห้น้อยครั้งนัก” กุ่ยเม่ยเจ็บจนต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ขณะที่เย็บบาดแผลให้สมานกันนั้นก็รู้สึกเจ็บจนสติสตังของเขาลอยกระเจิงไปหมด
“ข้ารู้” กู้อ้าวเวยก้มหน้างุด “ข้าไม่ตายหรอกน่า”
ต่อให้ตายไป นางก็ต้องหาแผนการอันสมบูรณ์แบบพบจนได้
แต่ไม่ใช่ตอนนี้
เช่ออี้จื่อสามารถทำให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นางมีเวลาเหลือเฟือพอที่จะไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
“ท่านอ๋องได้พบผู้หญิงเช่นท่าน ชาติก่อนคงต้องติดหนี้เง็กเซียนฮ่องเต้ไว้แน่ๆ” กุ่ยเม่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ประจวบกับที่เห็นกู้อ้าวเวยเย็บบาดเจ็บของเขาเข้าหากันคล้ายกับกำลังเย็บผ้า เขาดูจนหนังศีรษะมึนชาไปหมด
“เจ้าชอบท่านอ๋องของเจ้าขนาดนี้เชียว ทำไมไม่แต่งตัวเองเข้าเรือนเลยเล่า” ข้อศอกของกู้อ้าวเวยกดลงบนแผงอกของเขา ป้องกันไม่ให้เขาขยับเพราะอาการเจ็บปวด
กุ่ยเม่ยอดกลั้นการเคลื่อนไหวสุดท้ายด้วยสีหน้าซีดเซียวเหลือบคล้ำ มองนางด้วยใบหน้าขาวเผือด “หากท่านอ๋องทราบว่าท่านท้องโย้มาสนามศึก จะกักขังท่านไว้สองปีหรือไม่กันนะ”
“เขากล้าเชียว!” ทันใดนั้นกู้อ้าวเวยหมดความมั่นใจ ดูเหมือนสองปีไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
กุ่ยเม่ยหัวเราะขึ้นมา มองดูกูอ้าวเวยหยิบผ้าละเอียดออกมาจากกล่องยาเพื่อพันแผลให้กับเขา ก่อนเอ่ยต่อไป “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ได้รับข่าวคราวมาบ้าง ดูเหมือนท่านอ๋องจะส่งทหารเข้ามาตามหาท่าน…เจ็บ!”
ปากแผลถูกรัดแน่นเต็มแรง กุ่ยเม่ยร่วงตุบลงพื้นด้วยสีหน้าซีดขาว ทั่วทั้งหน้าไม่เหลือแววอะไรเลย
ผมของกู้อ้าวเวยตีลงที่หน้าของเขาด้วย ก่อนเอ่ยด้วยประโยคที่เจือความโกรธ “ตั้งแต่เมื่อไร! เจ้ารู้ได้อย่างไร!”
“อย่างที่ท่านบอก ข้อมูลก็คือพลัง ข้าย่อมเรียนรู้อยู่พอตัวเหมือนกัน” กุ่ยเม่ยลูบจมูกด้วยความรู้สึกผิด เพื่อป้องกันไม่ให้กู้อ้าวเวยลงไม้ลงมือกับตนอีก เขาจึงรีบสารภาพ “ท่านคงไม่รู้เลย ทุกๆ เดือนท่านอ๋องจะส่งจดหมายและข้าวของไปให้ราชวังเอ่อตานไม่มากก็น้อย เรื่องของชิงจือนั้นไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ต้องบอกให้ฮูหยินทราบ”
มิน่าเล่า ตอนนั้นพวกเขาแต่ละคนถึงไม่ได้กล่าวโทษซ่านจินจื๋อเลยสักคน
แต่คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกเขาหวนกลับมาอีกครั้งก็น่าจะหนึ่งถึงสองปีแล้ว ซ่านจินจื๋อส่งข้าวของมาทุกๆ เดือนโดยไม่หยุดเลยจริงๆ เชียวหรือ?
