บทที่ 729 ไม่ทราบโดยบังเอิญ
เมืองเล็กข้างด่านลั่วสุ่ย
กู้อ้าวเวยนอนหลับจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงลมหนาวพัดมาจากหน้าต่าง
เมื่อเทียบกับด่านลั่วสุ่ยก่อนหน้านี้ สถานที่แห่งนี้ได้อยู่ในกฎอัยการศึกของพวกเขาแล้ว ด่านที่ซ่านจินจื๋อให้สร้างขึ้นมาตอนนั้นกลายเป็นอุปสรรคที่ยากจะทำลาย แต่ก็เป็นเพราะอุปสรรคนี้ยังไม่ถูกสร้างขึ้นให้สมบูรณ์ อีกทั้งร่องน้ำที่ถูกบังคับให้ระเบิดออก แม้แต่หมู่บ้านและบ้าเรือนจำนวนมากที่อยู่ท้ายน้ำก็ได้รับความเสียหาย แม้ว่าลมหนาวจะรุนแรงขึ้น
กู้อ้าวเวยรู้สึกไม่สบายตัว ลงจากรถม้าโดยมีเฟิงฉีนและเยว่คอยช่วยเหลือ
ตอนนี้ตื่นมาอย่างเอ้อระเหย ดวงตาของนางสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆได้ไม่น้อย รวมทั้งซูพ่านเอ๋อที่ถูกมัดไว้อย่างด้านหลัง นางถูกบังคับให้หดตัวอยู่ในมุม เยว่ยืนขึ้นและเดินไปที่นาง “กู้เฉิงมาแล้ว อีกไม่กี่วันเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปพบเขา”
“ซ่านเซิ่งหานล่ะ” กู้อ้าวเวยดึงสายตาของนางกลับ ยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เจ็บปวดอยู่ตั้งแต่ต้น
“พวกเจ้าหน้าที่แถวนี้ต้องการจะปกปิด และมีบางอย่างที่ผิดปกติในเมืองเทียนเหยียน” เยว่พูดไม่รู้จบ กู้อ้าวเวยทำได้เพียงรอไม่ให้เหมือนกับที่กู้อ้าวเวยพูด
นางไม่มีกำลังมากพอที่จะจัดการกับเรื่องของเมืองเทียนเหยียนในขณะนี้
หากว่าซ่านจินจื๋อเข้าใจความหมายของนาง ว่าตนเองมีความชอบธรรมที่จะจัดการเรื่องนี้
“ก่อนหน้านั้น เจ้ากับเฟิงฉีนพาเที่ยวหารและซูพ่านเอ๋อมาทีละคน มาไปด่านลั่วสุ่ยร่วมกับข้า” กู้อ้าวเวยพลิกตัวลุกลงจากเตียง ยกมือขึ้นค้ำยันเตียงแล้วลุกขึ้นยืน ขาทั้งสองข้างยังไม่สามารถควบคุมได้ เยว่ที่อยู่ด้านข้างจึงรีบไปประคองนางอีกแรง “พิษนี้ที่อยู่บนร่างกายเจ้า…..”
“มันได้ลึกเข้าไปในโพรงกระดูกแล้ว คืนนี้ต้องเตรียมวัตถุดิบยา ข้าจะอาบยาสมุนไพร” กู้อ้าวเวยค่อย ๆ ผลักมือของนางออกไป ดวงตามองนิ่งอยู่ไม่ไกล “หากเจ้าช่วยข้าในทุกที่ ไม่รู้จะบังคับขาทั้งสองข้างนี้ได้อย่างไร”
นางขยับขาทั้งสอง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ลุกขึ้นและออกไป เดินอย่างมั่นคง
เมื่อเทียบกับความอ่อนแอ นางเก่งกว่าตรงที่ทำทุกอย่างที่ต้องรับผิดชอบได้ดี
