บทที่ 797 อย่าตกหลุมพราง
ซ่านจินจื๋อดูแลราชสำนักในวันที่สาม
ราวกับพวกขุนนางจะรู้เรื่องนี้กันนานแล้ว ทำตามคำสั่งของซ่านจินจื๋ออย่างเคร่งครัด กระทั่งน้อยคนนักที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน หนึ่งในนั้นยังมีเรื่องที่เมิ่งซู่ทดลองเรื่องของงานวันฤดูใบไม้ผลิ และซ่านจินจื๋อก็รับหน้าที่ดูแลราชสำนัก ไม่เพียงแต่ต้องจัดการเรื่องคนวางยาในวังหลวง ยิ่งต้องทำการเตรียมรับมือตั้งรับอยู่ตลอดเวลา มีเรื่องที่ต้องจัดการเยอะมาก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ซ่านจินจื๋อยังคงออกไปจากวังเพียงลำพัง ส่งเฉิงซานให้ไปดูแลข้างกายนางให้ดี และสิ่งที่สงสัยในตัวเฉิงซาน นางทำได้เพียงแค่พูดต่อหน้าซ่านต้วนเฟิง“ที่ข้าต้องหลับใหลเพราะพิษเจ้าอย่าบอกเขานะ”
“ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านมีแผนการอะไร”เฉิงซานพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม
“ตอนนี้เรื่องวุ่นวายเยอะมาก บอกเรื่องของข้าออกไปทั้งหมด รังแต่จะทำให้เขาวุ่นวายมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อข้ายอมที่จะบอกกับเจ้า เจ้าก็คงไม่ฟังหรอก”กู้อ้าวเวยนำของที่ทำขึ้นหลายวันมานี้ใส่ในถุงแล้วยื่นมอบให้เฉิงซาน“นำของพวกนี้ไปให้ชิงจือ นอกจากท่านหมอแล้ว คนอื่นก็ไม่จำเป็นสำหรับข้า”
โอบอุ้มถุงที่มีขนาดแค่สองฝ่ามือใหญ่ เฉิงซานเอ่ยขึ้นอยากอดไม่ได้“ตอนนี้ต้องเดินทางระยะไกล ท่านอ๋องน้อยพึ่งจะ……”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุ เขาเป็นคนเลือกทางเดินด้วยเขาเอง และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ผิดขนบธรรมเนียมประเพณี ข้ามีเหตุผลอะไรรั้งเขาไว้ล่ะ”กู้อ้าวเวยกำมีดแกะสลักในมือแน่น น้ำเสียงในการพูดก็ดูเรียบเฉย
เฉิงซานไม่รู้จะพูดอะไรอีก ในใจได้แต่คิดถึงเรื่องที่ท่านอ๋องน้อยต้องเดินทางเป็นพันลี้เพื่อไปฝึกวิชาวรยุทธ์ที่แคว้นเอ่อตานเพียงลำพังอย่างไม่พอ อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกดูแคลนกู้อ้าวเวยที่เป็นแม่ที่ไม่รับผิดชอบ เขานำของเดินจากไปอย่างระมัดระวัง
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของซ่านต้วนเฟิงทั้งหมด เขาตรวจค้นของกู้อ้าวเวยทั้งหมดก่อนที่เฉิงซานจะมาถึงอย่างละเอียด ตอนนี้เขากำลังดูไปที่มือของกู้อ้าวเวยที่ผ้าพันอยู่ ยังคงถือมีดแกะสลักในมือด้วยท่าทีเรียบเฉย หวังอยากจะแกะสลักของที่ดีที่สุดออกมา อาจจะออกมาเป็นรูปทรงไม้ประหลาด หลังจากนั้นก็นำทั้งหมดมาประกอบร่างเข้าด้วยกัน แม้แต่ซ่านต้วนเฟิงเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นความลับที่ซ่อนไว้ในนั้น ราวกับจะเป็นกลไกบางอย่าง
ไม่รอให้ซ่านต้วนเฟิงพูดอะไร ยู่หงที่อยู่ข้างๆก็หิ้วตัวยู่จือเดินเข้ามาด้วยท่าทีเหนื่อยล้า แล้วกล่าวเสียงทุ้ม“องค์ชายเก้าขอรับ องค์ชายสามได้ส่งคนมอบส่วนผสมของยามาสองตัวขอรับ และสาวใช้ของเขาอยากพบกู้อ้าวเวย”
สายตาของกู้อ้าวเวยไปตกอยู่ที่เท้าอันเปลือยเปล่าของยู่จือ รองเท้าที่เสริมส้นด้วยไม้ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่แห่งหนใด นางเหมือนกับเด็กเล็กที่ถูกยู่หงหิ้วคอเสื้อไว้ เบะปากไม่พูดอะไร หน้าตาอันน่าเอ็นดูน่าสงสารทำให้ร่างกายท่อนล่างของเขารู้สึกแน่นจนอึดอัด เขาจึงกระแอมไปสองครั้ง“เจ้าทำอะไรกับยู่จือกัน?”
