บทที่ 701 คืนดีกันอีกครั้ง
ทารกแรกเกิดผิวพรรณเนียนนุ่ม ทั้งร่างกายยังไม่ดีเท่าทารกปกติเนื่องจากคลอดก่อนกำหนด
กู้อ้าวเวยค่อยๆ ชักมือกลับมาอย่างระมัดระวัง ทว่าเพิ่งจะสัมผัสนิ้วเล็กๆ ทั้งห้าที่ยังไม่สามารถกำนิ้วมือของนางเอาไว้ได้ หัวใจของนางก็กระตุกเกร็งอย่างดุดัน ความเจ็บปวดที่รุนแรงตามมาด้วยความร้อนระอุที่ไม่เคยมีมาก่อนแล่นแปลบเข้าสู่หัวใจของนาง
แม้ว่าความรักของแม่จะคอยหลอกหลอน ความเจ็บปวดบิดเกร็งร่าง นางกลับยังคงรักษาความมีเหตุผลเอาไว้ได้ ไม่โลภมากเกินไปและไม่ได้เอาแต่ใจมากนัก
ซ่านจินจื๋อมองดูนางสอดมือกลับเข้าไปใต้ผ้าห่มอีกครั้ง ดวงตาที่สับสนวุ่นวายมองไม่ออกว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ มีเพียงเรียวแขนทั้งสองที่แนบอยู่ด้วยกันเท่านั้นที่ยังสามารถส่งผ่านอุณหภูมิที่ออกจะร้อนลอดผ่านบางๆ เข้าไปได้ ยังสามารถมองเห็นมือบนร่างของกู้อ้าวเวยที่บิดพันกันยุ่งเหยิง
“เด็กยังเล็กเกินไป เอาเขากลับไปพักผ่อนให้เต็มที่เถิด” กู้อ้าวเวยไม่ได้ยินซ่านจินจื๋อปริปากเนิ่นนาน ตนจึงทำได้เพียงเอ่ยปากก่อน
บนตัวของนางยังมีพิษอยู่ ย่อมไม่สามารถให้ลูกดื่มน้ำนมของนางได้ กลับลดความเจ็บปวดของการให้นมลงไปได้บ้างหลายขนัด
แม่นมหัวเราะน้อยๆ ในปากยังคงฮัมเพลงที่ไม่รู้จักชื่อออกมาตลอดทางพลางอุ้มเด็กทารกตัวน้อยที่ยังไม่ทันลืมตาออกมา เด็กคนนี้เกิดมาก็ว่านอนสอนง่าย นอกจากเสียงร้องไห้ดังก้องไปทั่วฟ้าหลังจากแรกเกิดนั่นแล้ว ในยามปกติก็มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ไม่ก็เบ้ปากอย่างน้อยอกน้อยใจเท่านั้น แม่นมและหยุนหว่านต่างก็เข้ามาโอ๋พร้อมกันอย่างเอาใจใส่
ทว่าตราบใดที่อยู่ในห้องของกู้อ้าวเวย เด็กคนนี้ก็มักจะโหวกเหวกไม่ยอมหยุด
ดังนั้นจนถึงตอนนี้ กู้อ้าวเวยจึงกล้าจะสัมผัสเขาอย่างระแวดระวัง เพราะกลัวว่าจะปลุกเขาให้ตื่น และถึงตอนนั้นมันจะเกิดความวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เจ้าไม่อยากสัมผัสเขาให้มากหน่อย?” ซ่านจินจื๋อจับมือของนางมาวางไว้ในฝ่ามืออุ่นร้อนของตน
“ข้าอยากจะเจอเขาให้เร็วกว่านี้ต่างหาก” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นหมายจะสัมผัสดวงตาที่เริ่มคัน กลับถูกซ่านจินจื๋อคว้ามือเอาไว้ “ทายาแล้ว อย่าแตะมัน”
“ท่านเป็นหมอหรือว่าข้าเป็นหมอกันแน่”
“เจ้าเป็นหมอ” ซ่านจินจื๋อพูดอย่างใจเย็นกลับทำให้หัวใจของกู้อ้าวเวยยิ่งหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ
นางยังไม่ได้ตรวจสอบเจตนาที่แท้จริงของซ่านจินจื๋ออย่างละเอียด และยังไม่ทันตรวจสอบภูมิหลังของเขาให้ชัดเจนเลย ตอนนี้ยังไม่ทราบที่อยู่แน่ชัดของเมี่ยวหาร ซูพ่านเอ๋อยิ่งอยู่ห่างจากเทียนเหยียนซึ่งยากจะตรวจสอบเข้าไปใหญ่ ในใจของนางจึงมีเสี้ยนหนามตอนี้อยู่ตลอดไป ทั้งช่วงนี้ร่างกายก็เจ็บปวดและเหนื่อยล้า แต่ขยับไม่ได้เลย วันๆ ในสมองคิดซ้ายคำนึงขวา กลับกันต้องกำจัดคนข้างกายมากขึ้นทุกที
ดูเหมือนว่าคนรอบตัวนางจะมีเล่ห์เหลี่ยมกันทั้งนั้น ทำเอาตัวนางเองชักจะเริ่มรังเกียจตัวเองเล็กน้อย
ซ่านจินจื๋อสังเกตเห็นมานานแล้วว่าช่วงไม่กี่วันมานี้นางมีเวลาที่จิตใจระส่ำระสายมากขึ้น และรู้ด้วยว่าจางเหยียงซานเคยกล่าวไว้ว่าผู้หญิงที่คลอดบุตรนั้นมีความอ่อนไหวละเอียดอ่อนกว่าปกติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกู้อ้าวเวยคนที่ยามปกติก็มักจะระมัดระวังป้องกันตัวแต่เดิมอยู่แล้ว สถานการณ์เช่นนี้รังแต่จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเท่านั้น
“หากเจ้าไม่ชอบให้ข้าอยู่เคียงข้าง ข้าก็จะ…”
“เช่นนั้นข้าจะให้กุ่ยเม่ยมานอนเป็นเพื่อนข้า ข้ายังไม่เคยนอนอยู่ในอ้อมกอดเขาเลยนะ” กู้อ้าวเวยแค่นเสียงเย็น มือข้างหนึ่งถูกซ่านจินจื๋อคว้าเอาแน่นหนาตามที่คาดเอาไว้ ทำเพียงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ท่านก็นอนเป็นเพื่อนข้าสักพักสิ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังไม่เชื่อข้าอยู่อีก?” ซ่านจินจื๋อสบโอกาสย้อนถาม
“มันเป็นสองเรื่องที่ต่างกันมาก” กู้อ้าวเวยแค่นเสียงเย็นหนึ่งที ลูบปลายจมูกอย่างระแวดระวัง ก่อนปริปากเอ่ยต่อไป “ตอนนี้ตาข้ามองไม่เห็น ท่านให้จางเหยียงซานเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้าเถอะ”
“ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้ายังไม่พออีกหรือ?”
“ไม่มีที่สิ้นสุด!” กู้อ้าวเวยแผดเสียงสูงขึ้น กำปั้นหนึ่งกระแทกเข้าที่หัวไหล่ของซ่านจินจื๋ออย่างไม่มีเรี่ยวแรงอะไรเลย “ข้าต้องฟังเขาอ่านใบสั่งยา พูดถึงใบสั่งยา ท่านสามารถยืนอยู่ด้านข้างพร้อมจุดเทียนไว้บนหัวหรือไม่ ต่อให้เป็นเช่นนี้ข้าก็มองไม่เห็นอยู่ดี”
ซ่านจินจื๋อที่ถูกตีไปทีหนึ่งเห็นเป็นเพียงถูกแมวข่วนเท่านั้น ครั้งนี้เขาพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เชิงเทียนตั้งไว้นิ่งกว่าข้าเสียอีก อีกอย่างไม่แน่ว่าเจ้าจะมองเห็นแสงสว่างได้เมื่อไร”
“ท่านหุบปากน่า” กู้อ้าวเวยนวดขมับที่เริ่มปวดตุบๆ “ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย ท่านไม่ต้องพูดถ้อยคำยึดติดเหล่านี้อยู่ข้างกายข้าทุกวันๆ ก็ได้ ก่อนหน้านี้ข้างกายท่านไม่มีใครก็ไม่ใช่ว่ายังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายหรอกหรือ?”
“ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เจ้าคลอดลูกให้ข้า” ซ่านจินจื๋อโน้มตัวเข้ามาใกล้ก่อนจุมพิตลงบนหน้าผากของนางหนึ่งที
“ประโยคนี้ข้าได้ยินจนเลี่ยนหมดแล้ว ท่านพูดอยู่ข้างหูจวนจะรอบที่ร้อยได้แล้ว! เป็นเด็กที่ข้าคลอด คนที่สภาพจิตใจเปลี่ยนไปไม่ใช่ข้าหรือ ทำไมตอนนี้ท่านถึงเอาแต่พูดถ้อยคำที่ขนลุกขนพองแบบนี้กับข้าทุกวันเลย” กู้อ้าวเวยรู้สึกปวดหัวมากขึ้นทุกที มักรู้สึกว่าคนรอบตัวได้กำจัดท่าทางเย็นชาและหยิ่งยโสก่อนหน้านี้ไปแต่ต้นแล้ว ตอนนี้ยิ่งเหมือนหมาตัวโตที่เกาะคนแจตัวหนึ่ง ตอนนี้หากไม่ใช่คำบอกรักอย่างช่างจำนรรจา ก็ต้องควานมือควานเท้าให้ตัวเองพูดคุยกับเขาอยู่ดี
แต่กลับไม่ยอมพูดประเด็นสำคัญ!
กลับเป็นเรื่องยากที่ซ่านจินจื๋อจะได้เห็นนางในท่าทีเขินอายจนพาลหงุดหงิดเช่นนี้ ตอนนี้ได้เห็นเพิ่มขึ้นหลายแวบก็ไม่เลวเลยทีเดียว
อีกทั้งเขาพบว่า หากจะเผชิญหน้าสบประสานกับกู้อ้าวเวย ก็จะมองเห็นแววลำพองผุดขึ้นที่มุมหางตาของนาง แต่ถ้าหากพูดจาบอกความในใจด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เบื้องหน้าก็จะเหลือเพียงเด็กผู้หญิงที่ถูกยุแหย่จนรู้สึกอายคนหนึ่งเท่านั้น บางครั้งก็ทำได้เพียงถูกเขาพูดจนหน้าแดงซ่านและโกรธขึ้งบึ้งตึงเท่านั้น
เมื่อคิดเช่นนี้ ซ่านจินจื๋อก็ทำเพียงโอบตัวนางเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง “รอเจ้าฟื้นตัวแล้ว พวกเราจะกลับชางหลานด้วยกัน ดีหรือไม่?”
“ท่านไปออกศึกของท่าน ข้าไปหาชิงจือของข้า ถ้าหากเป็นการวางแผนเช่นนี้ข้าก็จะไป” กู้อ้าวเวยเชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อย ปัดมือของซ่านจินจื๋อที่วางอยู่บนหลังของนางออก
“ตาเจ้ามองไม่เห็น ข้าไม่อาจปล่อยเจ้าไว้คนเดียวได้”
“ข้าไม่ได้แขนขาดขาขาด อีกอย่างข้าจะพาผิงชวนไปกับข้าด้วย” กู้อ้าวเวยชูแขนทั้งสองข้างของตนขึ้น
“ทำไม? เจ้ายังคิดจะตอนกอดผิงชวนตอนกลางคืนอีกหรืออย่างไร?” คิ้วของซ่านจินจื๋อเลิกขึ้น ก่อนยัดตัวนางกลับเข้าไปในผ้าห่มตามเดิมอีกครั้ง “ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับการเตรียมการของข้า”
กู้อ้าวเวยรีบปรับท่าอย่างคล่องแคล่ว พลางมองไปที่เขา “เหตุใดไม่ว่าอะไรท่านก็เอาแต่คิดว่าข้าจะนอนกับผู้ชาย ข้าเป็นผู้หญิงสุกเอาเผากินแบบนี้หรือ?”
