บทที่ 639 ของจริง
“วิธีนี้ จะเป็นอมตะได้จริงๆ หรือ” เฉิงซานยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ตามเดิม
ซ่านจินจื๋อกลับโยนม้วนตำราเล่มนี้เข้าไปในกองไฟเสียดื้อๆ ฉีหรัวเองก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงหยัดตัวลุกขึ้นตาม มองไปทางเฉิงซาน “ถ้าหากเป็นยาวิเศษ ใช้เงินเพียงหนึ่งตำลึง คนอื่นจะคิดว่าเป็นแพทย์หลอกลวง แต่ถ้าหากยาวิเศษนี้ถูกมนุษย์โลกช่วงชิงไป มีคนใช้ประเทศไปแลกเปลี่ยน ทุกคนก็จะเชื่อว่ายาวิเศษนี้เป็นของจริง ทั้งยังทำให้คนฟื้นขึ้นมาจากความตาย และคงความเยาว์วัยได้จริงๆ”
ขอเพียงมีคนเชื่อ ของสิ่งนี้ก็จะเป็นของจริง
จนคำพูดไปชั่วขณะ ในใจของซ่านจินจื๋อกลับเลี่ยงเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้
ถ้าหากสิ่งที่กู้เฉิงต้องการมีแค่สูตรนี้จริงๆ เช่นนั้นพอถึงตอนนั้นหากกู้อ้าวเวยตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเขาขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่จะรอต้อนรับกู้อ้าวเวยคงมีเพียงการถูกทรมานหรือไม่ก็คุกคามเป็นแน่ เนื่องจากนี่ไม่ใช่สูตรยาด้วยซ้ำ แต่เป็นวิธีการเท่านั้นเอง
“ไม่ว่าของสิ่งนี้จะเป็นของจริงหรือของปลอม ก็ไม่ควรเหลือทิ้งอยู่บนโลกใบนี้ แต่ในเมื่อกู้เฉิงรู้มากขนาดนี้ ข้ากลับยิ่งไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถนี้จริงๆ” ซ่านจินจื๋อมองสีนภาปราดหนึ่ง ก่อนปริปาก “สองชั่วยามให้หลังค่อยออกเดินทางต่อ ส่งคนไปคุ้มกันพวกเขามุ่งหน้าไปหาหยวนเอ๋อ”
ฉีหรัวไม่เข้าใจความหมายของซ่านจินจื๋อ แต่หน้าที่ของนางได้เสร็จสิ้นแล้ว
พักผ่อนชั่วครู่ ซ่านจินจื๋อกลับส่งคนจำนวนไม่น้อยมุ่งไปที่ด่านลั่วสุ่ย
ปีนั้นฮ่องเต้และบุคคลอันเป็นที่รักของเขาซ่อนตัวอยู่ใต้หน้าผา จะรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าความเป็นอมตะสิ่งนี้ด้วยหรือไม่
“พระองค์หญิงในตอนนี้ ไม่ใช่ลูกสาวของขุนนางต้องความผิดในปีนั้นแล้ว” เฉิงซานยืนอยู่ด้านหลังซ่านจินจื๋อ
“ข้ารู้ แต่ว่าคนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก หากให้คนรู้ถึงการกระทำของฮ่องเต้อำมหิตในปีนั้นเข้า ต่างก็ทำไปเพื่อสิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลหยุนเหลือทิ้งไว้ กลัวว่าจะส่งผลต่อชื่อเสียงของตระกูลหยุนทุกชั่วอายุ” กล่าวถึงตรงนี้ ซ่านจินจื๋อพลันทอดถอนใจเบาๆ “เพียงแต่ โชคดีที่ทุกอย่างได้ถูกทำลายลงจนสิ้นแล้ว แต่กู้เฉิงรู้วิธีเป็นอมตะนี้ได้ คงไม่ใช่ตระกูลหยุนเป็นคนบอกเขาแน่ๆ เช่นนั้นเขารู้ได้อย่างไร กระทั่งเชื่อว่าหยุนหว่านยังไม่ตายอีกด้วย?”
