บทที่784 ทศวรรษแห่งความทุกข์
นางไม่เคยลืมวันที่ซีจือเกิด
“ข้าไม่ใช่ผู้ที่หลุดพ้นทางโลกและก็ไม่ใช่วีรบุรุษผู้กล้าหาญที่ช่วยประเทศและผู้คนในยามวิกฤต ข้าเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นความลึกลับของการมีอายุยืนยาว แค่ต้องการส่งทั้งสองคนไปชดใช้ด้วยมือของข้าเอง เจ้าจะยังใช้เรื่องนี้มาประณามข้าอีกรึ?อ๋องจิ้ง”
กู้อ้าวเวย พูดเน้นย้ำประโยคสุดท้ายทีละคำด้วยความตึงเครียด
บางทีผู้ชายก็สามารถลืมทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ทว่านางเกิดมาเป็นหญิงความรู้สึกเต็มไปด้วยความละเมียดละไม นางไม่อาจฝ่าฝืนหลักทำนองคลองธรรมจึงถือโอกาสเลือกปฏิบัติ
ซ่านจินจื๋อกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เจ้าก็เป็นองค์หญิงเอ่อตาน”
“ดังนั้นข้าจึงให้ล่ายเสวียนไปตายเอาดาบหน้า เผาคูเมืองและกำแพงเมืองของชายแดนให้พังพินาศเพื่อเปิดทางให้กับแคว้นเอ่อตาน” กู้อ้าวเวยพูดเสียงดัง พลางขึ้นอย่างกระสับกระส่าย จากนั้นเดินไปข้างหน้าของซ่านจินจื๋อแล้วจับแขนเสื้อของเขา “เรื่องที่ข้าทำไปทั้งหมดข้าไม่รู้สึกละอายใจเลยสักนิด”
ดวงตาคู่นั้นอยู่ใกล้กันมาก แต่เมื่อซ่านจินจื๋อเข้าใกล้คนคนนั้นกลับดึงนางไว้ในอ้อมกอด สามารถที่จะจับท้ายทอยของนางกดเข้ากับหน้าอกของตนเอง “ซ่านเซิ่งหานบอกว่า ตอนที่เจ้าถูกนำตัวไปให้เจ้าหักแผ่นไม้บนรถม้า แล้วเผารถม้าเสีย”
นางถูกกดไว้เพื่อให้ยากที่จะเคลื่อนไหว กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม นางจึงคว้าเสื้อผ้าของเขาอย่างดุเดือด แต่เขากลับไม่พูดอะไรออกมา
ซ่านจินจื๋อกลับได้รับคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว
จดหมายตอบกลับของซ่านเซิ่งหาน ยังเขียนประโยคที่มีมูลเหตุถูกต้องและเต็มไปด้วยสัจธรรม “เจ้าไม่คู่ควรกับนาง”
ทว่า เขายังคงคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
เค้าปล่อยเราจากอ้อมแขนแล้วให้นั่งอยู่บนตักของตนเอง เค้ารู้สึกได้ถึงความสั่นไหวของของไหล่นาง ซ่านจินจื๋อจึงกอดนางแน่นขึ้น “ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า”
“เจ้าไม่ใช่มาหาข้าเพื่อทะเลาะหรอกรึ?”