สีหน้าของยู่หงคล้ำลง โยนสิ่งที่อยู่ในมือลงพื้น แล้วเอ่ยปากพูดต่อไปว่า“นางเพียงแค่ไปหาเรื่องสาวใช้ขององค์ชายสามแค่นั้น คนมาอย่างไม่หวังดี”
“แน่นอนว่าคนที่มาต้องเป็นเฟิงฉีน”ตอนนี้กู้อ้าวเวยเอ่ยปากขึ้นอย่างเชื่องช้า ชุดในสีขาวทั้งตัวแต่กลับไม่อาจปิดบังอะไรได้เลย ข้างล่างเตียงแทนที่จะต้องมีรองเท้าแต่เป็นเพราะนางสลบไปเป็นเวลานานจึงไม่ได้มีวางไว้ นางใช้เท้าย่างกรายเหยียบไปกับพื้นพรม ผมยาวสลวยของนางถูกปลายนิ้วมือรวบขึ้นจัดการอย่างเรียบร้อย แล้วจึงเดินไปข้างหน้าอย่างเรียบเฉย“แค่พบหน้ากันหนึ่งครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นยาถอนพิษของข้า”
ไม่มีใครเรียกให้นางสวมรองเท้า แต่เท้าเปล่าที่เหยียบลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบมันเจ็บปวดกว่าการเอาลิ่มตอกเข้าไปในหัวใจหลายเท่า นางไม่มีเวลามาสนใจกับสายตาที่มองมาอย่างตกตะลึง เดินมาจนกระทั่งออกมาจากสวนหย่อมแล้ว ถึงพึ่งมีคนแก่ที่รีบเอารองเท้าวิ่งมา ก้มตัวลงเตรียมจะสวมใส่ให้นางความเย็นผ่านเท้าไป ถ้าหากไม่สบายขึ้นมาจะเป็นหนักกว่าเดิมนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณนะยายเฒ่า”กู้อ้าวเวยยกยิ้ม ยกเท้าอีกข้างขึ้นมาเพื่อสวมรองเท้าด้วยตัวเอง ยกมือขึ้นเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่วเบาบอกให้ยามที่เฝ้าอยู่ตรงประตูพานางไปพบสาวคนสนิทขององค์ชายสาม
ซ่านต้วนเฟิงพึ่งรู้สึกตัวมองลงไปที่ยู่จือที่นั่งแมะอยู่ตรงพื้น แล้วใช้สายตาขยะแขยงรีบเดินตามกู้อ้าวเวยออกไป
ยู่จือใช้มือดันพื้นเพื่อตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน เก็บใบหน้าของซ่านต้วนเฟิงไว้ในแววตาทั้งหมด แล้วหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน“ความลุ่มหลงทำให้คนเสียสติ ราชวงศ์ซ่านล้วนตกอยู่ในความลุ่มหลง”
“ถ้าหากเจ้าหัดพูดให้เป็น วันนี้ก็คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหรอก”ยู่หงกระชากนางขึ้น“ไม่ต้องพูดถึง องค์ชายเก้ากับคนอื่นๆในราชวงศ์พวกนั้นที่ไม่ใช่คนจำพวกเดียวกัน”
“ไม่เหมือนกันอย่างไรล่ะ เพียงแค่วันนี้กู้อ้าวเวยมีรอยสักสีดำที่โผล่ออกมาให้เห็น ซ่านต้วนจือก็เดินตามหลังออกไปแล้ว ถ้าหากวันหน้ากู้อ้าวเวยยอมใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อแลกล่ะ ไม่แน่วันหน้าซ่านต้วนเฟิงอาจจะลืมความโกรธแค้นทั้งหมดก็เป็นได้”ยู่จือเงยหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจ ปัดฝุ่นที่เกาะตามตัวของตัวเอง สายตาเป็นประกายขึ้นมา“ไม่กำจัดตัวกาลกิณี จะมีแต่ความฉิบหาย มีคนควรรู้เหตุผลนี้”
