บุบผาร้อยเสน่ห์ – ตอนที่ 707

ตอนที่ 707

บทที่ 707 ศึกภายนอกและภายใน

พู่กันหมึกกระดาษจานฝน ศิลาจารึกม้วนตำราโบราณ ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์สำหรับฉีหรัว

หินโมราที่มาจากแคว้นอื่นถูกสลักเป็นปลาคาร์พเสมือนมีชีวิตจริง อันที่หนึ่งถึงอันที่แปดล้วนมีรูปลักษณ์แตกต่างกัน

กิจการของฉีหรัวกระจายไปทั่วทุกแห่ง จุดที่เกิดสงครามแผ่ขยายในปัจจุบันล้วนหลงเหลือร่องรอยของนาง นางไม่สนใจว่าสงครามจะเป็นอย่างไร ทั้งไม่สนใจคนเป็นคนตายเหล่านั้นด้วย แต่สนใจว่างานฝีมือที่ยากจะถ่ายทอดเหล่านั้นมีราคาอย่างไร ด้วยเหตุนี้นางจึงซื้อช่างฝีมือเหล่านั้นเอาไว้เพื่อให้มาปฏิบัติภารกิจให้นาง และในห้องหนังสือของนางก็จัดวางสมบัติหายากจำนวนมากมายอยู่ในนั้นด้วย

ทว่าในเวลานี้นางกลัวทำเพียงมองไปยังปลาคาร์พหินโมราไม่กี่ตัวนี้ด้วยท่าทางเหม่อลอย

ตอนที่ฉีหลินและหยินเชี่ยวนำสมุดบัญชีเข้ามา เห็นนกพิราบส่งสารตัวหนึ่งถาปีกบินมาจากนอกหน้าต่างพอดี แต่ฉีหรัวนั้นกลับปั้นหน้าเคร่งขรึม “นางจะกลับมาจัดการธุระที่ชางหลานพร้อมกับซ่านจินจื๋อ ไม่ได้สนใจร่างกายของตัวเองเลยแม้เพียงครึ่งเสี้ยว”

เพียงแค่ได้ยินประโยคนี้ ฉีหลินและหยินเชี่ยวต่างเข้าใจขึ้นมาทันใด

“แต่ถ้าหากอ๋องจิ้งกลับมาได้ละก็ ความกดดันของอ๋องจงผิงก็คงจะลดน้อยลงมากทีเดียว” ฉีหลินวางสมุดบัญชีลง โดยไม่สนใจไยดีสมบัติภายในห้องนี้เลย ทำเพียงกล่าวย้ำ “ก่อนหน้านี้เดิมทีข้าคิดว่าใต้เท้าเมิ่งจะยืนอยู่ข้างอ๋องจงผิง กลับคิดไม่ถึงเลยว่าครึ่งเดือนก่อนหน้านี้องค์ชายสามเพิ่งจะกลับมา เขาก็หันหัวเรือ และคิดจะติดตามทำภารกิจกับองค์ชายสามเสียได้”

“ข้อนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว เมิ่งซู่เป็นขุนนาง สิ่งที่ต้องการคงไม่พ้นให้แว่นแคว้นประชาชนสงบสุข เทียบกับการติดตามท่านอ๋องที่ยากจะทำการใหญ่ได้อย่างอ๋องจงผิง สำหรับเขาแล้วไม่ได้มีประโยชน์ตรงไหนเลยสักนิด” ฉีหรัวกลับไปยังเบื้องหน้าโต๊ะ มองไปทางหยินเชี่ยวปราดหนึ่งด้วยความกังวล คราวนี้จึงกล่าวต่อไป “ถึงแม้นางจะคลอดบุตรอย่างปลอดภัย ทว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับสูญเสียการมองเห็น เวลานี้กลับมาชางหลาน กลัวแต่ว่าคงต้องได้รับการดูแลจากพวกเราอยู่ที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรวันเวลาเหล่านี้ก็ต้องให้อ๋องจงผิงมาแวะเวียนเยี่ยมเยียนที่เรือน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่ปฏิบัติต่อตระกูลฉี ไม่เช่นนั้นข้ายังกลัวเหลือเกินว่าจะมีคนยื่นมือเข้ามาแทรกที่นี่”

หยินเชี่ยวนิ่งงันไปน้อยๆ จากนั้นจึงทำเพียงนั่งลงด้านข้างด้วยท่าทางทอดอาลัยเล็กน้อย

