บทที่ 815 ต่างก็ซาบซึ้งใจ
“คิดคดทรยศต่อเจ้านาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าจักมีจุดจบเช่นใด”
เฟิงเยว่รีบก้าวเข้าไปทลายบรรยากาศที่เงียบงำ ดาบเล่มยาวในมือของเยว่ชิงเฉียดผ่านปลายนิ้ว วางพาดประชิดลำคออันเนียนละเอียด ขณะนี้แสงอันเย็นสะท้านก็แผ่ซ่านเข้ามา แม้แต่เฟิงฉือพลอยตื่นตระหนกไป และจับจ้องไปยังใบหน้าอันแสนเลือดเย็นของเยว่หลิงด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว
รอแค่ซ่านเซิ่งหานออกคำสั่งเพียงเท่านั้น คอของเยว่ชิงจักต้องขานรับให้ถูกบั่นเป็นแน่แท้
“ข้านั้นย่อมรู้อยู่เต็มอก แต่ก็หาได้เสียใจไม่” แววตาของเยว่ชิงจับจ้องไปยังซ่านเซิ่งหานอย่างเป็นประกาย ทว่าภายในแสบซ่านไปทั่วหัวใจ
ชาตินี้ทั้งชาติชีวิตของนางเป็นแค่เพียงเบี้ยล่างของเขา
แววตาของเฟิงเยว่สั่นไรๆ ประหนึ่งว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้มิใช่พี่น้องที่รู้จักกันมานานกว่ายี่สิบปี ขณะที่ปลายนิ้วกระตุกเบาๆ ซ่านเซิ่งหานถึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องของกู้อ้าวเวยและซ่านจินจื๋อให้เจ้าเป็นคนจัดการ หากว่าสามารถติดต่อข่าวคราวซ่านจินจื๋อได้ ข้าคงยอมไว้ชีวิตให้”
“หมายถึงองค์ชายสามนะหรือ” เฟิงเยว่หันหน้าไปด้วยความฉงน
“กู้อ้าวเวยเคยบอกกับข้าว่าเยว่ชิงนั้นจงรักภักดีต่อข้าอย่างไม่แปรผัน ข้าย่อมเชื่อเป็นธรรมดา” ซ่านเซิ่งหานหันกลับไปพลางผ่อนจังหวะฝีเท้าลงพร้อมกับพูดเบาๆ “ชีวิตของเจ้านี้เป็นหนี้บุญคุณกู้อ้าวเวย”
คำพูดกลับแฝงความนัยว่าย่อมมิให้นางทำร้ายกู้อ้าวเวย
ดวงตาคู่นี้เอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตาอันพร่างพราว ขณะหลังจากที่เฟิงเยว่ถอนมือกลับ นางยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ดาบเล่มยาวในมือทิ่มลงกระแทกกระทบกับพื้นดังปัง นางเดินจากเรือนไม้ไผ่หลังเล็กสองชั้นนี้ไปโดยมิหันกลับมามองอีก ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงคนแจ้งอยู่ด้านนอกประตูว่ามีคนมาส่งข่าวมา
เยว่ชิงรีบเอามือปาดน้ำตาโดยเร็วพลันก่อนที่มันจะร่วงหล่นพร้อมก้าวไปถามอย่างเต็มฝีเท้า “มีเรื่องอันใด”
“แม่นาง นี่เป็นคำสั่งของแม่นางกู้อ้าวเวยว่าจักต้องส่งถึงมือขององค์ชายสามให้จงได้” คนผู้นั้นดูเหมือนเร่งหามรุ่งหามค่ำเดินทางมาหา เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น นำจดหมายฉบับนี้มอบให้ถึงมือของเยว่ชิง
หลังจากเยว่ชิงอ่านจดหมายอย่างคร่าวๆ แววตาพลันมีความมุ่งมั่นขึ้นมา “เจ้ามาจากที่แห่งหนใดกัน แล้วรู้หรือไม่ว่าจักติดต่ออ๋องจิ้งได้ที่แห่งไหน”
