บทที่ 753 ต้นทุนในการกดขี่ผู้คน
ซ่านต้วนเฟิงแทบจะพาคนหนีออกไปด้วยความพ่ายแพ้
บานประตูปิดสนิท ประตูถูกลงกลอนอย่างแน่นหนา ยังพอได้ยินเสียงโซ่ตรวนกระทบกันอยู่รำไร
หยุนชิงหยางมองไปที่หลานสาวคนที่เมื่อครู่ยังกดขี่ผู้อื่นนั่งบนตั่งด้วยปลายนิ้วเริ่มสั่นระริก สายตาดูตื่นตระหนกไปหมด ชิงจือที่อยู่ข้างกายแทบไม่เคยเห็นท่าทางก้าวร้าวข่มเหงผู้คนแบบนั้นของท่านแม่เลย สำหรับเรื่องที่นางเอ่ยมาทั้งหมดนั้นก็ได้แต่รับฟังแต่ไม่สามารถแยกแยะทำความเข้าใจได้เลย
“เวยเอ๋อ” ท้ายที่สุดหยุนชิงหยางก็ยังเรียกเสียงแผ่วหนึ่งที
อ้าปากเล็กน้อย กู้อ้าวเวยติดที่ยังมีคนคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูส่วนหนึ่ง แม้กระทั่งคำกระซิบเล็กน้อยยังไม่กล้าเอ่ย ได้แต่หยัดกายลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ข้างกายของหยุนชิงหยาง นั่งลงบนพื้นดังเช่นแต่ก่อน นอนฟุบลงบนเข่าของหยุนชิงหยาง
ก่อนหน้านี้ถึงจะไม่ใคร่ได้พบท่านปู่นัก ทว่าก็พอรู้ว่าท่านปู่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็ยิ่งไม่ไหวขึ้นทุกที ผ่านไปหลายปีแล้ว เส้นผมของหยุนชิงหยางกลายเป็นสีหงอกขาวหมด บนผิวหนังส่วนใหญ่ก็เป็นรอยย่น ทว่ามือที่ทาบลงบนศีรษะของกู้อ้าวเวยกลับยังอ่อนโยนและทรงพลังอยู่ดี
ชิงจือก็คว้ามือของกู้อ้าวเวยเอาไว้ “ท่านแม่ ข้ากลัว”
“ชิงจือเด็กดี อีกไม่กี่วันแม่จะพาเจ้าไปพบน้องชายแล้ว” กู้อ้าวเวยิ้มพลางลูบไล้ฝ่ามือของชิงจือเบาๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ชิงจือซึ่งนั่งอยู่บนตัวหยุนชิงหยางเช่นเดียวกัน ก่อนจะยิ้มตาหยี “คมดาบพวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ท่านพ่อถือ ถึงมันจะทำร้ายผู้คน แต่ก็ปกป้องผู้คนเอาไว้เหมือนกัน”
“เหมือนกับเมื่อครู่ที่ท่านแม่เอามีดไปจ่อที่ตัวของคนเลวนั่นใช่หรือไม่?” ดวงตาของชิงจือพลอยเบิกจ้อง
“ประมาณนั้น” มือข้างหนึ่งของหยุนชิงหยางวางลงบนศีรษะของชิงจือ พบางมองไปที่กู้อ้าวเวย “คิดไม่ถึงว่ามีหลายสิ่งเกิดขึ้นมาอนาคต กลับยังต้องให้เจ้ามาแบกรับภาระทั้งหมดเสียได้”
“ท่านปู่พูดเรื่องอะไรกัน ข้าไม่ได้แบกรับภาระเสียหน่อย เพียยงแต่คิดว่าสามารถทำอะไรบางอย่างได้อย่างบ้าคลั่งเท่านั้นเอง” ในดวงตาของกู้อ้าวเวยยิ่งเปี่ยมล้นด้วยหยาดน้ำตา อิงลงไปบนเข่าของหยุนชิงหยาง “รอกระทั่งเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้น ข้าจะไปเพียงหมอของท่านเพียงคนเดียว”
“ถ้าหากเจ้าโยนตัวไปกับคนดีๆ สักคน บางทีคงไม่ต้องเกลือกลั้วอยู่ท่ามกลางข้อพิพาทนี้หรอก” หยุนชิงหยางกล่าวเช่นนี้ ยิ่งมุ่นเรียวคิ้วแน่น ส่วนกู้อ้าวเวยกลับยิ้มบางๆ ต่อเรื่องนี้ “ถ้าหากสูญเสียร่างกายนี้ไป ไยข้าจะมีท่านปู่ ท่านพ่อกับท่านแม่ได้เล่า สำหรับข้า นี่ก็เป็นพรแห่งชีวิตแล้ว”
หยุนชิงหยางแสบปลายจมูก คิดพันครั้งหมื่นครั้งก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับกู้อ้าวเวยในที่แห่งนี้ได้
ทว่าเขากลับรู้ว่าครั้นยังเด็กกู้อ้าวเวยที่นิสัยหยิ่งผลองคนนั้นได้ไปสู่ราตรีแห่งมหาสมรสคืนนั้นตั้งนานแล้ว ถึงเขาจะชิงชังซ่านจินจื๋อแทบทนไม่ไหวอยากจะฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นให้กับเด็กน้อย ทว่ารอกระทั่งกู้อ้าวเวยในตอนนี้เบ่งบานใจกว้าง พุ่งปราดสู่เรื่องราวในอดีตหรือสถานการณ์ในปัจจุบันโดยไม่สนใจสิ่งใด เขากลับไม่ได้ตำหนิอันใดแล้ว
