บทที่ 724 ตั้งใจเร่งเร้า
“พวกเราเหลือเวลาอีกเพียงสองวันแล้ว”
เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบเรียบง่ายและสวมใส่ง่าย แล้วกู้อ้าวเวยก็พูดเช่นนี้ในระหว่างรับประทานอาหาร
หลายวันมานี้ซ่านเซิ่งหานไม่ได้ทำอะไรเกินไปกว่าการติดตามไทเฮาอยู่ข้างหลัง และเยว่ที่กำลังรับใช้นางอยู่ก็เริ่มวิตกกังวลมากขึ้น มองดูโอกาสที่หายวับไป ซ่านเซิ่งหานกลับยังคงไม่แยแส
“ไทเฮาปฏิบัติกับท่านอย่างดีมากมาโดยตลอด”
“แม้ว่าเจ้าและซ่านจินจื๋อจะพยายามหลอกลวงข้า แต่ข้ากลับรู้ว่าราชโองการที่น่าเหลือทนของฮ่องเต้ที่อยู่ใต้วิหารเฟิ่งหมิงของข้า ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากฝีมือของไทเฮา” กู้อ้าวเวยบีบหมั่นโถวแล้วเอาเข้าปาก พูดอย่างเยือกเย็น “ตอนที่ข้าเข้ามาในวังนางปฏิบัติต่อข้าดีมาก ข้าเองก็ตื้นตันใจ แต่ตอนนี้ข้าไม่รู้ใบหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว ข้ากลับมีแต่ความแค้น”
สรุปก็คือ แม้ว่าซ่านเซิ่งหานจะเป็นผู้ลงมือ นางก็ไม่อาจจะบ่นอะไรได้
นางไม่เพียงแต่จะมองเห็นการหลอกลวงของซ่านจินจื๋อ แต่ก็มองไม่เห็นความซื่อสัตย์ของซ่านเซิ่งหาน
“เวลาไม่รีรอ หากเจ้าออกไปจากที่นี่ในตอนนี้ อาจจะมีโอกาสที่จะพลิกฟื้นตัวได้ในอนาคต ตอนนี้เมืองเทียนเหยียนก็มีเพียงองค์ชายหกคอยรักษาไว้ อ๋องจงผิงก็มุ่งหน้าไปชายแดน เขาจะยืนอยู่ข้างใคร เจ้าไม่รู้หรือ” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้าน กินหมั่นโถวและผักดองไปอย่างเพลิดเพลิน
ซ่านเซิ่งหานถูกพูดแทงใจดำอย่างแทบหายใจไม่ออก
แม้แต่องค์ชายหกก็ยังได้รับการสนับสนุนจากซ่านจินจื๋อ แต่เขาเองกลับไม่มีใครคอยสนับสนุนเลย
ก่อนหน้านี้ตอนที่ออกจากเมืองเทียนเหยียน ก็เพียงแต่รวบรวมชื่อเสียง จากนั้นก็ให้ซ่านต้วนเฟิงเป็นแพะรับบาป ถือเป็นการรับผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุน แต่ตอนนี้สิ่งที่ซ่านจินจื๋อต้องรับมือไม่ใช่ซ่านต้วนเฟิง แต่เป็นหลักฐานที่เขาสมรู้ร่วมคิดกันกับกู้เฉิงมามากกว่าสิบปี ไม่น่าเสียดายที่คนส่วนหนึ่งของซ่านต้วนเฟิงตาย แต่ซ่านเซิ่งหานไม่สามารถจะแบกรับความผิดเหล่านี้ได้ ท้ายที่สุดเมื่อเทียบกับอำนาจทางการทหารแล้ว เขายิ่งจำเป็นต้องได้ใจคนและการสนับสนุนจากเสด็จพ่อ
นอกจากเขาจะทำสิ่งที่เป็นคุณูปการยิ่งใหญ่ได้ เช่นการระงับความชั่วร้ายของความเป็นอมตะ
แต่เสด็จพ่อในเมืองเทียนเหยียนอาการยังไม่ดีขึ้น ยังไม่รู้ตัวคนที่ลงมือในวังหลัง หากเสด็จพ่อต้องสวรรคต แล้วเขาจะรีบกลับไปได้อย่างไรอีก
เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็ไม่สามารถบอกเหตุผลได้ว่าเขามาเพราะอะไร
แต่มือที่เย็นของกู้อ้าวเวยแตะอยู่บนไหล่ของเขา “หากเจ้าต้องการเป็นฮ่องเต้ในอนาคต สิ่งแรกเลยคือการปกป้องคนของเจ้า ทางที่ไปชายแดนนี้ แม้ว่าจะไม่ได้อะไรเลย แต่เพียงแค่ราษฎรอยู่อย่างสันติ พวกหนอนบ่อนไส้ก็จะถูกทำลาย เจ้าก็ยิ่งไม่รู้สึกละอายใจในการตรวจสอบตนเอง”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดอะไรอยู่” ซ่านเซิ่งหานยิ้มเบาๆ
