บทที่ 741 เงื่อนไขในการเจรจา
สถานที่รับประทานอาหาร ก็เป็นเพียงแค่ตอไม้ตอหนึ่งที่อยู่นอกกระโจมทหาร
ที่นี่จะไม่ปรากฏผู้หญิงให้เห็นมากนัก ถึงแม้ว่ากำลังคนในโรงครัวจะไม่พอจนต้องจ้างแม่ครัวที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมายังที่นี่ และก็มีน้อยมากที่จะสามารถเดินไปเดินมาภายในค่ายทหารได้อย่างอิสระ ซ่านจินจื๋อก็เลยไม่อยากไปรบกวนทหารที่กำลังรับประทานอาหารเหล่านั้น เขาจึงยังคงถือกล่องใส่อาหารแล้วพากู้อ้าวเวยเดินผ่านไปอย่างสง่าผ่าเผยตลอดทาง
สายตาเหล่านั้นทำให้กู้อ้าวเวยรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย จึงพูดเบาๆว่า “เจ้าไม่ได้แคร์สายตาของพวกเขาเลยหรือ?”
“เจ้าเคยแคร์สายตาของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ในขณะที่ซ่านจินจื๋อกำลังพูดคำนี้อยู่ ในระหว่างที่พูดก็ยิ้มไปด้วย เพียงเพื่อจะทำให้นางตึงเครียดอีกนิดหน่อย เขาจึงพูดว่า “ในเมื่อนี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกเราสองคน ครั้งนี้เจ้าก็ทำตามความต้องการของข้าก็แล้วกัน”
กู้อ้าวเวยนึกถึงเรื่องที่ยืนยันคิดจะทำด้วยตัวเองเหล่านั้นขึ้นมาได้ นางจึงเกาแก้มไปมาด้วยความประหม่า “ถ้าท่านแม่รู้เรื่องที่ข้าทำทั้งหมดในตอนนี้ ยังไม่รู้เลยว่านางจะลงโทษข้าอย่างไรบ้าง”
“สักสองสามวันข้าจะส่งจดหมายไปหนึ่งครั้ง ท่านแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้า” เมื่อซ่านจินจื๋อเห็นขุนพลสองสามคนเดินตรงมาที่เขา เขาจึงทำใบหน้าที่เย็นชาขึ้นมา
ส่วนกู้อ้าวเวยกลับยิ้มให้กับคนเหล่านั้นที่รู้สถานะของนาง และจับมือของซ่านจินจื๋อเอาไว้แน่น จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เชื่อใจข้ามากเลยหรือ?”
“ความเชื่อใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นที่เจ้าทำไปทั้งหมดข้าก็อกสั่นขวัญหายไปหมดแล้ว”
“เอาล่ะๆ พูดไปพูดมาเจ้าก็ไม่วางใจในตัวข้าอยู่ดี แต่ถ้าจะพูดว่าความเจ้าชู้หลายใจ ชอบอ่อยคนไปทั่ว เจ้าก็ไม่ได้ต่างอะไรกับข้า ตอนที่อยู่ในเมืองเทียนเหยียนทุกๆวันเจ้าเรียกหาบรรดานักร้องนางรำเหล่านั้น พวกนางก็แทบอยากจะมากลืนกินเจ้าทั้งตัวอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้ว” กู้อ้าวเวยทำเสียงฮึดฮัดออกมาจากในจมูก แล้วมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาจนเกินคำบรรยายนั้นของซ่านจินจื๋อด้วยความไม่พอใจ
ถ้าหากซ่านจินจื๋อเป็นผู้หญิง เกรงว่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงทุกคนในเมืองจะต้องคุกเข่าอยู่ใต้กระโปรงของเขาเป็นแน่
โชคดีที่ซ่านจินจื๋อไม่รู้ความคิดที่อยู่ภายในใจของนาง เขากลับยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นก็หาได้มีไม่ เจ้ามีความสามารถ ผู้ชายที่อยู่ข้างกายก็เป็นคนที่มีความสามารถเป็นหนึ่ง”
“นั่นก็ใช่ ไม่อย่างนั้นจะเห็นหรือว่าข้างกายข้ามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อย่างเจ้าอยู่ ถึงผู้ชายเหล่านั้นจะมีความกล้าขึ้นมา ก็กลัวว่าพอข้ามีเจ้าแล้วก็จะไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา แล้วทำไมจะต้องยั่วให้ไม่ชอบด้วยล่ะ?” กู้อ้าวเวยพูดหยอกล้อ
ตามที่กล่าวมานั้น กลับเป็นว่าเป็นเพราะเขา ผู้ชายที่กู้อ้าวเวยดึงให้มาอยู่ข้างกายนั้นจึงมีความปราดเปรื่องมากเช่นนี้
นางพูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้ไม่หยุด แต่ซ่านจินจื๋อกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อย
ในชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดที่กู้อ้าวเวยยึดมั่นถือมั่นมากเกินไป เรื่องที่สามารถจำได้ก็มีเล็กน้อยราวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก และนางก็สามารถจดจำเรื่องสำคัญที่เป็นความลับทางการทหารเอาไว้ได้อีกด้วย ถ้าอยากได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยน้ำใสใจจริงเหล่านี้จากปากของนาง ช่างยากยิ่งนัก
ตอไม้ไม่สูงมากนัก กู้อ้าวเวยจึงถือโอกาสนั่งไขว่ห้างไปซะเลย แล้วหยิบอาหารที่อยู่ข้างในออกมากินอย่างสง่าผ่าเผย มันไม่ใช่อาหารเลิศรสอะไร เป็นเพียงอาหารที่เหล่าคนในโรงครัวได้ผัดออกมาด้วยกระทะใบใหญ่ แม้แต่น้ำมันก็มีน้อยจนน่าสงสาร แต่กู้อ้าวเวยก็ยังกินอย่างสบายอกสบายใจ พร้อมทั้งพูดออกมาว่า “พวกเรามาลองพูดถึงเงื่อนไขหลังจากนี้กันไม่ดีกว่าหรือ?”
