บทที่ 762 คอยสอดส่องในที่สว่าง
กู้เฉิงไม่เคยคิดว่าในโลกใบนี้จะคำอยู่สองคำนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต
ฟ้าลิขิตให้เจ้าเกิดมามีสติปัญญาล้ำเลิศ ร่างกายของเจ้าจะพิการหรือไม่
แต่มาวันนี้ เขาเดินทางมาเป็นพันลี้เพื่อมาพบกับซ่านต้วนเฟิง ขึ้นรถม้าโดยตัวตนที่ถูกปิดบังไว้ สิ่งเดียวที่มองเห็นนั่นก็คือหญิงสาวที่เขาเลี้ยงดูมาเป็นเวลานับสิบกว่าปีนอนหลับใหลอยู่ที่อกของซ่านต้วนเฟิง ทำให้เห็นเส้นเลือดตรงขมับด้านข้างอย่างชัดเจน
“นางหลับไม่ตื่นแล้วจริงๆอย่างนั้นหรือ?”กู้เฉิงนั่งข้างๆซ่านต้วนเฟิง มองใบหน้าอันคุ้นเคยไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้วของกู้อ้าวเวยอย่างเงียบๆ
“ไม่เคยตื่นขึ้นมาเลย”ซ่านต้วนเฟองมองหน้าหญิงสาวที่อยู่ในโอบกอดของเขาอย่างไม่พอใจ ไม่เพียงแค่หวังว่านางฟื้นขึ้นมาอย่าก่อเรื่องอะไรอีก ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้นางกลิ้งตรงจากรถม้า เพราะฉะนั้นทำได้เพียงแค่โอบกอดร่างบางไว้ชั่วคราว
แต่หญิงสาวก็ไม่มีความอบอวลด้วยกลิ่นหอม บนตัวมีแต่กลิ่นยาโชยออกมา กระดูกพวกนั้นเหมือนจะมีแค่เนื้อหนังบางๆห่อหุ้มเอาไว้ ทั้งๆที่เป็นคุณหนูที่ไม่ควรต้องถูกอาทิตย์หรือน้ำสาดส่อง ปลายนิ้วกลับเป็นขุยแตกแห้งบางๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันเวลาที่สาวใช้ข้างกายนางที่เห็นรอยแผลนั้น แม้แต่พวกหมอยังต่างพูดกันว่าเป็นรอยบาดแผลเก่า
“ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ชอบนาง แม้กระทั่งยังรู้สึกกลัวนาง แต่อย่างน้อยตอนนี้นางเป็นหมากที่สำคัญตัวหนึ่ง”กู้เฉิงใช้น้ำเสียงอันอ่อนโยนที่ไม่เคยใช้มาก่อนเอ่ยกับซ่านต้วนเฟิง
“ข้าน่าจับตัวนางขังไว้”ซ่านต้วนเฟิงพูดอย่างประชดประชัน
“อย่างไรเสียนางก็เคยเป็นลูกสาวของข้า แต่สิ่งที่น่าขันที่สุดก็คือ ตอนนั้นข้าได้ทอดทิ้งนางกับจี้เหยาไปแล้ว นางกลับยังคิดช่วยพูดให้องค์ชายสามไว้ชีวิตของข้า”สายตาที่กู้เฉิงมองไปยังกู้อ้าวเวยนั้นช่างซ้ำซ้อนยิ่งนัก
ซ่านต้วนเฟิงมองใบหน้าของกู้เฉิงด้วยความอ่อนโยนเล็กน้อย แล้วรีบพูดขึ้นว่า“นางมันเป็นปีศาจ เจ้าไม่ใช่คนที่ใจแข็งดุจดั่งหินผาหรอกหรือ?”
