บทที่ 651 เสียงฆ้อง
“เจ้าทำได้ไหม” กู้อ้าวเวยปล่อยเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากรูจมูก “ข้ายังมีชีวิตอยู่ดี”
“แม้ว่าจะอยู่ที่นี่ บัลลังก์ที่เมืองเทียนเหยียนข้าก็สามารถแย่งชิงมาได้ ตอนนั้นจะไม่มีใครยับยั้งข้า เจ้าน่าจะยังจำได้ว่านายทหารผู้ช่วยของข้าพวกนั้นล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วก็น่าจะจำได้ด้วยว่าข้ามีข้อตกลงบางอย่างกับฮองเฮา” ซ่านจินจื๋อชี้มือไปที่ข้างหนึ่ง คนที่สวมเสื้อผ้าชุดคนรับใช้เสี่ยวเอ้อในฝูงชนได้เดินเข้าไปหาฝูงชนแล้ว
ครั้งนี้กลายเป็นกู้อ้าวเวยที่ตกใจ
สติปัญญาในหัวกลับช่วยบรรเท่าความเจ็บปวดได้บ้างลมหายใจของนางก็มั่นคงขึ้นเช่นกัน มันเป็นเพียงความเจ็บปวดเล็กน้อยที่กระตุ้นให้นางคิดว่า “ข้าลืมลูกน้องนายทหารของเจ้าไปแล้ว ผ่านมานานแล้วเจ้าก็ยังไม่วางมือ ขุนนางที่ต่อต้านเมิ่งซู่ตอนนั้นเกือบทั้งหมดล้วนเป็นคนของเจ้าล่ะสิ”
“ไม่ใช่เกือบทั้งหมด แต่คือทั้งหมดเลย แม้จะมอบอำนาจทางทหารให้องค์ชายหกและหยวนเอ๋อ ข้าก็มีส่วนร่วมด้วย ใครเรียกให้เสด็จพี่ของข้าเชื่อใจข้าเช่นนี้เล่า” มือข้างหนึ่งของซ่านจินจื๋อรวบเขาไว้ หันหน้าไปมองชายชรารูปร่างผอมบางที่คนรับใช้เสี่ยวเอ้อคนนั้นนำออกมาจากฝูงชน จากนั้นก็พูดต่อว่า “แต่ข้าเชื่อครอบครัว แต่กลับไม่เชื่อกษัตริย์ ก็เลยทำได้เพียงเผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้”
“มิน่าเจ้าถึงกล้าไล่ตามข้ามาถึงนี่” กู้อ้าวเวยหัวเราะเย็นชาหนึ่งคำ “ตอนนั้นให้องค์ชายสี่ไปอินโจวก็ดี ช่วยองค์ชายหกก็ดี หรือแม้กระทั่งช่วยเขาซ่านเซิ่งหานแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท ความจริงแล้วเจ้าต่างเพียบพร้อมไปด้วยคนที่เหมาะสมในตำแหน่งต่างๆ ข้าเคยสงสัยมาก่อนว่าทำไมเจ้าไม่เพียงแต่ไม่ตรวจสอบสถานที่ที่เจ้าใช้ในการจัดกองทัพใหญ่ ในทางกลับกันยังเก็บรักษาเอาไว้ อย่างไรก็ตามตำบลเหยสุ่ยถูกโยนออกมา ความหมายก็คือจะผลักตำบลเหยสุ่ยออก และเจ้าจะนำทหารลับนี้ไปเผชิญหน้ากับการแย่งชิงรัชทายาทและกดดันวังหลวงใช่ไหม”
ซ่านจินจื๋อกลับไม่พูดอีก ได้แต่หัวเราะครึ่งๆ กลางๆ อย่างคนได้รับความไม่เป็นธรรม จูบไปเบาๆ ข้างหูของกู้อ้าวเวย “เรื่องพวกนี้ตอนนั้นแม้แต่คนที่ข้ารักที่สุดยังไม่รู้เลย เพราะข้ารู้ดีว่าบนโลกนี้คนที่น่าเชื่อถือมากที่สุดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นแหละ”
กู้อ้าวเวยไม่สงสัยในความสามารถใดๆ ของเขาอีก
อำนาจทางการทหารส่วนใหญ่และเกือบขึ้นของขุนนางอยู่ในมือของซ่านจินจื๋อ แม้แต่กองขององค์ชายหลายพระองค์ก็ยังถูกควบคุมโดยซ่านจินจื๋อ และก็ไม่น่าแปลกที่องค์ชายหกถูกลดระดับลงในตอนนี้ อีกทั้งยังฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง กลัวว่าจะกลายเป็นหุ่นเชิดของซ่านจินจื๋อ หากเขาจริงใจต่อองค์ชายสี่ด้วยใจจริง ตอนนั้นคนที่เป็นสายให้อินโจวก็กลับเป็นเขา