เฉิงซานก็คิดหาเหตุผลใดๆ ไม่ออกเช่นกัน ทำได้เพียงนิ่งเงียบ
……
“ฮัดชิ่ว”
จามแรงๆ หนึ่งที กู้อ้าวเวยนวดปลายจมูก ในมือกลับเขียนใบสั่งยาสุดท้ายลงไป
ใบสั่งยาที่เคยถูกคิดค้นพัฒนาขึ้นมาเพื่อพระชายาจิ้งถูกนางเขียนลงไปหลายสิบครั้ง ขอเพียงมีจุดที่จำเป็น นางก็จะเทหน้าตักหารือ แต่ตอนนี้สงครามใกล้มาเยือนทุกที นางกลับมักรู้สึกว่าเรื่อราวมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่รำไร
“แต่เดิมอ้ายหยินก็มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพ ตอนนี้การจัดสรรแปรขบวนดูเหมือนจะมีช่องโหว่เต็มไปหมด” น้ำเสียงกู้อ้าวเวยหม่นลง ยื่นใบสั่งยาให้กับเด็กน้อยข้างกาย แต่ถามกับกุ่ยเม่ยว่า
“ข้ากลับมองไม่ออกถึงการแปรขบวนทัพเลย แต่ถึงแม้อ้ายหยินจะไม่เก่งกาจเท่าพรสวรรค์โดดเด่นเหมือนท่านอ๋อง ทว่าช่ำชองประสบการณ์ ปัจจุบันเมืองหลังยังไม่ถูกโจมตี ก็ไม่รู้ว่าในนั้นมีความช่วยเหลือของผู้ที่เรียกว่าท่านซูหรือไม่ สถานการณ์เจียงเยี่ยนในปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลง ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด” กุ่ยเม่ยฉวยโอกาสนี้บีบมือข้างหนึ่งของนางเอาไว้ แล้วรินน้ำอุ่นให้หนึ่งแก้ว “ใกล้ได้ยามแล้ว ควรพักผ่อนได้แล้ว”
“อืม” กู้อ้าวเวยกลับว่าง่าย ก่อนจะสูดจมูกทันใด และจามออกมาเป็นครั้งที่สอง
กุ่ยเม่ยจ้องนางปราดหนึ่ง ก่อนลากนางมาถึงเตียงโดยตรง และกดลงไปให้นอนหลับ
ช่วยรักษาชีวิตคนตั้งแต่เช้ายันค่ำ กลับเป็นไข้ตากลมเสียเอง
วันนี้ ล่ายเสวียนได้นำคนส่วนใหญ่แบ่งออกไปแล้ว รีบรุดออกจากเมือง ส่วนเมื่อวานกู้อ้าวเวยก็ระบุเรียงรันความเป็นไปได้ทั้งหมดออกมา และแบ่งฟ่านเฟิงกับแม่ทัพสามนายออกไปเพื่อนำทหารจำนวนต่างกันไปรอสนับสนุนอยู่รอบสี่ทิศ เพื่อจะเสริมกำลังได้ทุกเมื่อ
ล่ายเสวียนกลับพาคนมุ่งหน้าทะลุแนวข้าศึก เขาไม่ถนัดการใช้กลยุทธ์เท่าไร แต่กลับใช้ความฉลาดมากลบฝังมันได้
ส่วนสิ่งที่กู้อ้าวเวยทำลงไปนั้น ก็คือขจัดความไม่พอใจของผู้คนออกไป ขณะเดียวกันกู่เซิงและท่านซูก็ได้สำแดงพละกำลัง เพื่อได้รับพันธมิตรและการสนับสนุน
ดังนั้นคราวนี้ เมื่อเทียบกับการโจมตีเมืองแล้ว กู้อ้าวเวยกับล่ายเสวียนต่างมีแนวโน้มจะใช้จิตวิทยาโจมตีอย่างไรกันทั้งคู่
นอนลงด้วยสภาพจิตใจไม่สงบ มองเห็นกุ่ยเม่ยวกกลับมาอีกครั้งทั้งที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลเลย จึงแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น”
“กองทัพของอ้ายหยินไม่ได้ลงมือกับเมืองหลังจริงๆ ด้วย เพราะว่าล่ายเสวียนเรียกรวมทหารชั้นยอดหนึ่งพันนางที่ท่านอ๋องส่งมาเข้าสู่กลางเมือง เจียงเยี่ยนอาจจะยังคงอกสั่นขวัญแขวนกับเรื่องราวที่ถูกท่านอ๋องโจมตีสองเมืองในตอนแรกอยู่ก็ได้ ตอนนี้ถึงคอยสอดแนมแต่ไม่กล้าลงมือ” น้ำเสียงของกุ่ยเม่ยดังขึ้นต่อเนื่อง กระทั่งคิดว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
กู้อ้าวเวยเองก็นอนเบิกตากว้างอยู่บนเตียง “แค่เพราะเรื่องนี้หรือ?”