ยากที่จะหยุด แม้จะไม่มีวิธีเปลี่ยนคำสั่งของนางได้ มีป้ายคาดเอวของซ่านเซิ่งหาน พวกเขาสามารถเดินทางได้อย่างอิสระที่ด่านลั่วสุ่ย และกู้อ้าวเวยสั่งให้คนนำน้ำมันก๊าดและกระบอกจุดไฟ จัดกลุ่มยี่สิบคนมุ่งหน้าไปด่านลั่วสุ่ย
เนื่องจากสถานการณ์ของแคว้นชางหลานไม่ชัดเจน ทหารที่นี่ได้หยุดสร้างทางผ่านไปแล้ว แต่พวกเขากลับตั้งแถวและตัดสินใจที่จะปกป้องสถานที่นี้ สองวันต่อมาซ่านเซิ่งหานก็ได้เข้ามาเปลี่ยนกับทหารในสถานที่นี้
กลางคืนที่มืดมนในด่านลั่วสุ่ย นึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยเต็มไปด้วยภาพลวงตา ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกลัว
“ข้ารู้สึกเหมือนว่าจะได้กลิ่นอะไรแปลก ๆ” ซูพ่านเอ๋อปิดจมูกของตัวเองอย่างสะอิดสะเอียน
ทุกคนล้วนแต่ได้กลิ่นแปลก ๆ แต่กู้อ้าวเวยกลับเพียงแต่เลิกคิ้วขึ้น ดูไม่มีปัญหากับกลิ่นที่แปลกนั้น จึงทำให้ยิ่งรู้ว่าพวกเขากับตนเองมีความแตกต่างกัน
พิษหลิงตัง เป็นยาพิษที่หัวหน้าของพวกเขาตระกูลหยุนหรือไม่ ในตอนแรกเป็นการทดลอง แต่ตอนนี้จะเป็นจริงแล้วหรือไม่
เลือดของนางมีการเปลี่ยนไปเล็กน้อย และในเวลานี้ยิ่งใกล้ชิดกับความเป็นจริงของความเป็นอมตะ เลือดเนื้อของตระกูลหยุนต่างเผยให้เห็นอย่างเต็มที่ หากให้คนรู้เข้า ก็ไม่อาจจะเลี่ยงได้ที่เยว่และเฟิงฉีนจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับซ่านเซิ่งหาน ซ่านเซิ่งหานก็อาจจะนำเรื่องนี้ไปรายงานให้กับกู้เฉิงได้ร็หรือไม่
ไม่ควรรู้เรื่องอะไรทั้งหมด นางได้แต่เดินตามเยว่ออกไปยังหน้าผา
ในกรณีนี้ เยว่มัดมือทั้งสองข้างด้วยเชือก แต่กลับพบว่าแหวนเงินที่อยู่บนข้อมือของกู้อ้าวเวยเปลี่ยนเป็นเชือกสีแดงเส้นหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีไม้แกะสลักที่ดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไรอยู่ด้วย ตกตะลึงเล็กน้อย “สร้อยข้อมือของเจ้าอยู่ไหน”
มันเกิดเสียงดังได้ง่าย” กู้อ้าวเวยเผยเชือกสีแดงให้เยว่เห็นอย่างใจเย็น
ผูกเชือกไว้เรียบร้อย กู้อ้าวเวยแทบจะไม่สามารถบอกทิศทางได้เลยในความมืด เพียงแค่ให้คนมาหาหลุมลึกใกล้ๆ และเทน้ำมันก๊าดลงไปอีกครั้ง
สองชั่วโมงต่อมา ไฟล่างหลุมนั้นก็สว่างไสวไปเกือบครึ่งป่า
เถาวัลย์ใต้นั้นได้เติบโตมาแล้วกว่าร้อยปี ในขณะเดียวกันไอพิษร้ายก็ได้แทรกซึมเข้าไปในราก จากนั้นสั่งให้ผู้คนนำผ้าที่แช่เอาไว้ในส่วนผสม และนางกลับได้กลิ่นแปลกๆเข้ามาในจมูก รู้สึกว่าเยว่ที่อยู่ด้านข้างได้ดึงนางเบาๆ “องค์หญิง เจ้า…..”
“ข้าถูกวางยาพิษ ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรตอนโดนพิษ” พูดแบบนี้ ถุงกระดาษที่อยู่ในแขนเสื้อของกู้อ้าวเวยตกลงไปในหลุมลึกโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ด้วยเปลวไฟที่ลุกโชน ทหารจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังต่างก็คิดว่าไฟอันแรงนี้คงจะดับยากแม้จะเป็นวันพรุ่งนี้
กู้อ้าวเวยอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
ตอนแรกนางและซ่านจินจื๋อถูกขังไว้ที่ด้านล่างของหน้าผา มีทางเข้าเล็ก ๆ เส้นหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่เข้าไปยังหลุมลึกได้ แต่ตอนนี้แม่น้ำที่เคยไหลกลับไม่ไหล มีก่อนหินอยู่ตรงทางเข้า หรือว่า…ตอนนั้นจะเป็นประตูที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจ
ไม่มีใครล่วงรู้ กู้อ้าวเวยได้กลิ่นเปลวไฟที่เปลี่ยนแปลงไป และนางก็ได้ยกมือขึ้นกอดอก เดินเซไปด้านหลังหนึ่งก้าว
“องค์หญิง! เฟิงฉีนตะโกนเรียกเสียงดัง เยว่รีบดึงตัวคนตรงหน้ากลับมา วางลงบนพื้น ให้เมี่ยวหารตรวจสอบชีพจรของนาง เมี่ยวหารได้แต่นิ่งอยู่สักพัก เงียบไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้น
และกู้อ้าวเวยที่อยู่ในมุมมืดแสดงรอยยิ้มแปลกๆ มือข้างหนึ่งยังจับข้อมือของเมี่ยวหาร พูดกระซิบ “เจ้าบอกมาสิ เกิดอะไรขึ้นกับข้า….”
“เจ้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อีก” ฝ่ามือของเมี่ยวหารเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่เมื่อที่เย็นของกู้อ้าวเวยกลับกดลงไปบนข้อมือเข้าอย่างแรงตั้งแต่ต้น “แต่ข้ายังมีชีวิตอยู่”
ชีวิตไม่ใช่การเดิมพัน แต่กู้อ้าวเวยก็เป็นนักเดิมพันมาโดยตลอด
ความเจ็บปวดในใจไม่ได้หายไปแม้เพียงครึ่ง กู้อ้าวเวยคว้าแขนของเมี่ยวหารที่เต็มไปด้วยเหงื่อและค่อยๆลุกขึ้นนั่ง แสงไฟส่องผ่านไหล่ของเมี่ยวหาร ทำให้ใบหน้าของนางดูสดใสขึ้น ทั้งเยว่และเฟิงฉีนไม่เข้าใจความหมายของเมี่ยวหาร แต่กู้อ้าวเวยเพียงแค่หัวเราะเยาะขึ้นมา “รอจนกว่าไฟจะดับหมด แล้ววางเชือกลง พวกเราทุกคนต้องวางลง”
“เมื่อกี้นี้เมี่ยวหารหมายความว่าอย่างไร” เฟิงฉีนคุกเข่าลงข้างกู้อ้าวเวย
“ความหมายแท้จริงบนหน้า” กู้อ้าวเวยส่งสายตาทั้งคู่ที่เย็นชามา เส้นเลือดสีเข้มบนหน้าผากของนางปรากฏเห็นได้ชัด และไม่ได้มีเพียงเส้นสีดำที่แขนอันเรียวเท่านั้น แม้แต่เส้นเลือดและเส้นเลือดดำที่อยู่ข้างใต้ก็สามารถเห็นได้ชัดเจน ซูพ่านเอ๋อร้องเล่นรีบวิ่งถอยหลังไปและได้ล้มลงนั่งกับพื้น เยว่ก็ก้าวถอยอย่างระวัง
เฟิงฉีนเบิกตากว้าง “ท่าน….”
“ข้าทำของข้าเอง” กู้อ้าวเวยกัดริมฝีปากของนางแน่น พูดเสียงต่ำ “พาข้าไปอาบตัวยาก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
เฟิงฉีนต้องดึงคนขึ้นมา เมี่ยวหารลุกตามขึ้นมาอย่างช้า ๆ แสงสว่างในดวงตาสว่างมากที่มีกู้อ้าวเวยอยู่ที่นี่ วิธีการเป็นอมตะนี้ก็อาจจะเป็นไปได้!
อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นกลับไม่ได้สังเกตว่ากู้อ้าวเวย ซึ่งกำลังอยู่บนบ่าของเฟิงฉีนกำลังแสดงรอยยิ้มอย่างโล่งใจ
ภาพลวงตาของด่านลั่วสุ่ย มีถ้ำใต้เถาวัลย์ และมีกลิ่นที่มีเพียงนางเท่านั้นที่ได้กลิ่น
เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และนางก็ได้กำเอาเสื้อผ้าตรงหน้าอกไว้แน่น พิษหลิงตังยังไม่เคยทำให้ร่าเริง แทบจะรอไม่ได้ที่จะนำบาดแผลในใจของนางออกมาฉีกได้ ดวงตาเหมือนดั่งมีหมอกในความคิด
ด้านลั่วสุ่ยเป็นสถานที่ที่มีความสุขของนาง เป็นที่ที่นางเหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่!