บางครั้งชะตากำหนดแล้ว นางอาศัยอยู่ในร่างของกู้อ้าวเวย ก็เพื่อสะสางเรื่องวุ่นวายที่เชื่อมโยงกันในปัจจุบันนั่นเอง
“แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ข้าจะรู้เรื่องราวพวกนี้แล้วมันจะอย่างไรเล่า? ได้แต่ภาวนาหวังว่าพวกเขาจะไม่อาจถูกหมอกมัวเมาบังตาเท่านั้น ถ้าหากตรวจสอบอดีตที่ผ่านมาของกู้เฉิงอย่างละเอียด บางทียังสามารถพบข้อด่างพร้อยบางประการก็ได้” กู้อ้าวเวยกล่าวเสียงกระซิบ ทว่ามืออีกข้างทำสัญญาณมือให้ชิงจือเงียบเสียงไว้ เอาภาพเส้นทางฮวงจุ้ยสองแผนของกู้จี้เหยาในแขนเสื้อมอบใส่มือของหยุนชิงหยาง
ในห้องที่สามารถซุกซ่อนอาวุธจำนวนมากเช่นนี้ได้ กู้อ้าวเวยไม่คิดว่าผนังกำแพงสี่ด้านจะสามารถเจาะรูหรือทิ้งประตูลับเอาไว้ได้เลยด้วยซ้ำ
หยุนชิงหยางนิ่งงันไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงอ่านรายละเอียดของมันอย่างถี่ถ้วน ก็เห็นว่ากู้อ้าวเวยเอากระดาษสองแผ่นยัดเข้าไปในกาน้ำชา และได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น รอหลังจากบานประตูเปิดออกจึงมอบชากานี้ให้กับนายทหารที่อยู่นอกประตู และปิดประตูสนิทอีกครั้งโดยไม่เอ่ยอะไรเลย
ขอเพียงซ่านต้วนเฟิงรู้ว่าในมือนางมีของสิ่งนี้ก็เพียงพอแล้ว
เดิมทีนางอยากได้รูปภาพฮวงจุ้ยเพียงเพื่อดูว่าทั้งหมดนี้มีคนทำไปโดยเจตนา หรือเพียงแค่ค้นพบวิธีแยกแยะทิศทางน้ำใต้ดินของคนโบราณกันแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมสามารถระบุได้ว่ารูปภาพฮวงจุ้ยนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะหรือไม่นั่นเอง
หากแบ่งน้ำใต้ดินตามออกมาตามรูปแบบบางอย่างนั่นก็คงเป็นข่าวลือ หากว่าน้ำใต้ดินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินี้สามารถเชื่อมต่อกับศาลเจ้าของฮ่องเต้อำมหิตที่ภูเขาเทียนด่านลั่วสุ่ยอะไรทำน้องนี้ เรื่องนี้นางก็ต้องศึกษาอย่างละเอียดเสียแล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน ดูจากรูปแบบการจัดเรียงประหนึ่งกระบวนพยุหะแปดทิศของเก้าเมือง แห่งนี้แล้ว รวมถึงเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำใต้ดินที่ขุดขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย์ทั้งหมดนั่นแล้ว ทุกอย่างนี้ก็คงเป็นเจตนาของใครบางคนเท่านั้นแล้ว ทว่าหยินหยางกำเนิดสี่ลักษณ์ สี่ลักษณ์กำเนิดแผนผังแปดทิศ แต่ว่าการแพร่พันธุ์ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความเป็นอมตะไม่ผิดเพี้ยน
หากกล่าวเช่นนี้แล้ว รูปภาพฮวงจุ้ยก็ไร้ประโยชน์ ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาที่คนโบราณมีต่อเรื่องนี้เท่านั้น
แต่ไม่พบว่ากระบวนพยุหะแปดทิศถูกขนานนามว่าเป็นโบราณวัตถุ ตรงข้ามกลับนำสิ่งของที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ทุกอย่างนี้มารวมกันเป็นวิธีแห่งความเป็นอมตะที่ไม่มีใครล่วงรู้ กล่าวเช่นนี้แล้ว นอกจากเรื่องที่ใช้พิษต่อชีวิต ถ่ายเลือดแลกความอ่อนเยาว์เป็นเพราะภัยพิบัติหายนะฉากใหญ่ในปีนั้นเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของมนุษย์ในที่แห่งนี้ ดังนั้นถึงได้รับมาอย่างง่ายดายเพียงนี้ นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเป็นอมตะให้กล่าวอ้าง