เสี่ยวเอ้อที่รีบเร่งเดินทางมาผู้นั้นอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นานพอตัวแต่ก็มิกล้าบอก ซ้ำวิ่งออกไปไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบกลับเข้ามา จึงพูดออกจนหมดว่าต้องไปตามหาคนที่ชื่อใต้เท้าซางนิง ซ่านเซิ่งหานรู้สึกอับจนหนทาง และคงทำได้เพียงส่งจดหมายไปยังสำนักเยียนหยู่เก๋อด้วยตนเอง ทว่าใคร่ครวญดูแล้วอาจให้ฉีหรัวช่วยติดต่อให้ได้
ขณะฉีหรัวได้รับจดหมายก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ละถามหงเซียวที่อยู่ใกล้ๆ “บัดนี้เจ้ามีหนทางใดส่งข่าวให้ไปถึงมืออ๋องจิ้งบ้าง”
หงเซียวหยุดชะงักชั่วขณะ ถึงกับส่ายหัวไปมาพร้อมกับขมวดคิ้วตึง “หมู่นี้ในวังหลวงมีการตรวจตราที่เข้มงวดกวดขัน ก่อนหน้านั้นท่านอ๋องยังให้คนของพวกเราถอนออกมาชั่วคราว เพื่อเลี่ยงมิให้เข้าไปพัวพันเรื่องภายในวังหลวง เวลาเช่นนี้หากว่าท่านอ๋องไม่เริ่มเป็นฝ่ายติดต่อก่อน พวกเราทางนี้ก็อับจนหนทาง”
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดซางนิงผู้นี้ถึงสามารถส่งข่าวเข้าวังได้” ฉีหรัวส่งจดหมายให้ฉบับนี้ให้หงเซียวด้วยความงุนงง
สรุปแล้วซ่านเซิ่งหานมิได้ถูกคุมขังไว้ บัดนี้เพียงแต่ส่งข้ารับใช้มายังที่นี่ เพื่อให้นางเกิดความสงสัย และคงนำเรื่องของซางนิงเล่าออกมาทั้งหมดอย่างง่ายดายเป็นแน่
หงเซียวอ่านจดหมายจบก็พับกลับคืนพร้อมส่งกลับคืน “ใต้เท้าซางนิงแตกต่างกับพวกเราโดยสิ้นเชิง เขาเคยลงมือฆ่าล้างตระกูลเพื่อราชวงศ์ซ่าน ต่อให้ฮ่องเต้ไว้ใจเขา ขณะที่เขาซุ่มซ่อนตัวฝึกปรือเป็นองครักษ์อย่างลับๆ ก็หนีไปเพราะฮ่องเต้อยู่หลายครั้งหลายครา ความลับเหล่านั้นท่านอ๋องคงตามสืบไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ อันที่จริงแล้วใต้เท้าซางนิงทั้งทำงานให้กับฮ่องเต้และท่านอ๋อง ทว่าไม่ให้ทั้งสองคนนั้นรู้เรื่อง”
จักมีความเป็นกลางสักเท่าไรกันเชียว
ฉีหรัวครุ่นคิดพินิจจึงให้หงเซียวตามหาเบาะแสของใต้เท้าซางนิง อีกด้านก็วางธุระประปังทั้งหมดในมือลง ไปแล้วไปหาซ่านเชียนหยวนพร้อมกับของบางสิ่ง จนบัดนี้ซ่านเชียนหยวนยังไม่รู้เลยว่าวันที่เขาเห็นตราราชลัญจกรหยกและพระราชโองการนั้นล้วนแต่เป็นของปลอมทั้งสิ้น
ต่อให้เช่นนี้การที่หวงเซียวหาตัวซางนิงเจอก็คงเปลืองแรงอยู่ไม่น้อย