“เพราะข้าก็อยากรู้เช่นกัน ทำไมเจ้าถึงยืนกรานที่จะรวมกำลังกับซ่านจินจื๋อทำทำการต่อต้านข้าศึก บางทีเจ้าอาจจะทำอะไรผิดไปจึงจำเป็นต้องชดเชย หรืออาจจะเป็นเพราะเจ้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้” กู้อ้าวเวยเชื่อว่าซ่านเซิ่งหานจะเป็นอย่างข้อหลัง ท้ายที่สุดซ่านเซิ่งหานก็ทำหลายสิ่งที่องค์ชายไม่ควรไปแตะต้อง เรื่องเหล่านี้แม้แต่ซ๋านจินจื๋อก็รู้ดี
คิดไม่ถึงว่ากู้อ้าวเวยจะเชื่อใจตนเองมากถึงเพียงนี้ ซ่านเซิ่งหานรู้สึกผิดอยู่บ้าง อีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างทำให้รู้สึกมีพลังและกระตือรือร้น ได้แต่กลั้นความสั่นไหวในใจ พูดด้วยเสียงต่ำ “แม้ว่าข้าจะได้ราชลัญจกรหยกมา ถึงเวลานั้นข้าก็ยังไม่สามารถจะทำให้เสด็จพ่อสละราชสมบัติได้”
“เมื่อเจ้าได้กลายเป็นกษัตริย์ของแคว้นหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เจ้าจะทำไม่ได้” กู้อ้าวเวยบีบปลายนิ้วของนางแน่น บีบไปที่ไหล่ของเขา พบว่าเขาเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์มานาน ความคิดในใจก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อไป “เนื่องจากเจ้าต้องการจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี ตอนนี้เป็นเพียงการเสียสละเพียงเล็กน้อย เจ้าก็ไม่เต็มใจงั้นหรือ”
“ไทเฮาเป็นญาติที่สนิทที่สุดของข้า”
“ในอนาคตราษฎรในแคว้นชางหลานก็จะเป็นญาติสนิทของเจ้าด้วย แม้ว่าความเมตตากรุณาจะเป็นการดี แต่ฮ่องเต้ต้องไร้ความรู้สึก นอกจากเจ้าเต็มใจที่จะยกดินแดนไป” กู้อ้าวเวยถอนมือออกมาในที่สุด หลังจากกินโจ๊กไปคำนึง แล้วพูดต่อไป “หากเจ้าไม่เป็นกษัตริย์ แล้วในแผ่นดินนี้ใครที่สมควรจะเป็นประมุขกัน หรือจะเป็นองค์ชายสี่ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ หรือจะเป็น…. ซ่านจินจื๋อ ที่ในหัวไม่มีเรื่องของประเทศชาติ”
ไม่มีใครเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ซ่านเซิ่งหานกำหมัดแน่น สั่งให้คนคอยจัดการดูแลเรื่องการรับประทานอาหารของนาง จากนั้นก็ลุกออกไป
ฟังเสียงฝีเท้าที่จากไป กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้น สายตาที่พร่ามัวมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น นางมองเห็นเค้าโครงของประตูได้ แต่เมื่อได้ยินเยว่ที่อยู่ด้านข้างพูด “จริง ๆแล้วเจ้าหวังว่าองค์ชายสามจะลงมือหรือปล่อยมือ”
“ข้าเพียงหวังว่าเขาจะคว้าโอกาสนี้ไว้” กู้อ้าวเวยลดความคิดของนาง ขยับศีรษะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น จากนั้นก็ลดศีรษะลงทำเหมือนเป็นเพียงคนตาบอดคนหนึ่ง นางสามารถสังเกตเห็นคนอื่นได้ดีขึ้น
“แต่สิ่งที่เจ้าพูดมาหมายความว่าอะไร องค์ชายสามตั้งใจที่จะมาทำเพื่อราษฎรแคว้นชางหลาน นอกจากนี้ยังพาเจ้าไปยังด่านลั่วสุ่ยเพื่อทำลายวิธีการเป็นอมตะ ซื่อสัตย์และเปิดเผยขนาดนี้ เจ้ากลับยังอยู่ข้าง….”