ในใจลอบสั่นไหวเล็กน้อย ทว่าการเคลื่อนไหวในมือของกู้อ้าวเวยยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ต้องบังคับให้กุ่ยเม่ยขอโทษขอโพยก่อนถึงจะพยุงเขาลุกขึ้นนั่ง และพิงอยู่กำแพงหินทรุดโทรมฝั่งหนึ่ง “เขาส่งทหารเข้ามาคิดจะทำอะไร”
“ไม่รู้…” กุ่ยเม่ยลูบปลายจมูก สีหน้าไร้เดียงสา
บัดนั้นกู้อ้าวเวยจนคำพูด ทำได้เพียงปล่อยให้กุ่ยเม่ยพักผ่อนก่อนสักประเดี๋ยว ส่วนตนก็นั่งอยู่ด้านข้างอย่างสงบ รับฟังเสียงร้องไห้ตะโกนและเสียงโหวกเหวกของบรรดาแพทย์ที่อยูข้างหู กู้อ้าวเวยกลับยากจะสงบลงได้เลย
อาจเพราะเชื่อซ่านจินจื๋อมากเกินไป หรือไม่ก็นางไม่ได้ใส่ใจเขาเลยจริงๆ
นอกจากสิ่งที่ซ่านจินจื๋อทำเพื่อราชสำนักและกองทัพทหาร เรื่องราวที่เหลือนางแทบไม่ได้เป็นฝ่ายส่งคนไปตรวจสอบก่อนเลยด้วยซ้ำ
แต่ขอเพียงนึกถึงว่าซ่านจินจื๋อจะคอยอยู่เคียงข้างตนให้กำเนิดลูก นางก็แทบเหงื่อกาฬตกทันที สองเรียวแขนกอดตัวเองเอาไว้ จนกระทั่งมีนายทหารมาส่งขนมอบและน้ำอุ่นบางส่วน “ข้าไปส่งพวกท่านเข้าห้องดีกว่า”
“เอาไว้ให้กับคนที่มีประโยชน์มากกว่าข้าเถิด” กู้อ้าวเวยรับสิ่งของมา ใช้เท้าสะกิดปลุกกุ่ยเม่ย จากนั้นจึงกล่าวต่อ “รบกวนช่วยข้าไปบอกล่ายเสวียนที ในภายภาคหน้าข้าจะคอยช่วยออกอุบายอยู่เบื้องหลัง”
“รับทราบ” ทหารคนนั้นสาวเท้าฉับๆ เดินออกไป
กุ่ยเม่ยดึงสติกลับมา กู้อ้าวเวยนั่งอยู่ข้างกายของเขาพลางป้อนอาหารให้เขาทาน “ตอนที่เข้ามาในเมือง เจ้าเห็นสถานที่แปลกๆ อะไรบ้างหรือไม่”
“อย่างเช่น?” กุ่ยเม่ยเลิกคิ้ว
“ยกตัวอย่างเช่นมีสถานที่ที่ป้องกันหละหลวมหรือไม่ หรืออาจกล่าวว่า มีบางคนดูเหมือนจะจงใจเปิดเผยจุดอ่อนให้พวกเจ้าเห็น?” กู้อ้าวเวยพิงอยู่ข้างกายของเขาพลางเอ่ยถาม กดน้ำเสียงให้ต่ำลง “เมืองๆ หนึ่ง เพียงแค่สองวันก็โจมตีได้แล้ว มันออกจะน่าเหลือเชื่อ ทั้งอีกฝ่ายยื่นข้อเสนอการเจรจาอีก แต่ว่ากองกำลังเสริมยังมาไม่ถึง”
กุ่ยเม่ยครุ่นคิดอย่างจริงจังสักพัก “ฐานที่มั่นทางมุมอับฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ข้าเห็นคนของล่ายเสวียนยึดที่นั่นได้อย่างง่ายดาย คนฝั่งนั้นก็ยอมจำนนไวที่สุด ระเบิดลูกไฟของพวกเราต่างขว้างไปในตลาดที่กองทัพศัตรูอยู่ค่อนข้างชุกชม แต่ว่ามุมอับทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ แทบจะ…”
“ดูเหมือนว่าอ้ายหยินจะละทิ้งเมืองนี้จากรากฐานแล้ว ขั้นต่อไป บางทีเขาอาจจะส่งคนไปโอบล้อมด้านข้างก็ได้” กู้อ้าวเวยแย่งขนมอบออกก่อนยัดใส่ในปากของกุ่ยเม่ย “แต่ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก ยังไม่อยากกระโตกกระตาก เจ้าตระเวนในค่ายทหารแล้วหาคนที่ไว้ใจได้สักคน นำเรื่องนี้ไปบอกล่ายเสวียน โดยข้ามฟ่านเฟิงไป”
“ฟ่านเฟิงไม่น่าไว้ใจหรือ” กุ่ยเม่ยแปลกใจ
“น่าเชื่อถือ แต่การรายงานและการคาดคะเนยังไม่น่าเชื่อถือ หากยังมีสายสืบแฝงอยู่ พวกเขาจะต้องจับตามองการเคลื่อนไหวของฟ่านเฟิงอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของกู้อ้าวเวยยิ่งแผ่วต่ำลงมากขึ้นเรื่อยๆ