ฉีหรัวบีบมือของนางเพื่อแสดงความปลอบโยน เรียวปากกลับเอ่ยว่า “อีกประเดี๋ยวหลังจากอ๋องจงผิงออกจากท้องพระโรงก็จะเข้ามา ดูเหมือนจะเอ่ยถึงว่าฮ่องเต้จะส่งกองทัพไปปราบปรามชายแดน”

กองกำลังทหารส่วนตัวของอ๋องจิ้งยังขับเคี่ยวกับสิบสามเมืองชายแดนอยู่ในขณะนี้ ภายในระยะเวลาสามเดือนนี้ฮ่องเต้ได้ออกราชโองการหลายครั้ง สองฝ่ายล้วนไม่เคยรามือ จนกว่าตำราพิชัยสงครามของพลทหารจะถูกส่งไป ทว่าซ่านต้วนเฟิงถูกขังอยู่ที่ชายแดนยากจะติดต่อ อ๋องจิ้งยังลากชื่อของเอ่อตานมาใช้ฝึกฝน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำราพิชัยสงครามเลย แม้กระทั่งทั้งสองคนยังยากจะพบหน้ากัน

อดกลั้นมาสามเดือน สำหรับองค์จักรพรรดินั้นก็เป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ขุนนางราชสำนักต่างอดรนทนไม่ไหวอยากจะทำให้ซ่านต้วนเฟิงและซ่านจินจื๋อกลายเป็นกบฏและทรราช ทว่ามีเพียงองค์ชายหกและการสนับสนุนส่วนหนึ่งเท่านั้น ทว่าองค์ชายสามและอ๋องจงผิงกลับพูดไกล่เกลี่ยเพื่อพวกเขา องค์หญิงเอ่อตานกลับส่งข่าวออกมาว่าป่วยหนักใกล้สิ้นแล้ว ศึกภายนอกและภายในแทบจะไม่หยุดหย่อนในเวลานี้

แต่ว่า…

“ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในราชสำนัก เทียบกับสิ่งนี้แล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ตระกูลฉีของพวกเราซื้อแร่สองชนิดเอาไว้โดยอาศัยการค้ำประกันของราชวงศ์ เรื่องนี้จะต้องส่งคนไปดูให้ดี อีกอย่างตอนนี้นางเป็นองค์หญิงเอ่อตาน ถึงเวลานั้นมาถึงจวนพวกเราแล้วก็ไม่อาจเพิกเฉยได้ ยิ่งไม่สามารถให้คนสังเกตความผิดปกติของนาง คัดสรรคนที่ไว้วางใจได้สักสามสี่คนมาคอยดูแล แล้วค่อยเรียกเจิ้งฉิงคุนกลับมาอีกที ช่วงเวลานี้เขานำบรรดาพี่น้องปฏิบัติการได้ไม่เลวเลย ไม่ต้องคอยวิ่งเต้นทั่วสารทิศ กลับมาคอยฟังคำบัญชาการของนาง แล้วส่งข่าวคราวออกไปดีกว่า” ฉีหรัวบัญชาเช่นนี้ บนกระดาษจดหมายกลับเขียนถ้อยคำเหล่านี้ลงไปอย่างแจกแจงรายละเอียด เตรียมจะส่งไปให้ถึงมือของกู้อ้าวเวย

ฉีหลินรู้งาน หลินเชี่ยวก็พลอยติดตามข้างกายของฉีหรัวอย่างว่าง่าย “ข้าพอจะทำอะไรได้บ้าง?”

“ถ้าหากทำได้ รอเมื่อนางมาถึง เจ้าก็ดูแลนางเป็นอย่างดี นางย่อมจะให้เจ้าไปทำธุระบางอย่างให้อยู่แล้ว” ฉีหรัวปฏิบัติต่อน้องชายน้องสาวคนนี้อย่างรักใคร่เอ็นดูยิ่งนัก รู้ว่าแม้หยินเชี่ยวจะยังเด็ก แต่พอปฏิบัติภารกิจก็ไม่เคยมีช่องโหว่ ทั้งยังใส่ใจกู้อ้าวเวย หยินเชี่ยวย่อมไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ แม้เพียงครึ่งเสี้ยวอยู่แล้ว

……

ในเวลาเดียวกัน หลังจากกู้อ้าวเวยได้พบกันคนที่สัญจรมาผู้นั้นก็ไม่ได้กลับไปยังร้านพักแขกเลย