“ข้าก็ไม่ได้จริงจังอะไร” กู้อ้าวเวยตบชามบนโต๊ะ ใบหน้าบูดบึ้ง “ราชวงศ์ยึดบัลลังก์ แม้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศชาติ ในสายตาของข้ามันก็เป็นแค่เรื่องในครอบครัว และข้าให้เขาพิจารณาเรื่องชายแดนดู ตอนนี้เขากำลังลังเลเรื่องของครอบครัว แล้วเรื่องใหญ่ในอนาคตจะเป็นอย่างไร”
เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล! เรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์เป็นเรื่องของครอบครัวในราชวงศ์!
เยว่หายใจเข้าลึกๆแล้วก้าวออกไป เฟิงฉีนที่อยู่ตรงประตูคว้าแขนนางไว้อย่างรวดเร็ว อีกมือหนึ่งก็ลากตัวของซูพ่านเอ๋อซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเข้ามา พูดขัดจังหวะคำพูดที่น่ารำคาญของเยว่ “องค์หญิง ต่อไปซูพ่านเอ๋อจะมาเป็นสาวรับใช้คนที่สองของท่าน”
เยว่ขัดขืนแต่ไร้ประโยชน์ กู้อ้าวเวยก็พูดขึ้นเช่นกัน “ไม่ต้องพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อแก้ตัวให้เยว่ นางเพียงแค่คิดว่าข้าจะควบคุมองค์ชายสาม แต่ข้ากลับไม่เอะใจเลยว่านางคิดแบบนั้น ซ่านเซิ่งหานไม่สนใจที่จะมองเจ้า ใช้สมองของเจ้าลองคิดดู สายตาของซ่านเซิ่งหานเห็นอะไรในร่างกายของฉัน”
พูดจบ กู้อ้าวเวยก็ได้ลุกขึ้น เดินเฉียดผ่านไหล่ของซูพ่านเอ๋อไป พูดด้วยเสียงต่ำ “พวกเจ้าสามคนช่วงนี้ก็มาช่วยทำยาเป็นเพื่อนข้า ก่อนที่องค์ชายของพวกเจ้าจะเลือกทางของตัวเอง ข้าไม่ต้องการให้ใครมาขัดขวางได้ โดยเฉพาะเยว่”
เน้นเสียงหนักลงไปที่คำว่าเยว่
แค่มีคนอย่างเยว่ นี่ก็เป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่รอบตัวซ่านเซิ่งหาน
นางฝ่าฝืนคำสั่งของซ่านเซิ่งหานอยู่หลายครั้ง ทำอยู่คนเดียวลำพัง แต่ก็ง่ายมากที่จะทำให้เรื่องยุ่งยาก เฟิงฉีนได้ทำให้กุ่ยเม่ยได้รับบาดเจ็บ นางไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งของซ่านเซิ่งหานหรือไม่ หรือสิ่งที่ซ่านเซิ่งหานพูดในตอนนั้นจะเป็นการปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นจึงไม่อาจเชื่อใจนางได้
และซูพ่านเอ๋อ โดยธรรมชาติแล้วก็แค่วางนางไว้ใต้เปลือกตา เพื่อความสบายใจ
“พวกเราเชื่อฟังคำสั่งขององค์ชายสามเท่านั้น” เยว่กัดฟัน ถ้าหากเป็นไปได้ นางก็ยอมตายเพื่อจะนำราชลัญจกรหยกมาไว้ในมือขององค์ชายสาม
“แต่องค์ชายสามของพวกเจ้าก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของข้า หากเจ้าอยากจะต้องอึดอัดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ก็ไม่อาจหยุดได้เช่นกัน” เสียงหัวเราะของกู้อ้าวเวยเต็มไปด้วยการเสียดสี เพียงสั่งให้เฟิงฉีนไปนำยาทั้งหมดที่ตนเองต้องการมาเท่านั้น
เยว่กัดฟัน เฟิงฉีนตอบรับคำสั่งนางในทันที และพูดไปว่า “องค์ชายสามจะตัดสินใจได้ด้วยตนเอง”
เมื่อกู้อ้าวเวยเริ่มที่จะทำวัตถุดิบยา เยว่และเฟิงฉีนก็ไม่สามารถหาเวลาไปทำสิ่งอื่นได้
และซูพ่านเอ๋อได้ย่อตัวลงที่มุม และนำมีดการแพทย์ที่วางอยู่ด้านข้างใส่เข้าในแขนเสื้อ