“ใครจะทะเลาะกับแม่ของลูก?” ซ่านจินจื๋อตอบกลับติดตลกเล็กน้อย แต่ก็ขัดขวางเมื่อกู้อ้าวเวยขยับเพื่อจะลุกขึ้น เขาจึงหันหน้าไปจูบผมของนางแล้วพูดว่า “ทุกอย่างหลังจากนี้โปรดส่งต่อให้ข้า ความลับของการมีอายุยืนยาวข้าให้จางเหยียงซานไปตรวจสอบแล้ว ส่วนเรื่องพิษกู่ได้ส่งจดหมายไปยังแคว้นเอ่อตานแล้วเชื่อว่าอ้ายจือต้องมีวิธี”
ไหล่ที่สั่นสะท้านของหน้าค่อยๆผ่อนคลายลง กู้อ้าวเวยไม่รู้ว่าตนเองทำท่าทางกระเง้ากระงอดที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามนานแค่ไหน จนกระทั่งรู้สึกไม่สบายที่สันหลังเพราะร่างกายโก้งโค้งและกำไลเงินที่ข้อมือบีบรัดผิว นางจึงเงยหน้าขึ้น จากนั้นวางคางไว้บนไหล่ของฝ่ายตรงข้าม เมื่อร่างกายผ่อนคลายก็ปล่อยให้แขนอันทรงพลังโอบนางแน่น
“เจ้ามักจะมาข้าเพื่อทะเลาะ”
“มีเพียงการทะเลาะกับเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะทำอะไร ความวุ่นวายของผู้หญิง” ซ่านจินจื๋อบ่นทีเล่นทีจริง แล้วใช้มืออีกข้างลูบหลังนาง “ในภายภาคหน้าหากคิดจะทำอะไรต้องบอกสามี”
“ เมื่อไหร่ที่เจ้ายินยอมจะไปเป็นราชบุตรเขยที่เอ่อตานแล้วค่อยพูด” กู้อ้าวเวยยกมือโอบกอดคอของเขา กลิ่นจ้าวเจี่ยว(ชื่อชืพ)จางๆในโพรงจมูก บางทีอาจจะเป็นกลิ่นยาจางๆที่หลงเหลืออยู่เนื่องจากมันอยู่กับนางมานานเกินไปซึ่งมันทำให้นางรู้สึกเหนื่อ “แม้ไม่รู้ว่าพวกเจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่แต่ข้าคิดว่าในภายภาคหน้าเจ้าคงจะไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งอ๋องจิ้งได้”
“ถ้าเช่นนั้นก็สามารถเป็นได้แค่ราชบุตรเขยของเจ้า” ซ่านจินจื๋อ ก่อนนางหลวมๆ จากนั้นจึงยกนางขึ้นด้วยมือข้างเดียวและรับรู้ได้ถึงคนในอ้อมแขนที่กอดเอวเขาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองตกลงไป เขาจึงตบไปในที่ที่มีเนื้อค่อนข้างเยอะ ส่วนกู้อ้าวเวยก็บีบรัดคอเขาแน่นด้วยความโกรธ “ใครจะให้คนอันธพาลมาเป็นราชบุตรเขย”
“หรือเจ้ายังคิดที่จะหาอันธพาลคนอื่น?” ซ่านจินจื๋อตบที่เอวของนาง แล้วพานางไปที่เตียง พลางมองไปยังตาแดงๆของกู้อ้าวเวย แล้วพูดว่า “นอนไม่หลับรึ?”
“เจ้าก็เหมือนกัน” กู้อ้าวเวย มองเห็นตาที่คล้ำของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นจึงกลิ้งไปด้านในของเตียงอย่างใจกว้าง เพียงแค่รอให้ผ้าม่านของเตียงถูกดึงลง แผ่นอกอันอบอุ่นแนบเข้ากับหลังของนาง จากนั้นก็หลับไปด้วยความสบายใจ
ไม่มีอะไรดีไปกว่าอ้อมกอดของซ่านจินจื๋อ
เป็นเรื่องยากที่ซ่านจินจื๋อ จะหลับสนิทในค่ายของศัตรู ในความฝันต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวของวิหารเฟิ่งหมิง และเห็นเมืองที่เปื้อนไปด้วยเลือดอยู่ไกลๆ ฝ่ามือเรียวยาวอยู่ท่ามกลางสายฝน สุดท้ายเขาเห็นกู้อ้าวเวย ยืนอยู่หน้าหลุมฝังศพในทุ่งดอกไม้ พลางยิ้มกว้างแล้วมองมาที่เขา “เป็นไปไม่ได้คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีหลุมฝังศพได้อย่างไร”
กลีบดอกไม้กระจัดกระจายบนท้องฟ้าที่มืดมิดและว่างเปล่า
ซ่านจินจื๋อ ตื่นขึ้นมากลางดึก คนในอ้อมแขนดูเหมือนจะหันไปอีกทาง นางผละออกจากอ้อมกอดของเขา แล้วกอดผ้านวมหลับอย่างสนิท รองเท้าที่เท้าและเสื้อคลุมยังไม่ได้ถอดออกเขาจึงจัดระเบียบทุกอย่างด้วยตนเอง แต่กลับเห็นรอยดำอยู่บนน่องที่สะอาดหมดจด
ตรงข้ามกับความฝัน
ซ่านจินจื๋อคิดเช่นนั้น จากนั้นเขาก็เอาผ้าห่มในอ้อมแขนของนางมาห่มให้นาง จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นอย่างเงียบๆ แล้วปิดผ้าม่านลง ด้านนอกเหลือเพียงเฉิงอีผู้เดียว เมื่อเห็นประตูเปิดออก เขาก็ทำความเคารพ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเพียงแค่เมื่อสักครู่กู้เฉิงพาซูพ่านเอ๋อมาเพื่อพบท่าน”
“เรื่องในตอนนั้นตรวจสอบชัดเจนแล้วหรือไม่?”