“ก็ไม่รู้ว่าตอนแรกเป็นใครกันที่กระตือรือร้นขนาดนั้น…” ประโยคของซ่านจินจื๋อยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกมือของกู้อ้าวเวยขัดลำคอเอาไว้เสียก่อน
ทันใดนั้นในห้องพลันเงียบขึ้น หงเซียวที่ยืนอยู่ข้างประตูในมือยังถือเอกสารที่ส่งมาในวันนี้อยู่เลย ได้ยินเพียงเสียงผ้าถูกันรอยออกมาจากด้านใน ตามด้วยเสียงเอาอกเอาใจแผ่วเบาของท่านอ๋อง เขาลังเลอยู่หลายหน ยังคงหันเหทิศทาง ตัดสินใจว่าจะไม่รบกวนเป็นการชั่วคราว
ระหว่างทางก็ได้บังเอิญพบกับจื่อเหมิงที่หมายจะมาส่งอาหาร ทำเพียงกล่าวว่า “ท่านอ๋องกับพระชายาหลับแล้ว”
“เช่นนั้นก็ปลุกให้ตื่นมาทานข้าว” จื่อเหมิงยกกล่องข้าวในมือขึ้น กลับเหลือบเห็นเอกสารในมือของหงเซียวเข้า “นี่ท่านอ๋องถูกพระองค์หญิงทำให้หลงหัวปักหัวปำ แม้แต่เอกสารราชการก็ไม่ยอมอ่านแล้วหรือ?”
หงเซียวหน้าดำคร่ำเครียด “ข้าไม่กล้าเคาะประตูเข้าไปเอง”
“ไปด้วยกัน?” จื่อเหมิงตบบ่าของเขาหนึ่งที หงเซียวทำได้เพียงต้องเดินตามเข้าไป
เมื่อเทียบกับผู้ใต้บัญชาอย่างหงเซียวแล้ว จื่อเหมิงที่คุ้นชินกับการมุทะลุในทิงเฟิงเก๋อเรื่อยมากลับผลักเปิดบานประตูออกอย่างอล่างฉ่าง ปราดมองคนสองคนที่ป่ายปีนขึ้นไปอยู่บนเตียงเพียงแวบหนึ่ง ก่อนเตรียมอาหารด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “พระชายาไม่เหมาะกับการเคลื่อนไหวที่รุนแรง…”
“เจ้าพูดอะไรกัน!” กู้อ้าวเวยรีบร้อนหยัดตัวขึ้นมาครึ่งกายเพื่อตัดบทของจื่อเหมิง
จื่อเหมิงหลบหมอนที่ลอยมาอย่างระวัง ซ่านจินจื๋อจับกู้อ้าวเวยไว้ด้วยมือเดียว ก่อนมองทางหงเซียว “เป็นข่าวที่ส่งมาจากที่ไหน?”
หงเซียวลอบมองมือของซ่านจินจื๋อที่วางอยู่บนที่ที่ไม่ควรวางแวบหนึ่ง ทำเพียงกระแอมในลำคอ “เป็นข่าวที่ส่งมาจากชายแดน ซ่านต้วนเฟิงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เรียกระดมพลทหารสองหมื่นนายที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน อีกทั้งในคนของพวกเราดูเหมือนจะมีไส้ศึกอยู่ด้วย