“เวลารับประทานอาหาร ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องเหล่านั้นนะ” ซ่านจินจื๋อเลือกเอาเนื้อบางส่วนใส่ลงไปในชามของนาง และพูดต่อไปว่า “เรื่องในตำหนักฮุยเฟยวันนั้น…”
ก็แค่ลูกไม้ที่ซ่านเซิ่งหานต้องการจะแยกเราสองคนออกจากกัน ตอนนั้นข้าก็แค่แสดงละครทำเป็นตกกระไดพลอยโจนต่อไป ประจวบเหมาะกับการแต่งงานครั้งนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนที่มีนิสัยที่โฉดชั่วเหมือนหมาป่าเหล่านั้นก็เลยแสดงสติปัญญาอันโดดเด่นออกมาให้เห็นอย่างไรล่ะ” ในขณะที่กู้อ้าวเวยกำลังพูดเช่นนี้ออกมา มือข้างหนึ่งก็วางไว้บนโต๊ะนี้อย่างเหนื่อยหน่าย แล้วพูดว่า “อีกทั้งก่อนหน้านี้ข้านึกว่าเรื่องชีวิตอมตะไม่แก่เฒ่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับราชสำนักเสียอีก แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว”
“จริงๆแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เรื่องของด่านลั่วสุ่ยถูกปกปิดเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่มีข้าราชการในราชสำนักคนใดเคยกล่าวถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่คนเดียว ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ” ซ่านจินจื๋อพยักหน้าไปมา แล้วก็ถือน้ำซุปหนึ่งชามที่ตักเรียบร้อยแล้วมาให้นางอย่างประณีตและละเอียดอ่อน
“เจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง?”
“ซ่านต้วนเฟิงเป็นเพียงหุ่นเชิดของซ่านเซิ่งหานเท่านั้น ตอนนี้ที่นี่ถูกปิดล้อมเอาไว้แล้ว ไม่ง่ายเลยที่ซ่านต้วนเฟิงจะเปิดเผยช่องโหว่ออกมา หรือซ่านเซิ่งหานจะจงใจเปิดเผยช่องโหว่ออกมา เพื่อหวังให้พวกเราบุกเข้าไปโจมตีหลายครั้ง” ในขณะที่ซ่านจินจื๋อกำลังพูดเช่นนี้อยู่ เขาก็ได้อธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ก่อนหน้านี้อย่างละเอียด
ไม่กี่วันที่ผ่านมาซ่านเซิ่งหานได้ทำการปิดล้อมพวกเขาเอาไว้แล้ว ตัดเสบียงและหญ้าของพวกเขา ยิ่งมีศัตรูทั้งภายในและภายนอกอย่างนี้ เดิมทีควรจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ คนที่อยู่ในการบังคับบัญชาของซ่านจินจื๋อกลับไปสกัดขบวนส่งเสบียงของซ่านต้วนเฟิงทั้งสองขบวนที่ชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เหลือรอดของอ้ายหยินก็ถูกซ่านต้วนเฟิงปลิดชีวิตไปไม่น้อย แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้นับตั้งแต่ครึ่งเดือนนี้เป็นต้นมาพวกเขาไม่ได้พบเจอกับเรื่องที่หนักหนาสาหัดอะไรเลย
ในขณะที่กำลังฟังอยู่นั้น กู้อ้าวเวยก็เท้าคางข้างหนึ่งแล้วพูดว่า “ตามที่ได้กล่าวมานี้ ไม่เพียงแต่ระหว่างเจ้ากับซ่านเซิ่งหานจะคอยยั่วยุซึ่งกันและกันเท่านั้น บางทีอาจจะมีคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลังซ่านต้วนเฟิงผู้นี้ก็เป็นได้ หรือว่าจะเป็นองค์ชายพระองค์นั้น? อีกทั้งระหว่างทางข้ายังได้ยินมาว่า ฮ่องเต้จะทรงแต่งตั้งพระสนมฮุยเฟยจากตระกูลตงฟางเป็นพระมเหสีพระองค์ใหม่ แต่องค์ชายสิบสี่กับองค์หญิงเล็กก็เพิ่งจะมีพระชนมายุไม่กี่ขวบจึงไม่จำเป็นต้องไปให้ความสนใจอะไรมากนัก เช่นนั้นองค์ชายที่อยู่เบื้องหลังพระองค์นี้เป็นใครกันล่ะ?”