ขณะที่พบซางนิง เขากำลังพึ่งเดินออกมาจากป่าที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดก็พบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคือหงเซียว กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันในดวงตาของเขาคงได้มลายหายไป สะบัดเลือดที่เปรอะเปื้อนบนใบมีดทิ้งไป ซางนิงมองดูเขาในฐานะคนตระกูลที่เหลือเพียงหยิบมืออย่างเงียบงำ
หงเซียวถ่มน้ำลายทิ้งและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “องค์ชายสามและอ๋องจงผิงหวังว่าจะสามารถส่งข่าวไปยังอ๋องจิ้งได้”
“หากการนี้ทำเพื่อกู้อ้าวเวยก็ไม่จำเป็น” ซางนิงเดินเข้าไปหาหงเซียวด้วยท่าทีไม่เอื่อยเฉื่อย พร้อมนำกระดาษที่ขาดหลุดลุ่ยแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อมอบถึงมือของหงเซียว “ฮ่องเต้มีบัญชาให้หยุดยั้งกู้อ้าวเวยที่ด่านลั่วสุ่ย รอจนนางไขปัญหาเรื่องอายุยืนนั่นให้ได้ก็จะประหารนางทันที”
หงเซียวอ่านตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษอย่างละเอียดถี่ถ้วน สองมือของเขาพลันสั่นรัว “เหตุใดถึง……ฮ่องเต้มิใช่ต้องการปล่อยตระกูลหยุนไปมิใช่หรือ แล้วนี่มัน……”
“เหตุเพราะตระกูลหยุนทำให้ผู้คนหวาดหวั่น ราชวงศ์ซ่านก่อร่างขึ้นมาก็ด้วยตระกูลหยุน จะล่มสลายก็ด้วยตระกูลหยุน กู้อ้าวเวยคือชนรุ่นหลังอย่างมิต้องสงสัย เจ้าไม่สังเกตเหล่าองค์ชายพวกนั้นหรือ” ซางนิงค่อยๆขยับเข้ามาใกล้แล้วดึงกระดาษแผ่นนั้นยัดกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อพร้อมกับกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “องค์ชายหกล่วงรู้ถึงความนึกคิดของฮ่องเต้มาตั้งแต่แรก เจ้าลองเดาดูสิเหตุไฉนพระองค์ถึงปิดพระโอษฐ์ไม่ตรัสเรื่องนี้มาโดยตลอด”
หงเซียวนำมือมาจับคอที่เย็นยะเยือกโดยพลัน “ฮ่องเต้คงมิใช่ให้หญิงทอผ้านั่น……”
“ด้วยเพราะพระองค์ทรงกริ้วเมื่อตอนนั้นกู้อ้าวเวยหลอกลวงนางไว้ พระองค์ประสงค์เห็นกู้อ้าวเวยกลับตัวกลับใจ หญิงปักผ้าผู้นั้น……ก็เป็นเพียงผู้มีพระคุณเท่านั้น” ซางนิงส่ายหัวด้วยความจนปัญญา และเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่ค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ ครุ่นคิดนานชั่วขณะจึงเอ่ยว่า “แม้นฮ่องเต้มิใคร่พอพระทัยเหล่าองค์ชายสักเท่าไร ทว่าบัดนี้เหตุการณ์ล้วนเกิดจากอิสตรีเพียงผู้เดียว พระองค์ย่อมรีบกำจัดทิ้งเสียเป็นธรรมดา แต่นางยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง บนเส้นทางนี้นางถูกลิขิตให้ควบขี่อาชาที่วิ่งสุดฝีเท้าด้วยแส้ และมิอาจหยุดพักได้”
หงเซียวมองดูซางนิงพลางรู้สึกเสียวสันหลังโดยพลัน “ใต้เท้าซางนิง แต่นางเป็นเพียงแค่อิสตรี”