“ใคร?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นราชวางค์ซ่าน”ยู่จือยิ้มอย่างเย้ยหยัน ครั้งนี้นางกลับจับไปที่แขนของยู่หงไม่ปล่อย ยิ้มตาหยีขอร้องอ้อนวอนให้ยู่หงพานางไปที่ร้านอาหารป๋ายเว่ย ราวกับลืมคำพูดเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น
ยู่หงที่ไม่เข้าใจ ได้แต่สั่งให้นางห้ามก่อเรื่อง
แต่ในขณะที่อยู่หน้าห้องโถง บนบ่าของกู้อ้าวเวยมีชุดคลุมที่สาวใช้นำมาด้วย เฟิงฉีนที่นั่งอยู่ด้านหน้ากลับมีเพียงผ้าหยาบของคนดูแลสวนคลุมทั้งตัว ข้างๆเท้ามีกล่องสองใบวางไว้“องค์หญิง ของขวัญเหล่านี้องค์ชายสามได้เตรียมไว้นานแล้ว อีกอย่าง องค์ชายสามยังมีคำพูดฝากมาให้ท่านอีกด้วย”
กู้อ้าวเวยยักคิ้วขึ้นเป็นสัญญาณบอกนางพูดต่อไป ในมือถือถ้วยน้ำชา มองดูกล่องพวกนั้นที่ทำให้หัวใจนางเต้นรัวเร็ว มีตัวอย่างก่อนหน้านั้นที่นางยังดูไม่ออก ตอนนี้นางกลับแยกไม่ออกว่าซ่านเซิ่งหานอาศัยจังหวะในตอนที่อ่อนแอเข้ามา หรือเพื่อเป็นการตัดขาด
“องค์ชายสามบอกว่า ถึงจะมีเรื่องวุ่นวายเยอะมากเพียงใด แต่เรื่องราวเปลี่ยนแปลงไป มาพบกันวันนี้ ยังอยากขอให้ท่านส่งจดหมายให้กับอ๋องจิ้ง เพื่อเป็นการขอให้ไว้ชีวิต”เฟิงฉีนสายตาแหลมคม ยิ่งมองไปที่ซ่านต้วนเฟิงที่อยู่ข้างๆอย่างช้าๆ นำของประมาณฝ่ามือออกมาจากในกระเป๋า ในนั้นยังมีพวกเครื่องประดับและยังมีกุญแจอายุยืนของเด็ก แล้วเอ่ยเสียงเบา“นี่เป็นสิ่งที่องค์ชายสามฝากให้ข้ามามอบให้เยว่ชิง หวังว่าวันหน้านางจะไม่เสียใจกับทางที่นางเลือก”
ยู่หงก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับไว้
แต่กู้อ้าวเวยที่นั่งอยู่ข้างๆคิดประมวลผลนานมาก แล้วถึงพึ่งเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ“ได้อยู่แล้ว เพียงแต่คนที่อยู่เบื้องหลังจะยอมรับปากหรือไม่ ข้าก็ไม่อาจรู้ได้”
เฟิงฉีนตะลึงไปชั่วครู่ แล้วจึงรีบยิ้มตอบกลับไป
การเขียนจดหมายฉบับหนึ่งนั้นง่าย เพียงแค่ไม่กี่คำ ให้ซ่านจินจื๋อวางแผนความหนักเบาในอนาคต คำพูดสำคัญๆกลับไม่เอ่ยถึงเลยสักนิด ทุกอย่างขอเพียงแค่นางกับองค์ชายสามรู้อยู่แก่ใจก็เพียงพอแล้ว
ในตอนที่วางพู่กันลง กู้อ้าวเวยยังคงขมวดคิ้ว อดที่จะเขียนเพิ่มอีกหนึ่งประโยคไม่ได้“อย่าตกหลุมพราง”
พอสี่คำเมื่อครู่กลงไป ซ่านต้วนเฟิงที่อยู่ข้างๆกลับขยับเข้ามาใกล้“นี่มันหมายความว่าอย่างไร”
“วังหลวงกับคุกไม่ต่างกันเลย ในเมื่อเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าต้องอยู่ต่อไป”พูดจบ กู้อ้าวเวยก็ยื่นพู่กันไปข้างๆ ไม่รอจนรอยหมึกบนกระดาษแห้งเสียก่อน ข้างหลังก็มีเสียงของกู้เฉิงแทรกขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“กู้อ้าวเวย!เจ้าคิดว่าจวนขององค์ชายเก้าคือที่หลบภัยอย่างนั้นหรือ