บทที่ 796 ผู้ดูแลราชสำนักแทน
“ท่านอ๋องจิ้ง!เรื่องนี้จะทำไม่ได้!”
ในห้องอักษร มีขุนนางเฒ่าคนหนึ่งคุกเข่าร้องอย่างตกใจ ขุนนางส่วนใหญ่กำลังต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์
ซ่านจินจื๋อไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ก็กลับไม่ยอมนั่งโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้ เขาหาเพียงแค่เก้าอี้ไม้ที่อยู่ข้างๆมานั่ง สายตากวาดมองไปที่บรรดาขุนนางที่อยู่ด้านหน้า ในใจกลับนึกถึง ขุนนางพวกนี้มีหรือจะไม่รู้ว่ากู้อ้าวเวยคือองค์หญิงของแคว้นเอ่อตาน เพียงแต่รอเวลาให้ความลับถูกเปิดเผยเพียงเท่านั้น
“องค์หญิงแคว้นเอ่อตานไม่ใช้คนของชางหลาง จะส่งตัวกลับไปหรือจะเอาไว้เป็นตัวประกันก็ได้ มีอะไรที่ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
วางม้วนราชสารในมือลง สายตาของซ่านจินจื๋อไปตกอยู่บนกองราชสารที่ต่างฟ้องร้องกันเข้ามา สองวันก่อนท่านพี่ก็ไม่ได้จัดการ มาวันนี้เขายิ่งปาดหัวไปกันใหญ่
เป็นเพราะเรื่องที่ค้างคามีเยอะมาก เขาไม่อยากให้กู้อ้าวเวยอยู่ในจวนขององค์ชายเก้าต่อไป
“จะส่งตัวองค์หญิงแคว้นเอ่อตานกลับไปเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เอ่อตานเพียงแค่อยากรู้ว่าองค์หญิงอยู่ที่ไหน สาววันก่อนองค์ชายสามได้ส่งประกาศออกไปแล้วว่า องค์หญิงแคว้นเอ่อตานถูกโจรขบวนรถม้าลักพาตัวไป……”
“โจรรถม้า!?”ซ่านจินจือตบเสียงดัง“พวกเจ้าบังอาจคิดว่าองค์หญิงแคว้นเอ่อตานเป็นคนระดับไหน!”
บรรดาขุนนางต่างพากันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่ก็ไม่กล้าปริปากพูด มีเพียงแค่เมิ่งซู่ที่ก้าวขึ้นไปด้านหน้าอย่างช้าๆ“ทุกอย่างเป็นพระราชโองการของฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”
สายตาทั้งคู่ของเมิงซู่มองไปที่ซ่านจินจื๋อเป็นประกายเล็กน้อย เขาคิดว่าตัวเองพูดอย่างชัดเจนแล้ว แต่ซ่านจินจื๋อมีความสงสัยเล็กน้อย ควรรู้ว่าในนี้มีเงื่อนงำบางอย่างที่ชี้ว่าฮ่องเต้เป็นคนกระทำ
เสียดายเพียงแค่เรื่องไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจวาดหวังไว้ นับตั้งแต่หลังจากที่ไม่มีเรื่องของซูพ่านเอ๋อเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วระหว่างเขาสองคนพี่น้อง ซ่านจินจื๋อก็สงสัยในตัวท่านคนนี้น้อยลง ยิ่งไม่ต้องสงสัยพี่ชายที่ตอนนี้โดนวางยาพิษจนไม่ได้สติ เขาฉุกคิดไม่ทันคำว่าฮ่องเต้สองคำที่เมิ่งซู่เน้นหนัก เขาทำได้เพียงแค่บีบนวดขมับอย่างปวดศีรษะ“ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ต้องส่งตัวองค์หญิงเอ่อตานกลับโรงเตี๊ยมก่อน ข้าจะไปปรึกษากับท่านพี่ก่อนแล้วค่อยส่งประกาศออกไป”
“หากให้ราชทูตของเอ่อตานรู้ว่า องค์หญิงแคว้นเอ่อตานถูกจับไป……”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องทำอยู่แล้ว หรือทั้งๆที่พวกท่านรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่กลับปกปิดความจริง อยากจะรับโทษเพ็ดทูลเบื้องสูงหลอกลวงฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ?”ซ่านจินจื๋อจัดบทคำพูดของพวกขุนนาง แต่กลับเห็นเพียงแค่ขุนนางหนุ่มที่ยืนหลบอยู่หลังเมิ่งซู่อย่างไม่กล้าเอ่ยปาก และเขาก็รู้เรื่องที่ซ่อนเร้นอยู่ในพระราชสำนักเป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่มากพอ
ดังนั้นแล้ว เขาส่งคนออกไปสืบเรื่องนี้ทันที อีกด้านก็ส่งคนไปดูแลหยุนหว่านเป็นอย่างดี ทั้งนี้จะได้ไม่เกิดเรื่องอะไร แต่กลับไม่รู้ว่าฮ่องเต้กับหยุนหว่านมีแผนที่วางร่วมกันไว้อยู่แล้ว ทางด้านนี้เขาไม่ไว้ใจจึงส่งข่าวไปบอกให้เฉิงซานรออยู่หน้าประตูวังหลวง ให้เขาไปรับกู้อ้าวเวยที่จวนขององค์ชายเก้าจากไป
เมิ่งซู่ไม่พูดอะไรมากความอีก เพียงแต่ในใจมีความกังวลเล็กน้อย
ซ่านจินจื๋อไม่รู้ว่าฮ่องเต้คิดอะไรอยู่จริงๆอย่างนั้นหรือ?