“เขื่อนกั้นน้ำทอดยาวนับพันลี้ พังครืนเป็นธุลีเพียงจอมปลวก หลักการนี้ใช่ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจ เรื่องในวันนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีก ฉีหรัวก็เป็นเพียงแม่ค้า……”
“ตัวข้าก็เป็นเพียงแค่พ่อค้าแม่ขายจริงๆ นั่นแหละ” แว่วเสียงของอิสตรีดังขึ้นมา ซางนิงขมวดคิ้วเล็กน้อยถึงกับแอบคิดว่าตนชะล่าใจไปชั่วขณะ ทว่าชั่วครู่หนึ่งก็ล้มลงไปพร้อมกับฉีหรัว เคราะห์ดีที่มีอ๋องจงผิงและซ่านเชียนหยวนใช้มือคนละข้างโอบอุ้มฉีหรัวไว้
สีหน้าของซางนิงเดี๋ยวหมองคล้ำเดี๋ยวซีดเซียว มองอย่างเดือดดาลไปยังหงเซียวที่เดินเข้าไปใกล้ๆฉีหรัวด้วยสีหน้าเมินเฉย
“พวกเจ้าวางกับดักข้า” ซางนิงกัดฟันกรอดๆ
“แม้นว่าเจ้าจักสามารถข้าล้างตระกูล ทว่าเจ้ากลับดีต่อคนในตระกูลที่เหลือประดุจญาติสนิท” ฉีหรัวทุบตีลงที่อกของซ่านเชียนหยวนหลายครั้งหลายหน และเดินหนีจากอ้อมอกของเขาพร้อมจัดแจงเสื้อผ้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายิ่งควรเป็นคนไปแจ้งข่าวให้แก่อ๋องจิ้ง”
“เพราะเหตุใด” คิ้วของซางนิงขมวดเหยเกไปมา
“ด้วยเหตุที่ฮ่องเต้เป็นผู้เลือกคนไม่เป็น” อีกด้านหนึ่งเสียงอันนุ่มนวลไพเราะของอิสตรีค่อยๆ เข้ามา เห็นเพียงเงารูปโฉมโนมพรรณแสนงาม เยว่ชิงก็ปรากฏตัวยืนนิ่งต่อหน้าซางนิง มือยังพยุงกุ้ยมามาผู้มิได้เผยตัวมาเสียนาน
กุ้ยมามาและซางนิงสายตาจดจ้องมองซึ่งกันและกัน ทันใดนั้นเอ่ยปากด้วยสีหน้าอันหมองคล้ำ “เดิมทีไทเฮาทรงคิดว่าเภทภัยคือกู้อ้าวเวย ถึงให้ข้าคอยจับตาสอดส่อง ก่อหลักฐานเท็จให้ไทเฮาลงมือกำจัดนาง ทว่า……เมื่อหลายเดือนก่อน ข้าน้อยกลับติดต่อไทเฮามิได้ซ้ำถูกกู้เฉิงขังไว้ในจวนอีก เวลาถึงได้รู้ว่าฮ่องเต้เป็นผู้สั่งให้องค์ชายหกปล่อยข่าวออกมา ข้าน้อยจึงขาดการติดต่อกับไทเฮา……”
ซางนิงกำด้ามมีดไว้จนแน่น กลับยิ่งไม่อาจปักใจเชื่อ “เช่นนั้น บัดนี้ไทเฮาทรงอยู่ที่แห่งใดกันเล่า”
“ถูกขังไว้ยังอารามไป๋หม่า เหตุการณ์ที่เสียนเฟยได้รับบาดเจ็บแล้วเดินทางไปรักษาตัวที่อารามไป๋หม่าเป็นฝีมือฮ่องเต้วางแผนแยกเสียนเฟยหนีเพื่อให้ลงมือจัดการอ๋องจงผิงได้สะดวก” กุ้ยมามาคุกเข่าลงพื้นเสียงดังปังพร้อมกับร่ำไห้ไม่หยุด “ฮ่องเต้ประสงค์ให้อ๋องจิ้งครองบัลลังก์แต่เพียงผู้เดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“พระองค์ประสงค์เพียงให้อ๋องจิ้งได้รับรู้เฉกเช่นเดียวกับพระองค์ ทั้งบัลลังก์และการสูญเสียสตรีที่ตนรัก”
เมื่อเสียงพูดจบลง ซางนิงจ้องมองเลือดที่ชโลมอาบบนมีดของตนด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว และไร้ซึ่งคำพูดใดๆ