บทที่ 645 ความจริงใจแบบเดิม ๆ
เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ มีการปรับปรุงมากมายภายในเมือง ทหารที่ประจำการอยู่ภายในเมืองจำนวนมากตั้งหน้าตั้งตารอคอยกู้อ้าวเวย
ไม้ที่แห้งตายอยู่เบื้องหน้าตอนนี้กิ่งก้านสาขาได้แผ่ขยายสดชื่น ดอกไม้บานสะพรั่งหรือใบไม้เขียวชอุ่ม
กู้อ้าวเวยนั่งอยู่คนเดียวที่ข้างหน้าต่าง นั่งเปิดดูเอกสารทางการทีละฉบับท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ ส่วนมากเป็นการร้องขอขอคนในเมือง หรือการขอคำแนะนำของบรรดาทหารหรือการเรียกของขอช่างฝีมือ
และตอนนี้จำนวนสาวใช้ข้างกายได้เพิ่มเป็นหกคน และคนรับใช้เด็ก ๆอีกแปดคน ช่วยกันกระจายข่าวทุกวัน
วันนี้องครักษ์ที่หน้าประตูวิ่งเข้ามาด้วยเหงื่อท่วม พูดว่า “เรื่องที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้ ช่างฝีมือเหล่านั้นได้ทำเสร็จไปกว่าเจ็ดแปดส่วนใกล้สำเร็จแล้ว ตอนนี้จึงอยากเรียนถามท่านว่าจะทำต่อไหม”
“ไปหากระเบื้องมาเพิ่มอีก ที่มีอยู่ตอนนี้ยังไม่เพียงพอ” กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว เทน้ำลงแก้วใบหนึ่งแล้วยื่นส่งให้เขา “เรื่องนี้ไม่รีบ พักผ่อนสักหน่อย ทานมื้อเที่ยงร่วมกันก่อนก็ยังไม่สาย”
องครักษ์อยู่ต่อด้วยความปีติยินดี ซ่านจินจื๋อที่เดินอยู่บนทางเดินตอนนี้ไม่มีเรื่องใดต้องทำ ดวงตาดูตกตะลึง แต่กลับไม่พร้อมจะเข้ามารบกวนกู้อ้าวเวย
หากพูดถึงอารมณ์ที่สำรวมของกู้อ้าวเวยก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลับไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ ไม่ต้องพูดถึงหากมีคนไปรบกวนการทำงานของนาง จะโดนตำหนิเช่นไร
แต่การที่นางเติมน้ำให้กับองครักษ์เล็ก ๆนั่น มันทำให้เขาอารมณ์เสียจริง ๆ
ยังไม่ทันถึงหนึ่งก้านธูป สาวใช้สองคนก็วิ่งเหยาะๆมาอย่างเร่งรีบ พูดทีละคน “มีรถบรรทุกนักโทษอยู่นอกประตูเมือง บุคคลนั้นอ้างว่าเป็นคนของแคว้นเจียงเยี่ยน ต้องการมาขอความช่วยเหลือ”
“รถขนนักโทษนะหรือมาขอความช่วยเหลือ ได้ถามชื่อแซ่มาไหม” กู้อ้าวเวยพูดโดยไม่ได้เงยหน้า ตั้งใจอ่านเรื่องของช่างฝีมือที่อยู่ในมือ
“คนผู้นั้นบอกว่า นางชื่ออ้ายจือ แต่ดูแล้วไม่แน่ใจว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ชื่อฟังดูแล้วคล้ายกับเป็นครอบครัวเดียวกันกับฮ่องเต้แคว้นเจียงเยี่ยนในปัจจุบัน เหล่าทหารจึงไม่กล้าผลีผลาม จึงมาขอคำแนะนำที่นี่” สาวใช้ทั้งสองต่างทำหน้าลำบากใจ
ณ จุดนี้ กู้อ้าวเวยเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย หันไปสบตาซ่านจินจื๋อ
ซ่านจินจื๋อเคยได้ร่วมงานกับอ้ายจือ แต่ตอนนี้กู้อ้าวเวยต้องการจะร่วมงานกับนาง
“จับนางใส่โซ่ตรวนแล้วพาเข้ามา อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องนี้” กู้อ้าวเวยลุกขึ้นอย่างสบายๆ มองไปยังสาวใช้ทั้งสองคน แล้วพูดต่อว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”