ส่วนหยุนชิงหยางเวลานี้ก็ขมวดเรียวคิ้วมุ่นเช่นกัน “ถ้าหากรูปภาพนี้เป็นของจริง เช่นนั้นทุกอย่างนี้…”
“เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่ว่าท่านปู่ท่านทราบเรื่องนี้ดีแล้ว ท่านและข้าต่างรู้ความจริงกันหมด” กู้อ้าวเวยกล่าวเช่นนี้ พลางเดินไปอยู่ที่ข้างกายหยุนชิงหยาง ยืนข้อมือของตนเข้าไป “ไม่เพียงเท่านี้ ทางนี้ยังมีความจริงอีกอย่าง แม้ว่าซ่านต้วนเฟิงต้องการหลอกใช้ให้ข้าทำอะไร แต่ขอเพียงภายในสามเดือนไม่อนุญาตให้ข้าหายาแก้พิษได้ ชีวิตนี้ก็คงไม่มีอีกต่อไปแล้ว”
น้ำเสียงที่กู้อ้าวเวยเอ่ยประโยคนี้ไม่ดังนัก นายทหารที่อยู่นอกประตูกลับค่อยๆ ออกไปอย่างเงียบเชียบ
ดวงตาคู่นั้นของชิงจือเปียกชุ่ม มองไปที่กู้อ้าวเวยแน่นิ่ง กู้อ้าวเวยกลับลูบกระหม่อมของเขาอย่างจนปัญญา ทำสัญญาณมือให้เขาเงียบเสียง ชิงจือรีบร้อนปิดปากเอาไว้ พอจะเข้าใจวิธีการของกู้อ้าวเวยอยู่ไรๆ
ไม่นานนัก บานประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง อูกงกงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึม “บนกระดาษนั่น แต่เดิมเป็นอะไรบ้าง?”
“ย่อมเป็นเส้นชีวิตของแว่นแคว้นอยู่แล้ว” ถ้อยคำนี้ของกู้อ้าวเวยหาใช่เรื่องเท็จไม่ ถ้าหากอาศัยสิ่งนี้ตัดแหล่งชายแดนสามแคว้นได้ ก็เท่ากับทำลายเส้นชีวิตของพวกเขาให้สะบั้นลงได้เช่นกัน
อูกงกงเลิกเรียวคิ้วขึ้น “ตอนนี้ถูกจับกุมตัวอยู่ ท่านยังถือดีได้เยี่ยงนี้ คิดจริงๆ หรือว่าพวกข้าไม่มีวิธีจัดการท่าน?”
“ถ้าหากพวกเจ้ามีวิธี เหตุใดตอนนี้ถึงได้เอาข้ามาขังไว้ที่ชายแดนเก้าเมือง แทนที่จะพาข้าไปหากู้เฉิงโดยตรงด้วยเล่า? จะว่าไป ก็แค่เรื่องมาจนป่านนี้แล้วองค์ชายหลานพระองค์ยังไม่ทันตัดขาดกัน พวกเจ้ายังหาโอกาสเหมาะๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงคิดว่าไม่สู้สะสางเรื่องความเป็นอมตะก่อนก็ไม่ถือว่าเป็นการเสียเวลามากเท่าใดนัก” เสียงของกู้อ้าวเวยแผดสูงขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่มองไปทางอูกงกงล้วนเจือแววเหยียดหยามอยู่หลายเท่า “ถ้าหากเจ้าเองก็รู้เรื่องทุกอย่างดีเหมือนกับข้า ไปไหนก็ย่อมกดขี่ข่มเหงผู้คนได้เสมอ”
สีหน้าของอูกงกงคล้ำเขียว ถึงแม้จะยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องสถานะตอนขันทีของเขา ทว่าเขาสามารถไต่เต้ามีจนถึงตำแหน่งสายสืบสองฝั่งในปัจจุบันนี้ได้ก็เรียกว่าเป็นผู้ปราดเปรื่องประณีต ชาญฉลาดเหนือคนแล้ว เมื่อเทียบกับกู้อ้าวเวยในปัจจุบัน กลับด้อยกว่ากันเป็นอักโข จะไม่ชวนหัวเสียได้อย่างไรกัน
“พวกเจ้าล้วนยังไม่คู่ควรจะมาเจรจาเงื่อนไขกับข้าทั้งนั้น ตอนนี้ข้าได้บอกเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านปู่ทราบแล้ว ข้าตัดสินใจจะนั่งรอความตายอยู่ที่นี่ เจ้าก็ให้ซ่านต้วนเฟิงคิดหาวิธีแล้วกัน” ครั้งนี้กู้อ้าวเวยกลับซ้อนขาสองข้างอย่างได้ใจ นั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างไม่ค่อยผ่าเผยนัก เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่ครึ่งเสี้ยว