……
ซ่านจินจื๋อใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนในการเดินทาง
หมอของจี้ซื่อถางไปๆมาๆนับครั้งไม่ถ้วน หมดปัญญารักษานางแล้ว ต่างเดินส่ายหน้าพากันเดินจากไป นางนอนพิงอยู่บนเตียงอย่างไม่แยแส ในมือถือมีดแกะสลักกับไม้ที่สั่งให้สาวใช้ไปหามา ตั้งใจอยากจะทำพวกของเล่น ข้างๆมือยังมีเชือกถักจีนที่มัดเสร็จแล้ววางอยู่สามอัน กับกำไลข้อมือที่มัดด้วยเชือกสีรุ้งไม่กี่เส้น
ยู่จือที่ยืนมองเฝ้าดูกับยุ่งวุ่นวายอยู่ไม่สุข แต่ก็ชำเลืองมองไปแวบหนึ่งแล้วขำพรืดออกมา วางคัมภีร์บทสวดที่มีภาพวาดคล้ายภูตผีลง แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า“ในเมื่อไม่ถนัดของพวกนี้ เหตุใดต้องทำด้วยล่ะ?”
“หากไม่เป็นเช่นนั้น แล้วค่ำคืนอันยาวนานล่ะต้องทำอย่างไร?”กู้อ้าวเวยตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ใบมีดเล่มอันคมกริบมีความอันตรายอยู่บ้างถูกปลายนิ้วของนางกรีดผ่านไป ข้อมือถูกยกขึ้นมาเล็กน้อย เศษของไม้ที่ถูกมีดกรีดร่วงลงบนกระดาษ กู้อ้าวเวยฝนอย่างระมัดระวัง ยังไม่ลืมที่จะมองไปยังยู่จือพลางพูดขึ้นมาว่า“พิษในร่างกายของข้าจะถูกถอนออกไปเมื่อไหร่กัน?”
“ยู่หงภักดีต่อองค์ชายเก้า ข้าต้องรอรับคำสั่งจากองค์ชายเก้าอยู่แล้ว”ยู่จือยักคิ้ว ปลายนิ้ววาดผ่านรอยสักบนใบหน้า“ทั้งชีวิตของพวกเราตระกูลยู่ต่างมีรอยพวกนี้ แต่หยุนเซ่ออย่างพวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน”
หยุดท่าทางที่กำลังเอามีดแกะสลัก กู้อ้าวเวยนึกถึงคำว่าหยุนที่อยู่ตรงกระดูกไหปลาร้าของตัวเองได้หายไปตั้งนานแล้ว เหลือไว้เพียงแค่รอยแผลจากการต่อสู้ แต่ก็กลับพูดเสียงเบาไปว่า“แล้วยังไงล่ะ?”