ยืมความไว้วางใจของฮ่องเต้ทำทุกอย่าง แต่ฮ่องเต้กลับสนใจเกี่ยวกับความไว้วางใจในความเป็นพี่น้องกัน หากในราชวงศ์ปกติ ราชวงศ์เช่นนี้น่าจะล่มสลายไปนานแล้ว
หลังจากหมอที่คนรับใช้เสี่ยวเอ้อผู้นั้นเรียกมาจับชีพจรให้กู้อ้าวเวย ก็ยักไหล่แล้วพูดว่า “ทารกในครรภ์ไม่มีอันตรายใดมาก แค่เป็นเพราะอารมณ์ของใต้เท้าขึ้นๆ ลงๆ ประกอบกับควันที่อบอ้าวไปหมด”
ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ครึ่งตัวมีอิทธิพลของอารมณ์ต่อคนรอบข้างไม่น้อยจริงๆ
ให้คนรับใช้เสี่ยวเอ้อคนก่อนโยนหมอผู้นี้กลับเข้าไปในฝูงชนใหม่อีกครั้ง ซ่านจินจื๋อกล่าวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมว่า “จะระเบิดกำแพงเมืองเมื่อไหร่”
“มันขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของทหารอ้ายหยินว่าเป็นอย่างไร” กู้อ้าวเวยจับเขาแน่น “เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ เจ้าแค่ใช้ความไว้วางใจของเสด็จพี่เจ้าที่มีต่อเจ้า”
“ตราบใดที่เขายังเชื่อใจข้า วันข้างหน้าตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะปกป้องเขาในทุกด้านเอง” ซ่านจินจื๋อรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำพูดของหมอเมื่อครู่นี้ แต่ตาของเขาตกลงบนไหล่ของนางโดยไม่รู้ตัว พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “กล่องในมือของข้าไม่ใช่ยาบำรุงครรภ์ เป็นยาถอนพิษ”
กู้อ้าวเวยแสดงรอยยิ้มที่น่าสังเวช “ทำไมเจ้าถึงรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของข้าได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังมักจะใช้คนอื่นมาข่มขู่ข้าอีก”
“ผู้หญิงเช่นเจ้า ผู้ชายที่ไร้ประโยชน์กลัวว่าจะได้แค่ถูกจูงจมูกเอา” ซ่านจินจื๋อคลายนางออกเล็กน้อย อีกทั้งยังเปลี่ยนผ้าคลุมที่สะอาดให้นาง
ป่าเขาที่อยู่นอกกำแพงเมืองถูกไฟไหม้ ควันและฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วเมืองพร้อมกับความร้อนที่แผดเผา
ซ่านจินจื๋อปกป้องกู้อ้าวเวยไว้ในอ้อมแขนของเขา รู้ว่าไฟป่าครั้งนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ และแม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการชิงบัลลังก์และอำนาจทางทหารได้ แต่ในสถานที่เช่นแคว้นเจียงเยี่ยน เขาไม่สามารถปกปิดท้องฟ้าด้วยมือเดียว
ในขณะที่สติของกู้อ้าวเวยค่อยๆ หลุดลอยไป คิดแต่เพียงว่าทำไมตัวเองถึงได้ดื้อดึงเช่นนี้ ในขณะที่นางคิดถึงความผิดพลาด กลับได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้น เสียงนี้ดังสนั่นเข้ามาในหู กู้อ้าวเวยรีบผลักซ่านจินจื๋อที่อยู่ตรงหน้าออกไป ค่อยๆ ยืนขึ้นและมองไปในที่ที่ไม่ไกลนัก
เสียงของเกือกม้าค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา สองพันคนไม่สามารถหยุดกองทัพแปดพันคนได้
“เสียงฆ้องดังเป็นสัญญาณ” กู้อ้าวเวยคล้องคอของซ่านจินจื๋อไว้แน่น “รอจนกว่าเสียงฆ้องดังครั้งที่สาม เจ้าก็พาข้าหนีไปเถอะ”