“ซ่านต้วนเฟิง”กู้เฉิงเปิดปากเอ่ยชื่อของเขา มองดูใบหน้าอันอ่อนเยาว์แล้วจึงหวลนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งทับซ้อนอยู่บนใบหน้าของเขา ทำให้ตาลายไปชั่วขณะ“เจ้าต้องรู้ว่าเจ้ากับแม่ผู้ให้กำเนิดของเจ้าเหมือนกับนางมาก จนกระทั่งก่อนที่จะเข้าวัง นางยังคิดจะช่วยชีวิตข้า”
ครั้งนี้ซ่านต้วนเฟิงจึงไม่พูดอะไรแล้ว
เขาจดจำใบหน้าของแม่ผู้ให้กำเนิดเขาไม่ได้แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าแม่ของตนเองกับกู้อ้าวเวยจะมีอะไรเหมือนกัน ตอนนี้การดึงคนเข้ามาสำคัญกว่า“หากพานางกลับแคว้นเทียนเหยียน โอกาสที่พวกเราจะถูกเปิดโปงมีมาก”
“ในเมื่อนางหลับไม่ตื่นเช่นนี้ จึงไม่ต้องเป็นกังวลมาก เพียงแต่ปริศนาเรื่องความเป็นอมตะต้องล่าช้าออกไป ข้าได้ส่งคนไปทำลายศาลเจ้าของด่านลั่วส่วยแล้ว เพียงแต่รอให้กู้อ้าวเวยคลายความลับเรื่องอมตะออกมาจริงๆก็เพียงพอแล้ว”กู้เฉิงพูดจบ มืออีกข้างหนึ่งตกลงไปอยู่กับเชือกสีแดงบนข้อมือเล็กของกู้อ้าวเวย แต่กลับไม่ได้คิดที่จะแก้เชือกออก
“ข้าคิดอยู่ว่าอยากให้เมี่ยวหารถอนพิษให้นาง แต่ตอนนี้ซูพ่านเอ๋อกลับตกอยู่ในมือของซ่านจินจื๋อ……”
“เมี่ยวหารกับซูพ่านเอ๋อทั้งสองคนต่างไม่น่าเชื่อ ทางที่ดีที่สุดก็คือเจ้าไปตามหาหมอที่เก่งที่สุดมาจัดการเรื่องนี้”กู้เฉิงจัดแขนเสื้อของกู้อ้าวเวยให้เรียบร้อย แล้วนั่งอยู่ข้างๆ“นอกจากนี้ ทางด้านซ่านจินจื๋อตอนนี้เริ่มจู่โจมก่อน เหมือนจะไม่มีเวลาให้พวกเราเตรียมตัวอะไรมากแล้ว”
“ตอนนี้เขาเป็นนักโทษแล้ว ยังสามารถทำอะไรได้อีก?”ซ่านต้วนเฟิงกล่าวอย่างตกใจ
“ในตอนนั้นซ่านจวนฮ่าวหายตัวไป พอได้กลับมา ไม่รู้ว่าซ่านจินจื๋อกรอกยากรอกหูอะไรให้เมิ่งซู่ไป เมิ่งซู่ถึงได้มีปฏิกริยารุนแรงขนาดนี้ องค์ชายสามที่พำนักอยู่ในชางหลานก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกับข้ามากมาย สงสัยเรื่องที่สร้างหลักฐานปลอมในตอนนั้น ยิ่งเอ่ยถึงเรื่องการหายตัวไปขององค์ชายหก มาวันนี้จะกลับมาแย่งชิงบัลลังก์ คนที่ทรยศหักหลังบ้านเมืองมีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเขา”กู้เฉิงแสยะยิ้ม
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นการถ่วงเวลาให้ซ่านเซิ่งหาน ในขณะเดียวกันก็สามารถดึงองค์ชายหกลงน้ำได้ด้วย
“เรื่องพวกนั้นเป็นสิ่งที่ออกปากจากปลายหมึกของเจ้า หลักฐานแบบนี้สามารถบอกว่าเป็นของปลอมได้หรือ?”คิ้วของซ่านต้วนเฟิงขมวดเข้าหากัน เหมือนจะคีบบีบแมลงวันให้ตายได้
“เป็นเพียงแค่ฮ่องเต้อยากจะทำ ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้”กู้เฉิงยกมือขึ้นนวดคลึงขมับเบาๆ“ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ควรจะสงสัยบรรดาองค์ชาย แต่หลังจากที่กู้อ้าวเวยจากไป ฮ่องเต้กลับไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเปลี่ยนพระทัย ตอนนี้สร้างฐานทัพทุกที่ จะเป็นการทำอะไรได้ยากขึ้นแล้วในตอนนี้”
“หรือเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับนาง……”ซ่านต้วนเฟิงก้มหน้าลงมา มองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา
“เรื่องนี้ไม่รู้ได้ แต่สิ่งเดียวที่สามารถรู้ได้นั่นก็คือ วันนี้เอ่อตานใช้ขุนนางรอให้ฮ่องเต้ปล่อยตัวกู้อ้าวเวยออกมา ไม่เช่นนั้นเอ่อตานก็จะทำสงคราม เรื่องที่พวกเราจะทำรอช้าไม่ได้อีกแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือหลังจากที่เจ้ารอนางฟื้นแล้วก็จัดการแต่งกับนางซะ จะสามารถปิดปากทุกคนได้ ”สายตาของกู้เฉิงหรี่เล็กลง“อย่างมากพวกเรา ก็มีเวลาเพียงสามเดือนเศษ”