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่า พวกเราอาจจะเป็นคนที่ฟ้าลิขิต พวกเรากำลังแบกรับโชคชะตาไว้”
“ทุกคนต่างคิดว่าตัวเองไม่เหมือนใคร”กู้อ้าวเวยน้ำมีดมาไว้ตรงฝ่ามือแล้วหมุนไปหนึ่งรอบ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองยู่จือ แต่นางสามารถสัมผัสได้ถึงใบหน้าอันหงิกงอที่มาจากความโกรธ จึงกล่าวต่อไปว่า“ถ้าหากว่าเจ้าไม่ได้รักยู่หงจริงๆ ก็ไม่คงไม่ตามเขามาท่องโลกกว้างหรอก ยิ่งไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับนักพรตของพวกเจ้าที่แทงใจดำ ยังมีคนอีกจำนวนมากที่กำลังสมเพชเรื่องที่พวกเจ้ากำลังทำ เจ้าอยู่ในวังวนความสับสนสงสัยของตัวเอง แม้กระทั่งอยากจะได้รับการยอมรับจากปากของศัตรูอย่างข้า”
น้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่คำพูดอันแสนยืดยาวของกู้อ้าวเวยทำให้คนยอมแพ้
ยู่จือก็ไม่แตกต่างยืนกำหมัดแน่นอยู่กับที่“ความสามารถในการมองคนอย่างทะลุปรุโปร่ง”
“เป็นอย่างนั้นหรือ?อาจจะเป็นเพราะตัวเจ้าเองรู้สึกกับเรื่องนี้ง่ายเกินไป”กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ แล้วก็นึกถึงเพื่อนที่เรียนด้วยกันชอบทำการทดลองพวกนั้น คำตอบข้างในก็เป็นการแสร้งทำว่าเข้าใจลึกซึ้งแต่ก็ไม่เข้าใจอะไร แทบจะทุกคนที่จะสามารถตามหาเงาของตัวเองเจอ แต่จะเลือกเชื่อหรือไม่นั้นก็แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
ครั้งนี้ยู่จือลุกขึ้นยืน ยู่จือจ้องตาไม่กะพริบด้วยความไม่พอใจ“เจ้ามันช่าง……”
“คำพูดพวกนี้ไม่ได้พูดให้เจ้าฟัง เจ้าไปได้แล้วล่ะ”กู้อ้าวเวยพูดจบ สายตาก็มองไปที่บานประตูที่เปิดแหล่ไม่เปิดแหล่ ดูดีๆก็จะเห็นผ้าส่วนหนึ่งจากช่องว่างนั้น
มีคนเปิดประตูเข้ามา แขนข้างหนึ่งมีเลือดเปื้อนอยู่ บนใบหน้านั้นยังมีกระทั่งคราบเลือดที่สาดกระเซ็นไม่น้อย ยู่จือปิดปากขมวดคิ้ว แล้วเดินไปจากที่แห่งนี้อย่างไว เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
กู้อ้าวเวยก็ขมวดคิ้วตาม นางได้กลิ่นคาวของเลือด ไม่ได้มีกลิ่นความหอมหวานอีกต่อไป
“คำพูดพวกนั้นของเจ้าพูดให้ข้าหรือ?”ซ่านต้วนเฟิงเอ่ยเสียงต่ำ นำผ้าเช็ดหน้าสะอาดผืนหนึ่งขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่อยู่บนใบหน้าของตัวเอง
“ทั้งๆที่เจ้ารู้ดีว่าควรทำอะไร แต่กู้เฉิงกลับบอกกับเจ้า ทางที่เจ้าเลือกเป็นทางที่ผิด เพราะฉะนั้นเจ้าเป็นคนคิดไม่เป็นไม่รู้จักไตร่ตรอง ดังนั้น เจ้ากับยู่จือที่รู้สึกง่ายเกินไปแตกต่างกันอย่างไร?”กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมามองเขา
“มีคนช่วยข้าจัดการเรื่องนี้แล้ว เหตุใดข้าต้องไปทำเอง กลับกันเจ้า ในคำพูดยังมีความหมายอื่นแฝงอยู่ คิดอยากจะควบคุมคนรอบข้างใช้ประโยชน์เพื่อตนเอง ถ้าฉีกปากของเจ้าออก เจ้าก็ไม่มีค่าอะไรหรอก”ซ่านต้วนเฟิงอดหัวเราะเยาะไม่ได้ไปหนึ่งครั้ง รู้ดีว่าตอนนี้กู้เฉิงกำลังหนีหัวซุกหัวซุน เขารู้อยู่แล้วว่าควรทำอะไร“ถ้าหากมองให้ชัด ข้ายังอยากได้ชีวิตของลูกเจ้ากับหยุนชิงหยาง ถ่วงเวลาเพื่ออยู่ที่นี่”
ท่าทางชะงักไปชั่วครู่ กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย มีคนอาศัยเรื่องนี้เพื่อข่มขู่อย่างไม่หยุดหย่อน
“ข้าจะอยู่ที่นี่ แต่ในขณะที่ข้าอยู่ที่นี่นั้น แล้วเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ?”นางเงยหน้าขึ้นใช้ดวงตาที่ชัดแจ่มแจ้งมองไปยังเขา สายตากวาดมองไปที่ข้อมืออันบอบบางของเขา รู้ดีว่าพิษของถุงน้ำดีหงส์ยังไม่ได้กำเริบ เป็นเพียงเพราะใช้ยาน้อย แต่ถ้าหากรอจนฤทธิ์ของพิษกำเริบ นั่นจะเป็นการตายทั้งเป็น
ซ่านต้วนเฟิงถูกนางมองจนเสียวสันหลังไปหมด จึงนวดคลึงตรงท้ายทอยพลางพูดกับนางไปว่า“ข้าจะเลือกยังไง มันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“อย่างนั้นหรอ?”กู้อ้าวเวยเก็บสายตา แล้วหัวเราะเสียงเบา