แต่เลือกจะออกเดินทางข้ามคืนแทน ฉีหรัวเขียนเรื่องราวของชางหลานได้อย่างละเอียดยิบย่อย เขียนอย่างแน่นขนัดอัดแน่นเต็มกระดาษสองแผ่นแล้วบรรจุเอาไว้ ซ่านจินจื๋ออ่านให้กู้อ้าวเวยฟัง คราวนี้จึงปริปาก “คิดไม่ถึงว่าซ่านเซิ่งหานจะยังพูดออกหน้าแทนข้าอยู่”

“ท่านกับซ่านเซิ่งหานล้วนเป็นยอดฝีมือแห่งการแสดง ถ้าหากต้องการข้าจริงๆ การใช้ยาให้ถูกโรคนี่ไม่เลวเลยทีเดียว ข้าชื่นชอบชายหนุ่มที่ใจกว้างอารี” กู้อ้าวเวยพิงอยู่ด้านข้าง ท่าทางเคลิ้มหลับ

ปลายนิ้วของซ่านจินจื๋อกำแน่น” ก็แค่ในยามปกติองค์ชายมีไหวพริบมากอุบาย ถ้าหากวันนี้สามารถช่วยเสด็จพี่คลี่คลายเรื่องปัญหาความวุ่นวายภานในชายแดนได้ จะต้องเป็นคุณความดีมหันต์ กลับคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาเขาไม่ได้เอ่ยปราศรัยให้มากความ”

คราวนี้กู้อ้าวเวยจึงนวดวนดวงตา สองมือกอดอก “ถ้าหากเป็นข้า ก็คงไม่สนใจความวุ่นวายภายในนี้หรอก อย่างไรเสียตอนแรกสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงเห็นความสำคัญมากที่สุดก็คือความอดทนอดกลั้นและความรักในเครือญาติ การเลือกเช่นนี้ กลัวแต่จะทำให้พี่ใหญ่ของท่านยิ่งโปรดปรานลูกชายคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม”

“เขาสามารถมองทะลุความตั้งใจของเสด็จพี่ได้” ซ่านจินจื๋อแค่นหัวเราะเย็นชาหนึ่งที สายตาเย็นเยียบโปรยตกลงไปที่ร่างของกู้อ้าวเวย “พูดมาเช่นนี้ ตอนนั้นเจ้าเองก็วางแผนออกอุบายเพื่อเขาไปไม่น้อยเลย”

ลูบปลายจมูกด้วยความรู้สึกละอายใจ กู้อ้าวเวยได้แต่จนปัญญา “ถึงข้าจะช่วยเขามากมาย แต่เรื่องพวกนี้ท่านเองก็รู้ดีอยู่แล้วแท้ๆ ตอนนี้กลับยังมอบใจให้ข้า ดังนั้นข้ายิ่งสงสัยว่าท่านเป็นผู้ที่สนองความแค้นด้วยคุณธรรม มิใช่หรือ?”

“ชิงจือจะตำหนิผู้หญิงที่ไม่รู้จักบุญคุณอย่างเจ้าแทนข้าเอง” ซ่านจินจื๋อปั้นหน้าเย็นชาพลางพับกระดาษจดหมายในมือเป็นอย่างดี

“ชิงจือจะช่วยข้าสั่งสอนผู้ชายที่เหยียบเรือสองแคมอย่างท่านต่างหากจึงจะถูก” กู้อ้าวเวยก็พลอยแค่นเสียงเย็นอย่างไม่พอใจตามไปด้วย

การวิวาทในรถม้าต่อจากนี้ก็เป็นการเคยจนชินตาไปแล้ว

หงเซียวและผิงชวนได้รู้จากการส่งจดหมายในวันนี้ว่าทั้งสองคนต่างไม่ได้ดีต่อกัน แม้ว่าคิดจะส่งข่าวคราวกลับไม่ได้มีความคิดที่จะแบ่งปันแหล่งที่มาต่อกัน กลับทำให้ผู้ใต้บัญชาสองคนอย่างพวกเขาต่างขนลุกขนชันไปทั่วสรรพางค์กาย

รอจนกระทั่งตอนเย็นมาถึงเชิงเขาแล้ว คนที่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเป็นคนแรกกลับเป็นกู้อ้าวเวยที่ดวงตาสองข้างสูญเสียการมองเห็น