ทุกคนทำความเคารพแล้วจากออกไป ซ่านจินจื๋อที่อยู่บนทางเดินเล่นได้เดินเข้ามา ทั้งตัวแต่งกายเหมือนคนเมืองทั่วไป แต่เครื่องแต่งกายบนร่างก็ยังทำให้เขาดูสง่าและงดงาม กู้อ้าวเวยตกตะลึงเล็กน้อย และค่ำไปยังพื้นโต๊ะ ค่อยๆโน้มตัวไปเล็กน้อย แล้วมองไปที่เขา “จะว่าไปก่อนนี้เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับอ้ายจือ แต่ภายหลังกลับส่งคนไปดูถูกเหยียดหยามนาง”
“แล้วอย่างไรหรือ” ซ่านจินจื๋อไม่มีคำขอโทษสำหรับเรื่องนี้
“ข้าแค่กำลังคิดว่า เรื่องที่ข้าจะคุยกับนางวันนี้ เจ้าจะน่าเชื่อหรือไม่” กู้อ้าวเวยยกมุมปากขึ้น ยกมือขึ้นวางบนไหล่ของเขา “แต่ครั้งนี้ใช้รถขนนักโทษพานางเข้ามา ดูเหมือนว่าจะเป็นการแสดงความจริงใจจากท่านซู สถานการณ์ทางฝั่งของล่ายเสวียนคงจะดีขึ้นแล้ว”
“ไม่แน่ว่า อ้ายจือเป็นผู้หญิง ไม่มีสถานะใดเลยในแคว้นเจียงเยี่ยน เจ้าจะยืนยันได้อย่างไรว่าท่านซูชื่นชอบหลานสาวคนนี้จริง ๆ บางทีมันอาจเป็น้พียงความมั่นใจของเจ้าเอง” ซ่านจินจื๋องอตัวเล็กน้อย พิงกับขอบหน้าต่าง พูดด้วยเสียงต่ำ “อ้ายจือชำนาญเรื่องพิษ”
“อย่างนั้นก็มีประโยชน์” กู้อ้าวเวยระงับรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วผลักเขาออกไป นั่งลงใหม่อีกครั้ง “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าความรู้สึกระหว่างท่านซูและอ้ายจือก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร แต่เนื่องจากท่านซูเต็มใจช่วยนางจากมือของอ้ายหยิน มันก็แสดงให้เห็นชัดแล้วทุกอย่าง”
“เจ้าเห็นเรื่องแท้จริงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเจ้า” กู้อ้าวเวยมีสายตาที่ไม่แน่นอน ใจรู้สึกผิดขึ้นมาจึงประคองหยิบม้วนหนังสือในมือออกมา
ซ่านจินจื๋อไม่ได้พูดอะไร แต่หากคิดให้รอบคอบ สิ่งที่กู้อ้าวเวยทำอยู่ตอนนี้ หรือวิธีการที่ใช้ฝึกทหารอยู่ในตอนนี้ แม้แต่ในจดหมายที่เขียนถึงล่ายเสวียน ทั้งหมดนั้นไม่มีแม้เงาของซ่านจินจื๋อ
แต่เพียงประโยคสั้นๆจากกู้อ้าวเวย กลับทำให้ทหารประจำการต้องเสียเวลาถึงสองชั่วโมง
ไม่เพียงแต่สาวใช้และองครักษ์จะมีความรับผิดชอบเกินไป จับให้อ้ายจือแต่งกายด้วยชุดผู้หญิง หลังจากชำระล้างร่างกายก็ถูกพามาอีกครั้ง แต่งกายด้วยชุดสีขาวเรียบง่าย มือทั้งสองถูกล่ามโซ่ไว้ด้านหลัง ด้านหลังติดตามด้วยทหารสี่นาย กลายเป็นคนตัวเล็กไป
เมื่อได้เห็นซ่านจินจื๋อ อ้ายจือก็ยังคงมีความตกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ถูกคนข้างหลังผลักไปข้างหน้า
“เจ้าเสียเวลาไปมากแล้ว ไปเร็ว!” ทหารที่อยู่ด้านหลังคว้าตัวนางอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อนางกำลังจะถูกโยนลงพื้น กู้อ้าวเวยได้สั่งห้ามไว้อย่างรวดเร็ว มองไปยังพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าผู้นี้อย่างไรก็เป็นผู้หญิง ที่เหลือข้าจัดการเอง ล่ายเสวียนส่งจดหมายอะไรกลับมาหรือ”