ซ่านจินจื๋อเต็มไปด้วยความโมโหและประคองนางนั่งลง มือข้างหนึ่งโอบไปที่ข้างเอวของนาง “รอจนกลับไป ข้าจะบอกเรื่องทุกอย่างให้ชิงจือรับรู้ ให้เขาสั่งสอนเจ้าสักรอบถึงจะดี”
“ถึงตอนนั้นค่อยพูดเถอะ” ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตถึงตอนนั้นหรือเปล่า
กู้อ้าวเวยพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง แต่กลับได้ยินเสียงกรีดร้องค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นสงบลง
เสียงฆ้องครั้งที่สองดังตามมา ทหารที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนจุดคบเพลิง ถูกล้อมรอบไปด้วยฝูงชนหายใจไม่ออก
ผู้คนที่อยู่เมืองทางด้านตะวันตกค่อยๆ ออกจากสนาม จำนวนผู้คนที่หลงเหลืออยู่ยังคงลดน้อยลง
ทหารที่ต่อสู้นอกเมืองไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาด อย่างไรก็ตามกองทัพของล่ายเสวียนได้สูญเสียเกราะป้องกันไป และก้าวถอยหลัง
ซ่านจินจื๋อก็ยังปกปิดใบหน้าของตนเองไว้ กอดกู้อ้าวเวยเอาไว้ในอ้อมกอดอดและถามนางว่า “เวลาไม่ถูกต้อง”
“โชคดีที่อ้ายหยินประเมินพวกเขาต่ำเกินไป” กู้อ้าวเวยก้มหน้าต่ำลง ครึ่งตัวเอนไปในอ้อมแขนของซ่านจินจื๋อ กำเสื้อผ้าของเขาแน่น แต่พบว่าชายคนนี้ยังคงสงบมากในเวลานี้ การขึ้นลงของหัวใจยังเป็นปกติ แขนทั้งสองข้างที่โอบนางไว้ไม่มีอาการสั่น แต่นางกลับสั่นไปทั้งตัว ฟันก็สั่นไปหมด “ข้าตื่นเต้นเล็กน้อย ร่างกายยังหวดอยู่นิดหน่อย”
“ตอนนี้กินยาถอนพิษไม่ได้หรือ” ซ่านจินจื๋อกระชับแขนของเขา มองไปที่สถานการณ์ในถนน
พวกทหารเหล่านั้นถอยหลับไปที่ด้านหน้าของซ่านจินจื๋อแล้ว และคนของทหารอ้ายหยินส่วนใหญ่เข้ามาในเมืองแล้ว นายพลที่เย่อหยิ่งทั้งสองคนขี่อยู่บนหลังม้า ขอให้ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าหมอบคลานไปที่พื้น
ทหารทั้งหมดเชื่อฟังคำสั่ง ถอยกลับไปที่ยุ้งฉางข้างโรงเรียน บางคนคุกเข่าอยู่กับพื้นแล้วตะโกนว่ายอมจำนน
“พวกเรายอมแพ้”
“ได้โปรดอย่าทำร้ายคนในครอบครัวของพวกเราเลย”
เสียงของทหารดังก้องไปทั่ว แต่กู้อ้าวเวยกลับพูดด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “กินยายิ่งปวด ข้ากลัวว่าจะไม่มีแรงสู้กลับ”
“ข้าจะปกป้องเจ้า” ซ่านจินจื๋อไม่เคยชินกับท่าทางเช่นนี้ของนางจริงๆ หยิบขวดยาออกมาอย่างยอมจำนน อมน้ำหนึ่งคำแล้วเอาผงยาถอนพิษเทลงไปในปากของกู้อ้าวเวย กลิ่นขมของยายังคงอยู่ในลำคอของซ่านจินจื๋อ กู้อ้าวเวยถูกบังคับให้กลืนยาถอนพิษนี้ลงไป ดวงตาสองข้างของนางแดงก่ำเพราะความเจ็บปวด แต่ยังคงจ้องไปที่ซ่านจินจื๋ออยู่ “ข้าบอกไปแล้วว่าข้าจะเจ็บปวดมากขึ้น……”
“ไหล่ให้เจ้ากัด” ซ่านจินจื๋อโอบกอดนางด้วยรอยยิ้ม มองเห็นอาวุธที่ซ่อนอยู่ด้านหลังยุ้งฉาง
กองทัพของอ้ายหยินเข้ามาในเมือง ประตูเมืองถูกปิดลง ฝุ่นควันทำให้ตาทุกคนพร่ามัว
เสียงฆ้องครั้งที่สามดังขึ้นมาจากฝูงชน ในมุมกำแพงที่มืดมิด พวกทหารยืมเอาจังหวะที่ฝูงชนห้อมล้อมไปข้างหน้า
เสียงฆ้องหยุดลง สายนำไฟถูกจุดขึ้น