“ที่นี่มีปัญหา” กู้อ้าวเวยกล่าวเช่นนี้เมื่อถูกซ่านจินจื๋ออุ้มลงมาจากรถม้า

“ทำไม?” ผิงชวนยัดสัมภาระกลับเข้าไปในรถม้าอีกครั้ง

“มีกลิ่นอายมนุษย์” ปลายจมูกของกู้อ้าวเวยขยับน้อยๆ โอบลำคอของซ่านจินจื๋อแล้วก็ออกแรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามมา “ดูสิว่ารอบบริเวณมีร่องรอยของคนจรผ่านบ้างหรือไม่”

ซ่านจินจื๋ออุ้มตัวนางให้มั่น กวาดสำรวจรอบบริเวณ “ไม่มีร่องรอยเลยแม้แต่น้อย”

“เช่นนั้นก็ไปเถิด ที่นี่ไม่ปลอดภัย” กู้อ้าวเวยโอบรัดลำคอของซ่านจินจื๋อไว้แน่น ส่วนขาอีกข้างหนึ่งยังคงเตะอีกสองที “เมื่อครู่เพราะอะไรพวกท่านถึงได้หยุดอยู่ที่นี่?”

“เพราะว่าทางเบื้องหน้าเดินทางไม่สะดวก การเร่งเดินทางตอนกลางคืนโดยไม่มีผู้นำทางจะเป็นอันตรายได้” ซ่านจินจื๋ออธิบายอย่างอดทน หลังจากที่เอ่ยจบกลับเข้าใจขึ้นมา อุ้มตัวนางขึ้นบนรถม้าอีกครั้ง “เจ้าเดาว่าเป็นคนของซ่านต้วนเฟิงหรือคนของซ่านเซิ่งหาน?”

”นี่เป็นคำถามที่ท่านต้องคาดเดา ข้าไม่แสดงความคิดเห็น” กู้อ้าวเวยกลับไปนั่งในรถม้า รับฟังซ่านจินจื๋อสั่งให้คนวกกลับไปที่เมืองเมื่อครู่อีกครั้ง หัวใจดวงนี้กลับยังคงเต้นระส่ำ เจือความเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย

กู้อ้าวเวยยังคงนั่งอยู่ในรถม้าด้วยสีหน้าไร้แวว และไม่ได้แจ้งรายละเอียดให้ทราบถึงความไม่สบายของร่างกาย

แต่นางไม่ได้เชื่อซ่านจินจื๋อจริงๆ อย่างไรเสียกลิ่นที่นางสัมผัสได้นั้นมาจากเฟิงฉีนและเฟิงเยว่ เนื่องจากการซักล้างในทุกๆ วัน บวกกับเสื้อคลุมสีดำเหล่านั้นด้านล่างจะคัดสรรวัสดุที่ยืดหยุ่นและแข็งแรงเพื่อป้องกันคมดาบได้ส่วนหนึ่ง วัสดุเช่นนี้เปื้อนกลิ่นเลือดและกลิ่นเถ้าได้ง่ายยิ่งนัก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องซักล้างอย่างสม่ำเสมอ

และกลิ่นสบู่ตาลโตนดเหล่านั้นช่างแสนคุ้นเคยเหลือเกิน

แต่กู้อ้าวเวยกลับไม่รู้ว่าคนของซ่านเซิ่งหานมาพาตนกลับไป หรือว่าจะปกป้องตนกันแน่ จึงไม่เปิดเผยทั้งอย่างนี้

ทว่าท่าทางครุ่นคิดของนางกลับถูกซ่านจินจื๋อมองเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด

บุบผาร้อยเสน่ห์

บุบผาร้อยเสน่ห์

Status: Ongoing

ฟิ้ววว นางข้ามพภแล้ว!!!แพทย์โดดเด่นทันสมัยกู้อ้าวเวยข้ามภพกลายเป็นลูกสาวคนโตของเฉิงเสี้ยง อยากฆ่าข้าหรือ?มีดผ่าตัดของข้าสามารถทำให้เจ้าพิการทั้งตัวเลยนะ เปิดร้านยา ช่วยชาวบ้าน ถึงจะเป็นฮ่องเต้ก็อยากมาคบหาข้า นี่ท่านอ๋องชายเลว เจ้ากำลังแกล้งข้าอยู่รึ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท