บทที่ 713 เป้าหมายของเมี่ยวหาร
คิดว่ากู้อ้าวเวยแสร้งวางท่า อยากจะให้องค์ชายเชื่อใจ
แต่พออ๋องจิ้งสั่งคนมาตามสี่ห้าครั้ง กู้อ้าวเวยอย่าว่าแต่ออกมาให้เห็นหน้าเลย ขนาดฝากบอกยังไม่อยากเลย ปล่อยให้พวกข้ารับใช้สวมเสื้อผ้าหรูหราให้นางตามสบาย นานเข้าก็มักจะอุ้มเจ้าแมวไปนั่งมุมห้องหนังสือ คิดแผนการให้องค์ชาย
“ขอแค่สิ่งที่เจ้าเพื่อประชาชนทุกเล่าเป็นพอแล้ว เมิ่งซู่ให้เจ้าใช้สอยได้เลย ไม่ต้องกังวลไป” กู้อ้าวเวยพูดแบบนี้ สายตาเย็นชาสองคู่กลับมองพวกขุนนาง และพูดเสียงทุ้มต่ำว่า: “ใต้เท้าทุกท่านตำแหน่งเทียบเมิ่งซู่ไม่ได้ จึงไม่มีโอกาสได้พูดต่อหน้าฮ่องเต้ ตอนนี้ใยมาร้องทุกข์ที่องค์ชายสามเล่า? แม้จะลากเมิ่งซู่ลงม้าได้ ด้วยสายตาของพวกเจ้าก็คงไม่ได้รับความสนใจหรอก ต่อไปคงจะถูกคนอื่นเอาเปรียบเป็นแน่ ไม่คุ้มจริงๆ”
ใต้เท้าที่เหลือต่างหน้าซีดกันเป็นแทบ ซ่านเซิ่งห่านพูดต่อว่า: “ใต้เท้าทั้งหลายอย่าได้สนใจ เวยเอ๋อไม่ได้มีเจตนาพูดดังนี้ แม้พวกท่านจะไม่พอใจกับเมิ่งซู่ ตอนนี้กลับไม่ใช่เวลาที่จะทำอะไรเขาได้”
เป็นเช่นนี้แล้ว ทั้งสองพูดกันโดยเข้าใจกันสองคน ช่วงนี้ช่วยจัดการได้หลายเรื่องเลย
เยว่กับเฟิงฉีนผู้หญิงทั้งสองคงคิดว่ากู้อ้าวเวยยอมแพ้จริงๆแล้ว
และวันนี้ผู้หญิงที่ควรอุ้มแมวและเดินเล่นกับเยว่ แต่กลับโยนเจ้าแมวออกไปในตอนที่ขุนนางพวกนั้นจากไป และเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของซ่านเซิ่งหาน สองมือพยุงขอบโต๊ะไว้ และพูดเสียงต่ำว่า: “ซ่านเซิ่งหาน ข้าไม่อยากจัดการแก้ไขเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ให้เจ้าแล้ว”
พูดเรื่องประเทศให้เป็นเรื่องเล็กได้ คงมีแต่กู้อ้าวเวยแล้วกระมัง
พอถูกเรียกชื่อ ซ่านเซิ่งหานแค่เงยหน้ามองนางและพูดว่า: “งั้นเจ้าคิดว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องใหญ่?”
“หาเวลาที่ซ่านจินจื๋อเข้าวัง เจ้าก็พาข้าเข้าวังไปด้วยสิ” กู้อ้าวเวยพูดแบบนี้ และยิ้มมุมปากพูดว่า: “ในเมื่อเจ้าจริงใจกับข้าจริง ข้าจัดการแก้ไขเรื่องให้เจ้าแล้วไม่น้อย หาโอกาสดีไปขอพระราชโองการแต่งงานมาเป็นยังไง?”
คำพูดเร็วและเบา มีความหยอกเล่นหน่อยๆ
เยว่กลับอยากจะเดินขึ้นไปจับนางโยนออกไปจริงๆ แต่กลับถูกเฟิงฉีนจับมือไว้แน่น และมองนางด้วยสายตาที่เย็นชา
ซ่านเซิ่งหานอึ้งนิดๆ แต่ต่อมาก็ยิ้มกว้างและพูดว่า: “ข้าไม่เข้าใจเจ้าหมายความอย่างไร”
“พอขอแต่งงานแล้ว พวกข้าก็ถูกมัดไว้บนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว” กู้อ้าวเวยยื่นนิ้วมือลูบไล้ไปที่มือของซ่านเซิ่งหาน: “เจ้าช่วยข้าให้เป็นอมตะ ข้าทำให้เจ้าได้มีตำแหน่งราชา พอถึงวันนั้น ก็ให้ข้าเป็นราชาของแคว้นชางหลาน เป็นยังไง?”
นิ้วมือลูบไล้ไปที่ผ้าชั้นดี ในที่สุดก็ไปหยุดที่คอซ่านเซิ่งหานและลูบไล้อยู่อย่างนั้นช้าๆ
สายตาที่ควรจะเย็นชาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสน่หา ซ่านเซิ่งหานสายตาเปร่งประกายวาววาบ มือข้างหนึ่งโอบเอวนางเข้ามา และพูดเสียงต่ำว่า: “ข้าจะไม่ไปขอพระราชโองการ เจ้าแค่อยู่ข้างข้าก็พอแล้ว สิ่งที่เจ้าอยากได้ข้าจะประเคนมาให้เจ้าทั้งหมด”
กู้อ้าวเวยหรี่ตาลงเล็กน้อย และผละออกมา สีหน้าบนใบหน้าทั้งหมดก็กลับมาเหมือนเดิม
“เจ้าเป็นแบบนี้ข้าว่าหมดสนุกกันพอดี ถ้าเจ้าหวังให้ข้าภักดีต่อเจ้า ทางที่ดีฝึกจากซ่านจินจื๋อที่เข้มงวดหน่อย ไม่งั้นต่อไปคงจะถูกข้าจูงจมูกเดินกระมัง” พูดมาแบบนี้แล้ว นางโค้งตัวลงเล็กน้อย ปากก็เลียนแบบแมว รอแมวน่ารักกระโดดเข้ามาที่อ้อมกอดนาง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาช้าๆ: “แต่ว่าซ่านจินจื๋อกองทหารเขามีปัญหา ตอนนี้แม้เจ้าจะรับตำแหน่งราชา ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่”
พอคำพูดพลิกแล้ว ซ่านเซิ่งหานก็แค่พยักหน้าเบาๆ: “มีปัญหาทั้งภายนอกและภายใน รอเสด็จพ่อจัดการเรื่องพวกนี้ให้เสร็จทั้งหมดก่อนค่อยว่ากันดีกว่า ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุกคือร่างกายของเจ้า”
หน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ซ่านเซิ่งหานยกมือขึ้นให้เยว่พาคนออกไป
กู้อ้าวเวยได้ยินเสียงคนออกไป ก็อุ้มแมวน้อยนั่งลงอีกครั้ง แต่ต่อมาก็ได้ยินเสียงเท้าเดินวุ่นวาย ต่อมาก็มีเสียงดังขึ้น และเสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้น นางตกใจอุ้มเจ้าแมวไว้แน่น
เยว่เดินเข้าไปตรงหน้าอุดปากผู้หญิงคนนั้นไว้ และพูดเสียงเคร่งขรึมว่า: “ซูพ่านเอ๋อและเมี่ยวหารมาแล้วเจ้าค่ะ”
กู้อ้าวเวยลูบไล้แมวโดยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลง และนึกถึงคำพูดของซ่านเซิ่งหาน
ซางนิงไม่ได้หักหลัง แต่ไปหาที่อยู่ของเมี่ยวหารมา
พอแบบนี้แล้ว คนที่ซางนิงแสร้งหักหลังก็คือซ่านเซิ่งหาน
ซ่านจินจื๋อไม่ได้พูดเรื่องตัวเองเลย และนางกลับหัวเราะเบาๆในลำคอ: “ถ้าเมี่ยวหารอยู่ละก็ ซางนิงจะพ่ายต่อเจ้าหรือไม่?”
“เจ้ารู้เหรอ?” ซ่านเซิ่งหานไม่เข้าใจ
“ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้ว งานของซางนิงก็คือค้นหาเมี่ยวหาร ตอนนี้ก็พึ่งพิงเจ้า เป็นแค่แผนลวงของซ่านจินจื๋อ ตอนนี้ซ่านเซิ่งหานยังไม่เห็นเรื่องน่าสงสัย แต่เจ้าก็สามารถส่งของขวัญเจอหน้ากันครั้งแรกให้เขาได้แล้ว” กู้อ้าวเวยห้าวอย่างขี้เกียจและพูดว่า: “จับตัวซางนิงไปคืนซ่านจินจื๋อ เขาก็จะได้รู้ว่าข้ายืนด้านไหนกันแน่”
ซ่านเซิ่งหานทำหน้าเคร่งขรึมสังเกตดูสีหน้าของกู้อ้าวเวย ไม่คิดว่านางจะโกหก แต่เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับซางนิงมาก ตอนนัน้ที่เก็บตัวซางนิงไว้ แค่เพียงเพราะบ้านเขาถูกสังหารทั้งหมด มีเหตุผลที่จะแก้แค้นเสด็จพ่อและเสด็จอา
และซูพ่านเอ๋อที่นั่งบนพื้นก็ถูกเยว่กดลงที่พื้นอย่างแรง เมี่ยวหารกลับยังคงมีสีหน้าที่เย็นชาไม่สะทกสะท้านอะไรเลย: “องค์ชายสามเชื่อผู้หญิงที่เคยมีลูกให้กับอ๋องจิ้งงั้นเหรอ?”
“ไม่งั้นจะเชื่อเจ้าที่ผิดศัลธรรมรักน้องสาวตัวเองงั้นเหรอ?” กู้อ้าวเวยวางเจ้าแมวลง ลุกขึ้นมาช้าๆ เสียงเคร่งขรึมเดินไปถึงหน้าเที่ยวหาร และไม่รู้ว่าซูพ่านเอ๋ออยู่ตรงไหน นางกลับพูดอย่างหยิ่งยโสว่า: “ซ่านเซิ่งหานให้เจ้าอยู่ต่อ แค่หวังให้เจ้าถอนพิษให้ข้า ซูพ่านเอ๋อเป็นแค่ตัวประกัน”
“แต่เหมือนกัน เจ้าทำให้ซูพ่านเอ๋อท้องไม่ได้อีก และปิดบังเรื่องที่เจ้าเป็นพี่ชายคนละพ่อกับนาง ตอนนั้นเจ้าก็คือคนที่ให้น้องสาวตัวเองไปฆ่าคนอื่น จากนั้นคิดว่าเป็นเช่นนี้แล้ว ซูพ่านเอ๋อก็เป็นคนที่เหมือนกันเจ้า เจ้าก็จะได้เข้าตำหนักอ๋องจิ้งอย่างไม่รู้สึกผิดอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะข้าได้ใจของซ่านเซิ่งหาน รากของถุงน้ำดีหงส์เจ้าเตรียมจะให้ซ่านเซิ่งหานกินงั้นเหรอ” กู้อ้าวเวยพูดทีละคำอย่างไม่เร่งรีบ
ซูพ่านเอ๋อที่นั่งบนพื้นก็มองไปด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ และเมี่ยวหารกลับกัดฟันแน่น ยังไม่ทันลุกขึ้นมา แผ่นหลังก็ถูกเหยียบลงไปอีกครั้งอย่างแรง เฟิงฉีนยืนอยู่หลังเขา แต่กลับก้มหน้าลงไม่มองหน้ากู้อ้าวเวย
“ทำไมเจ้าถึง……”
“ไม่เพียงเท่านี้นะ ก่อนหน้านี้ข้ายังสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงสนใจซูพ่านเอ๋อนัก และทำไมถึงอดทนให้นางอยู่ในตำหนักอ๋องจิ้งได้ ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวข้ายังมียารักษาที่รักษาโรคของซูพ่านเอ๋อได้” กู้อ้าวเวยพูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจหนัก ขณะที่ลืมตาขึ้นมา สายตาคู่นั้นก็เหลือแต่สีดำขลับ: “ถ้าจะว่ากู้เฉิงคนที่เป็นที่หนึ่งของความโลภด้านอมตะ เจ้าก็คือคนที่สองที่รู้ความลับของตระกูลหยูน และเจ้าก็มีวิชาแพทย์ที่ใช้ได้ ต้องมีอาจารย์สอนเจ้ามาดีแน่ และสิบปีก่อน ตระกูลหยูนก็มีสองคนที่ออกจากตระกูลไปและไม่กลับมาอีก คิดว่าในนั้นคงจะมีอาจารย์เจ้าด้วย เขาเป็นคนพูดถึงเรื่องอมตะ เจ้าถึงได้หวั่นไหว ใช้อำนาจเงินของอ๋องจิ้งในการหาซื้อยา หลอกใช้อาการป่วยของซูพ่านเอ๋อมาเป็นข้ออ้างที่จะขอสูตรลับนั้น……”
ทุกคนต่างยังไม่ได้สติ กู้อ้าวเวยกลับคลี่ยิ้มบางและโค้งตัวลง นิ้วมือจิ้มไปที่ตรงกลางคิ้วของเมี่ยวหาร และหัวเราะเสียงเบาพร้อมตัวที่สั่นเบาๆ: “น่าสงสารยิ่งนัก ของที่เจ้าอยากได้มาทั้งชีวิต กลับถูกข้าที่เคยเห็นเจ้าไม่กี่ครั้งมองออกจนทะลุปรุโปร่ง โง่เสียจริง”