หลังจากนิ่งเงียบสักพัก กุ่ยเม่ยก็พยักหน้าอย่างจริงจัง ก่อนจะนั่งยองๆ อยู่ข้างเตียง “อีกอย่างซ่านต้วนเฟิงมีการเคลื่อนไหวที่ชายแดนแล้ว”
“รีบพูดเร็วเข้า” ฝ่ามือของกู้อ้าวเวยแนบบนแก้มของกุ่ยเม่ยพลางบีบเบาๆ
กุ่ยเม่ยเจ็บจนสูดลมหายใจติดตัด ดึงมือของกู้อ้าวเวยลงพลางเงยหน้าขึ้นมา “ซ่านต้วนเฟิงขอเข้าร่วมสงคราม ถูกซ่านเซิ่งหานขวางเอาไว้ แต่ระยะนี้ เขาใช้คนใต้บัญชาให้มุ่งหน้าไปเทียนเหยียน แต่กลับไม่มีใครไปถึงเทียนเหยียนเลย”
“เขาให้คนพวกนี้ไปทำอะไร”
“ลอบสังหารท่านอ๋อง” สีหน้าของกุ่ยเม่ยอึมครึมลง
กู้อ้าวเวยนวดขมับอย่างเวียนเกล้า “ซ่านต้วนเฟิงเป็นคนโง่หรือ”
“ท่านอ๋องออกจากเมืองเทียนเหยียนเพราะท่าน ที่น่าแปลกคือฮ่องเต้ไม่ได้ขัดขวางอะไรกับเรื่องนี้เลย” กุ่ยเม่ยยังคงคว้ามือของกู้อ้าวเวยไว้ตามเดิม มองดูความตื่นตระหนกและเป็นกังวลในดวงเนตรของนางสอดประสานเข้าด้วยกัน น้ำเสียงจึงอ่อนลงมาก “ท่านต้องการให้ท่านอ๋องอยู่เคียงข้าง เหตุใดจนป่านนี้ถึงไม่ยอมพูดความจริง”
“มีแต่การหลอกตัวเองเท่านั้น ข้าถึงจะไม่ได้รับการหักหลังเป็นครั้งที่สอง” กู้อ้าวเวยพลิกมือมากุมมือของกุ่ยเม่ยแทน “แม้จะไม่มีซูพ่านเอ๋อแล้ว ไม่มีทุกอย่างแล้ว เขาก็ยังเป็นซ่านจินจื๋อคนนั้นอยู่ดี”
“ถ้าหากเขารู้ว่าราคาที่ข้าจะให้กำเนิดเด็กคนนี้ก็คือชีวิตของข้า เจ้าคิดว่า…เขาจะทำอย่างไร”
กุ่ยเม่ยอ้าปากค้าง ท้ายที่สุดก็ไม่ได้คำตอบที่ครอบคลุมอยู่ดี
ด้ายเงินที่อยู่บนแขนเสื้อของกู้อ้าวเวยตกลงมาพร้อมกับข้อมือของนาง ดวงเนตรเปี่ยมด้วยความไม่เต็มใจ “ข้าเป็นหมอ ผลสัมฤทธิ์คือทุกอย่างสำหรับพวกเรา แม้จะเป็นตัวข้าเอง ข้าก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าข้าจะมีชีวิตต่อไป แต่มีเพียงแค่เด็กคนนี้ ที่ข้าต้องการ และก็เป็น เพียงอย่างเดียวที่จะเติมเต็มความหวังเล็กๆ ของชิงจือได้ ข้าไม่อาจยอมแพ้ได้หรอก”
“เช่นนั้นท่านอ๋อง…”
“เขาเคยตลบหลังข้าครั้งหนึ่ง ข้าจะตลบหลังเขาอีกครั้ง ในใจคงไม่มีความละอายแม่เพียงครึ่งเสี้ยวได้หรอก” กู้อ้าวเวยพับเก็บอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ ทำเพียงนั่งเงียบบนเตียงสักพัก สุดท้ายก็ตะกายขึ้นมา เปลี่ยนอาภรณ์ให้หนาขึ้น “ยังมีอีกวิธีที่สมบูรณ์แบบ”
“มันคืออะไร” กุ่ยเม่ยหยัดตัวลุกขึ้นเต็มแรง พลางเดินมาที่ข้างกายของกู้อ้าวเวย
“โกหกเขา ข้าจะไม่ตายอย่างแน่นอน” กู้อ้าวเวยรัดเสื้อคลุมให้เรียบร้อย “ข้าจะพูดกับเขาแบบนี้ ตอนนี้ข้าเองก็ไม่มีแก่ใจจะพักผ่อนแล้ว ข้าจะไปหาทหารชั้นยอดหนึ่งพันนายพวกนั้น ไม่อาจให้ซ่านจินจื๋อรู้เอาได้ว่าข้าหลบหน้าเขาเพราะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”
นางเดินออกนอกประตูไป บัญชาคนให้เตรียมรถม้า ตัดสินใจวกกลับไป
เดิมทีกุ่ยเม่ยควรตามไปด้วย แต่กู้อ้าวเวยสั่งเขาหยุดกะทันหัน “มีหนึ่งพันคนของเขาคอยคุ้มกัน ข้าไม่อาจเกิดเรื่องได้หรอก แต่ตอนนี้ เจ้าจะได้ครุ่นคิดสักหน่อยว่าต่อไปเจ้าจะทำอะไรได้บ้าง”
ในตอนนั้น บางทีนางอาจจะไม่อยู่แล้ว ไม่สามารถให้กุ่ยเม่ยตามผู้อื่นด้วยความระหกระเหินได้หรอก
ระยะห่างของทั้งสองไกลออกไป ผลลัพธ์ที่ต้องการเห็นคือกุ่ยเม่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง “ตกลง”
ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขารับปากคือเรื่องไหนกันแน่