“ ทั้งหมดชัดเจนแล้ว ซูพ่านเอ๋อและเมี่ยวหารเคยมีคนคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง และตอนนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่ากู้เฉิงต้องการกำจัดท่าน ดังนั้นจึงยังคงจำเป็นต้องยั่วยุต่อไป แต่น่าเสียดายที่องค์หญิงหลิงเอ๋อร์ไปที่นั่น ผู้ใต้บังคับบัญชาของกู้เฉิงกลัวถูกรับรู้ ดังนั้นจึงจบแบบค้างคา” เฉิงอีลดเสียง
แต่ในตอนนั้นซ่านจินจื๋อไม่ได้ฆ่าซูพ่านเอ๋อจริงๆ และนี่คือความจริงที่ต้องการตรวจสอบ
เขาไม่เชื่อว่าในตอนนั้นซูพ่านเอ๋อและเมี่ยวหารจะสามารถคิดได้อย่างละเอียดรอบคอบในวัยนั้น อย่างไรก็ตาม มีเด็กไม่กี่คนในช่วงวัยเด็กที่สามารถซ่อนความรู้สึกของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ทว่าซูพ่านเอ๋อและเมี่ยวหารกลับทำได้อย่างไม่กลัวเกรงเพราะมีคนหนุนหลัง
เพียงแค่วันนี้เพิ่งจะได้รู้ความจริง แต่กลับทำให้กู้อ้าวเวยหึงหวงมากเกินไป
ซ่านจินจื๋อที่เพิ่งออกจากลาน เพียงแค่โบกมือก็ทำให้ไม่ต้องพูดอะไรมาก จากนั้นมีองครักษ์สองคนก้าวมาข้างหน้าเพื่อหยุดเขา ซ่านจินจื๋อจึงพูดด้วยเสียงต่ำว่า “กู้เฉิงพาซูพ่านเอ๋อมาพบข้าไม่ใช่รึ?”
“องค์ชายโปรดรอสักครู่” องครักษ์ไม่กล้าเงยหน้าและรีบออกไปหลังจากพูดจบ
ตอนนี้เค้าอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น ซ่านจินจื๋อไม่ต้องการกลับไปปลุกกู้อ้าวเวย จึงเพียงแค่รออยู่ที่ประตู จนกระทั่งมีองครักษ์ถือโคมไฟอยู่ไม่ไกลและกู้เฉิงกับซูพ่านเอ๋อที่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตามมาข้างหลัง
ซูพ่านเอ๋อหยุดเดินเมื่อเห็นซ่านจินจื๋อ แต่กู้เฉิงกลับคว้าโซ่เหล็กที่ล่ามไว้ที่คอของนางด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทำให้นางเดินโซซัดโซเซไปสองสามก้าวและยืนตัวสั่นต่อหน้าซ่านจินจื๋อ
“เจ้าให้ซูพ่านเอ๋อวางยากู่เซิง ตอนนี้เจ้าเริ่มสงสัยกู่เซิงแล้วใช่หรือไม่?” ซ่านจินจื๋อพูดอย่างไม่อ้อมค้อม
คิดไม่ถึงว่าซ่านจินจื๋อ จะถามถึงเรื่องนี้ แต่กู้เฉิงก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด “ในเมื่อองค์ชายรู้เรื่องแล้ว ข้าจะบอกท่านอีกอย่างหนึ่ง เดิมทีซูพ่านเอ๋อควรจะเป็นลูกสาวของข้า”
เป็นไปตามคาด ดวงตาของซ่านเอ๋อหรี่ลง “ข้า……ข้าไม่รู้”
สีหน้าของซ่านจินจื๋อมืดมนลงไป ดังนั้นจึงนึกถึงหญิงสาวที่อาจารย์บอกว่าเป็นเบี้ยของกู้เฉิงตั้งแต่แรก ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนั้นซูพ่านเอ๋อกลับไม่รู้อะไรเลย
“เจ้ารู้ตัวตนของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หลังจากที่เจ้ากับกู้อ้าวเวยจากไป” ซูพ่านเอ๋อถอยหลังเล็กน้อยและพยายามยิ้มออกมาแต่มันกลับดูน่าเกลียดกว่าการร้องไห้เสียอีก “คิดไม่ถึงว่าพ่อของข้าจะเคยเป็นฮ่องเต้จริงๆ