“ข้ากำลังสั่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้” ขณะที่ซ่านจินจื๋อกำลังพูดคำนี้ ดวงตาคู่นั้นก็จ้องมองไปบนผ้าเนื้อดีที่อยู่บนข้อมือของกู้อ้าวเวย แล้วพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บรึ?”
“ข้ากรีดเอาเลือดออกมาเล็กน้อย โดยหวังว่าหยียงซานจะสามารถช่วยข้าแก้ไขเรื่องนี้ได้ ข้าไม่อยากใช้ชีวิตต่อไปด้วยการกินยาพิษเพื่อประคองชีวิตให้รอดไปวันวันจนชั่วชีวิต หรือข้าจะให้คนอื่นมาทำเรื่องชีวิตอมตะที่กวนใจนี้จึงจะดี “ กู้อ้าวเวยพูดจบ นางก็รับประทานอาหารที่อยู่ในมือจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นนางก็ได้แต่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆซ่านจินจื๋อ แต่ในใจกลับคิดถึงอี้จื๋อกับชิงจือขึ้นมา
ตามความคิดของซ่านจินจื๋อ เขาเกรงว่าตอนนี้แม้แต่ชิงจือก็ยังต้องถูกส่งไปที่แคว้นเอ่อตานเช่นกัน
ในขณะที่นางกำลังคิดเพ้อเจ้ออยู่นั้น ก็มีรองแม่ทัพท่านหนึ่งก็รีบพุ่งถลาเข้ามาในค่าย แล้วคุกเข่าต่อหน้าซ่านจินจื๋อ แต่กลับเหลือบมองกู้อ้าวเวย แล้วจงใจพูดเสียงดังขึ้นมาว่า “องค์ชายเก้ากระหม่อมหวังว่าหลังจากนี้สามวันพระองค์จะไปเจรจาสงบศึกที่เมืองหลวง และขอให้พระองค์พาท่านผู้นี้ไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท”
การเจรจาระหว่างซ่านต้วนเฟิงกับซ่านจินจื๋อเกี่ยวข้องอะไรกับนางด้วยหรือ?
กู้อ้าวเวยทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ แต่กลับใช้เพียงแค่ปลายนิ้วมือที่เรียวยาวๆนั้นลูบคลำอยู่บนตอไม้สักพัก แล้วเงยหน้าขึ้นมามองรองแม่ทัพผู้นั้นและพูดว่า “เจ้าไม่เห็นต้องพูดเสียงดังขนาดนี้เลย ข้าก็รู้อยู่ว่าพวกเราไม่วางใจในตัวข้า หลังจากนี้สามวันให้ข้าไปเป็นทูตสันติภาพเพื่อทำการเจรจาคนเดียวก็ได้นะ”
“ไปด้วยกัน” ซ่านจินจื๋อยกมือไปจับมือที่เต็มไปด้วยเศษไม้ของนางเอาไว้ แล้วยกคิ้วขึ้นและพูดว่า “พอดีข้าจะต้องไปพบปะพูดคุยกับซ่านต้วนเฟิงคนนี้สักหน่อย ว่าแท้จริงแล้วเขาคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ท่านอ๋อง! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน…”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ทุกคนที่นี่จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับเจ้าเลยนะ” กู้อ้าวเวยขัดจังหวะคำพูดของรองแม่ทัพ แล้วชักมือข้างหนึ่งของตัวเองกลับมา จากนั้นก็วางมือลงบนเข่าอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “อาศัยความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าและซ่านเซิ่งหาน รวมถึงตำแหน่งและสถานะ ข้าเชื่อว่าซ่านต้วนเฟิงคงไม่ทำอะไรผลีผลามหรอก”
“ถ้าเขาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง เช่นนั้นสิ่งที่เขาต้องการก็อาจจะเป็นตัวเจ้าก็ได้นะ” ซ่านจินจื๋อคว้าข้อมือที่นางพยายามจะหลบหลีกออกไปเอาไว้ตลอดเวลา
“ถ้าหากเป้าหมายของเขาคือตัวข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องใดแล้ว” กู้อ้าวเวยปลอบโยนด้วยการลูบไปที่หลังมือของเขาไปมา แล้วพูดว่า “ยิ่งเป็นแบบนี้ ข้าจึงอยากจะให้ซูพ่านเอ๋อมาอยู่ข้างกายเจ้าเพื่อดูแลเจ้า ถึงตอนนั้นก็ให้แค่พวกเมี่ยวหารติดตามข้าก็พอแล้ว”
ซ่านจินจื๋อเงียบไปชั่วขณะ แล้วประเดี๋ยวเดียวนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “เจ้าเริ่มคิดที่จะเอาคืนแล้วใช่ไหม?”
“แน่นอน” กู้อ้าวเวยพูดอย่างสงบนิ่ง แต่สายตาคู่นั้นกลับจริงจังขึ้นมา “เราต้องเจรจาเงื่อนไขภายในสามวัน”