“เมื่อกี้นี้ผู้หญิงคนนี้บอกว่า สามารถช่วยนายพลล่ายเสวียนโจมตีแคว้นเจียงเยี่ยนได้ แต่ต้องขอให้คนที่ชื่อท่านซูเป็นผู้บัญชาการด้วยตัวเอง จะต้องสนับสนุนเขาเป็นฮ่องเต้ในอนาคต มิเช่นนั้นจะไม่ยอมส่งทหารไปช่วย” พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทหารหลายคนล้วนมีสีหน้ามืดมน
อ้ายจือเดินซวนเซไปสองสามก้าว ผมยุ่งเล็กน้อยแล้วพิงกับกำแพง เหลือบมองไปยังกู้อ้าวเวยอย่างเกียจคร้าน “เรื่องนี้ข้าไม่สามารถจะตัดสินใจได้ เจ้าต้องตัดสินใจเอง”
พวกทหารต้องการจะจัดการสั่งสอนสตรีที่แสนจะหยิ่งผยองคนนี้
กู้อ้าวเวยจับข้อมือของเขา “หากเขามีความสามารถมากพอจะช่วยให้พวกเจ้าโจมตีใต้หล้าได้ แล้วเคารพเขาในฐานะอ๋องแล้วจะยังไง” ในอนาคตที่สถานการณ์เปลี่ยนไป เพียงแค่ใครที่สามารถนั่งลงได้ก็จะเป็นที่จดจำไปตลอด แต่กลับไม่ดูว่าเขามีความสามารถไหม เจ้ากังวลแบบนี้ เป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่เชื่อในความสามารถของล่ายเสวียนหรือ”
เหล่าทหารเงียบไปชั่วขณะ ทุกคนพูดถึงความไว้วางใจที่มีต่อล่ายเสวียน ความทุกข์ในใจก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
กู้อ้าวเวยเขียนจดหมาย ให้คนไปส่งให้กับล่ายเสวียน โปรดจำไว้ว่าแม้ว่าท่านซูจะถูกเคารพในฐานะฮ่องเต้ แต่ก็ยังคงต้องคอยรับช่วงต่อ จะไปหยุดยั้งไว้ไม่ได้ ต้องเหลือคนไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อปกป้องเมือง ไม่ใช่แค่ฆ่าอ้ายจือ แต่ล่ายเสวียนยังต้องหาพันธมิตรด้วย
“หากตอนนี้แสดงความอ่อนแอออกมา ในอนาคตกลัวว่าท่านซูจะปราบปรามล่ายเสวียนจนตาย” กู้อ้าวเวยพูดแบบนี้ และได้ไล่ทหารองครักษ์ทั้งหมดออกไป เหลือไว้เพียงอ้ายจือและซ่านจินจื๋อ
ยังไม่ได้ปลดโซ่ให้กับอ้ายจือ กู้อ้าวเวยหยิบขวดหยกสีเขียวออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วใส่ไว้ในอ้อมอกของอ้ายจือ “นี่คือตัวยาที่ทำมาจากเลือดมังกรและถุงน้ำดีหงส์ ขอเพียงแค่เจ้ามีลมหายใจ ก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
“นี่คือ….” อ้ายจือประหลาดใจ
“นี่คือค่าตอบแทนของข้า จะต้องช่วยข้าล้างพิษ” กู้อ้าวเวยเปิดคอเสื้อออกเล็กน้อย เพียงแค่ให้อ้ายจือมองอย่างรวดเร็ว แล้วพูดต่อไป “นอกจากนี้ หากว่าข้าและเจ้าแสดงออกมากเกินไปว่าใกล้ชิดกัน กลัวว่าท่านซูอาจจะคิดไม่ดีกับเจ้าและข้า โซ่นี้ข้าจะไปตีตรวนที่เท้าแทน เจ้าทน…”
เสียงพูดยังไม่ทันออกมา กลับได้ยินเสียงประตูที่ถูกทุบดังมาจากภายนอก ทหารที่เพิ่งจะหันหลังกลับไปเมื่อครู่วิ่งกลับมา “ทีมลาดตระเวนถูกโจมตี มีกำลังคนไม่เพียงพอ! ขอใต้เท้าช่วยด้วย”
ดูเหมือนว่าหากทหารหนึ่งพันนายออกไป ผู้คนด้านนอกก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้