……
“อำนาจเบื้องหลังของนางช่างซับซ้อนยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรมาราชวงศ์ของเอ่อตานก็ได้ในราษฎรมาโดยตลอด ถึงฮ่องเต้จะทำสงครามเพื่อหญิงสาวคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”ซ่านเชียนหยวนอุ้มม้วนตำรามาหนึ่งกอง พลางพูดไปด้วย
หนึ่งในนั้นยังมีเรื่องเล่าที่ถูกจดบันทึกนับครั้งไม่ถ้วนของกษัตริย์แคว้นเอ่อตานที่ทำสงครามเพื่อสตรีเพียงคนเดียว ชื่อเสียงก็มีไม่น้อยเลย แต่ก็ไม่มีใครดึงเขาให้ลงจากบัลลังก์ได้
ตอนแรกอยากใช้เรื่องพวกนี้มาลดความน่าเบื่อหน่ายของซ่านจินจื๋อ แต่วันนี้ซ่านจินจื๋อเขาทำเพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง ชุดยาวสีดำทั้งตัวทำให้ท่าทางของเขาดูองอาจมากยิ่งขึ้น ใบหน้าอันคมสันหลายวันนี้ซูบผอมลงไปมาก เห็นได้ชัดว่าเขาเย็นชากว่าปกติลงไปมาก
“เสด็จอา?เจ้าได้ฟังข้าพูดอยู่หรือไม่?”ซ่านเชียนหยวนเรียกเขาอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้
“ถึงจะเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครคิดทำร้ายเวยเอ๋อ สิ่งที่ข้าเป็นกังวลมากที่สุดนั่นก็คือร่างกายของนาง”ซ่านจินจื๋อพูดจบก็ค่อยๆหันกลับมา สายตาในตอนนี้เหมือนจะยังมีเงาแห่งความเศร้านอกหน้าต่าง“ให้ซ่านเซิ่งหานต่อสู้กับองค์ชายหกเองเถอะ”
ตำราในมือที่ซ่านเชียนหยวนถือกระตุกไปหนึ่งครั้ง“เสด็จอา ท่าน……”
“ในเมื่อใครๆก็รู้ว่าข้าถูกขังอยู่ที่จวนของท่าน อีกทั้งตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินโทษของข้า ข้าไม่อยากเอาแต่อยู่ที่นี่”พูดจบ เฉิงซานที่อยู่บนหลังคาก็โรยตัวลงมายืนข้างหน้าต่างอย่างมั่นคง นำกริชสองเล่มที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างดียื่นไปให้กับมือของซ่านจินจื๋อ
แล้วจึงนำกริชสองเล่มแขวนไว้ตรงเอว ซ่านจินจื๋อทำสัญลักษณ์มือ องครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่สิบกว่าคนก็มายืนอยู่ตรงลานจวน คุกเข่าทำความเคารพอยู่บนพื้น
ซ่านเชียนหยวนรีบลุกขึ้นยืน“เสด็จอา ท่านกำลังเตรียมคนออกไปตามหากู้อ้าวเวยสินะ หรือเตรียมไปทำเรื่องอย่างอื่นกันล่ะ?”
“จู่โจมโรงเตี๊ยม บีบบังคับราชทูตของเอ่อตานกับพี่ชายข้า ให้พวกเขาไปตามหากู้อ้าวเวย”ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นตบบ่าของซ่านเชียนหยวน“ข้ายังไม่ได้เสียสตินะ ให้ข้าไปตามหาด้วยตัวเองเถอะ ก็ไม่ต่างไปจากเปิดเผยจุดอ่อนของข้าให้พวกเขาได้เห็น ยิ่งไปกว่านั้นทางข้างหน้ายังมีอาวุธครบมือขนาดนั้น ทำไมไม่ให้ข้าออกไปเองล่ะ”
“แต่ถ้าหากมีคนพบว่าเจ้าเข้าจู่โจมโรงเตี๊ยม……”ซ่านเชียนหยวนกำหมัดแน่น
“เจ้าคิดว่าในตอนนั้นที่ข้ายังเยาว์วัยกลับแคว้นเทียนเหยียนด้วยตัวเอง แล้วประสบการณ์จากสนามรบมานับสิบปี เหตุผลใดที่ทำให้ข้ายืนอยู่แคว้นเทียนเหยียนอย่างมั่นคงล่ะ?”ซ่านจินจื๋อยกยิ้มตรงมุมปากอย่างเยือกเย็น“ไม่ได้อาศัยแค่สมอง ยังมีดาบเล่มคม จัดการเรื่องยากๆพวกนั้น แล้วค่อยไปสู้กับคนพวกนั้นที่คิดไม่ซื่อ”
ซ่านเชียนหยวนเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดก็เปิดปากพูดออกไปว่า“หรัวเอ๋อจะต้อนรับเจ้า โปรดระวังตัวด้วย”
“ในที่สุดเจ้าก็โตแล้วสินะ”ซ่านจินจื๋อใช้มือขยี้ไปที่ศีรษะของเขาอย่างแรง แล้วเหลือไว้เพียงเงาของชุดยาวที่บินจากไปแล้ว รอจนซ่านเชียนหยวนเงยหน้าขึ้นมา ตรงหน้าก็เหลือแต่เพียงลานว่าเปล่าแล้ว