บุบผาร้อยเสน่ห์ – ตอนที่ 803

ตอนที่ 803

บทที่ 803 สอดแนม

ทั้งในและนอกของวังหลวงต่างมีคนยืนเฝ้าอยู่ รักษาการจัดเวรยามอย่างแน่นหนา

ขอเพียงแค่เกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในเวลาค่ำคืน หยุนหว่านนั่งอยู่ข้างๆแสงเทียน หลิ่วเอ๋อกับจื่อเหมิงได้นอนหลับพักผ่อนอยู่บนเตียงไปนานแล้ว แต่เตียงนั้นที่พอสำหรับนอนกันสองคนมีเพียงหลิ่วเอ๋อคนเดียวเท่านั้น ข้างในเพื่อให้นางได้นอนหลับพักผ่อน เพื่อไม่ให้คนที่มาส่งข้าวส่งน้ำพบตัวนางเข้า

เสียงของจิ้งหรีดในฤดูใบไม้ผลิยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง ผ่านกระดาษบางบนหน้าต่าง นางยังสามารถมองเห็นความสว่างหรูหราภายในวังหลวงค่อยๆมืดหายไปอย่างไม่มีเสียง ลมของฤดูใบไม้ร่วงพัดเสียงอื้ออึงไปมาในสวย

“เป๊าะ”เสียงนั้นเหมือนกับเสียงใบไม้ขนาดใหญ่สองใบร่วงลงมาจากพื้น

แต่หลังจากที่หยุนหว่านไปหลบอยู่หลังผ้าม่าน จนกระทั่งเห็นช่องว่างในประตูมีแสงแวบเข้ามา มีกริชยาวเล็กด้ามหนึ่งกำลังแกะสลักกลอนประตู นางถึงสูดหายใจเข้าลึกๆ อาศัยจังหวะของเสียงอันน้อยนิดย้ายตัวเองไปหลบอยู่ในซอกหลืบอันเล็กหลังเตียง นั่นเป็นที่ที่ทั้งสามคนย้ายเตียงแล้ว เหลือช่องว่างไว้เล็กน้อย ด้านข้างมีที่วางของขวางไว้ แม้แต่นางกำนัลที่มาทำความสะอาดก็ยากที่จะพบเห็นได้

กลั้นหายใจแล้วหลบซ่อนตัวเข้าไป หยุนหว่านค่อยๆวางผ้าปิดบังลงที่พื้น ใช้มือลูบคลำไปมาอยู่ที่กำแพง

จนกระทั่งไปจับโดนกริชที่แอบซ่อนเอาไว้ นางถึงพึ่งรีบกลั้นหายใจ ไม่กล้าขยับไปไหน

เงาดำร่างหนึ่งค่อยๆคืบคลานเดินผ่านภายในห้องทุกจุด แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์อยากทำร้ายคน สุดท้ายนางถึงพึ่งมาถึงข้างเตียง เหมือนกับอยากจะเปิดฟูกออกมา หยุนหว่านสูดหายใจเข้าอยากจะพุ่งตัวออกไป

แต่ก็มีเสียงกรีดร้องของอีกเตียงหนึ่งดังขึ้นมา“มีคนร้าย!”

หลิ่วเอ๋อลืมตาตื่นขึ้นด้วยความตระหนก แล้วรีบลุกขึ้นก่อนที่เงาดำจะหนีไป แทบจะทับร่างคนผู้นั้นจนตัวติดพื้น เงาดำมีเสียงร้องอย่างตกใจของหญิงสาวดังขึ้น แล้วต่อจากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าของทหารที่เฝ้ารักษาการเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย

จื่อเหมิงใช้ฟูกบังใบหน้าแล้วตะโกน“นางนั่นแหละ!พวกข้ายังไม่ได้ดับไฟเลยด้วยซ้ำ!”

“จับนางมัดไว้!”ใบหน้าของทหารยามหน้าดำคร่ำเคร่งไปหมด ให้คนไปพยุงหลิ่วเอ๋อลุกขึ้นยืน อีกด้านก็เป็นคนชุดดำที่ถูกลากขึ้นมา แล้วดึงผ้าที่ปิดบังใบหน้าออก ทำให้เห็นถึงใบหน้าอันจิ้มลิ้ม

ด้านข้างมีคนผู้หนึ่งเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“นี่เป็นนางกำนัลในวังหลวง เสี่ยวเหยา”

“นำตัวกลับไป!”ท่านแม่ทัพของทหารยามตะโกนเสียงดัง มองตรงไปที่หลิ่วเอ๋อพลางเปิดปากพูดขึ้นมาว่า“ขออภัยนางกำนัลหลิ่วเอ๋อ ต้องโทษพวกข้า ……”

“เรื่องนี้พวกข้าจะไม่บอกอ๋องจิ้งหรอก ท่านได้โปรดจัดการเรื่องนี้อย่างระมัดระวังด้วย”สายตาของหลิ่วเอ๋อยังสะลึมสะลืออยู่ แต่กลับสามารถแสร้งเอ่ยปากพูดขึ้นได้อย่างไม่รู้สึกอะไร

ตระกูลตงฟางของฮองเฮาองค์ใหม่ได้รับความโปรดปรานก่อนหน้าที่ฮ่องเต้จะพระประชวร

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานะอันน่าอึดอัดของนางกำนัลหลิ่วเอ๋อ ฮองเฮาจึงได้นางในคนหนึ่งมาสอดแนมกลางดึก ไม่เพียงแต่ไม่สำเร็จ ยิ่งมีความเกี่ยวข้องต่อศักดิ์ศรีของฮ่องเต้ จึงทำได้เพียงแค่ระมัดระวังในการจัดการ

แม่ทัพเอ่ยขอบคุณของนางกำนัล แล้วจึงไม่กล้าอยู่ต่ออีก ได้เพียงแต่คิดว่าสองวันนี้ทางสำนักพระราชวังจะส่งเสบียงมาให้เยอะหน่อย

แต่ในระยะเวลาอันสั้นสองก้านธูป ขาทั้งสองข้างของหลิ่วเอ๋ออ่อนแรง จื่อเหมิงก็กระโดดตัวลงมาจากเตียง แล้วพูดขึ้นอย่างโกรธเคือง“นี่ตกลงมันหมายความว่าอย่างไรกัน!”

“ไม่รู้สิ”หยุนหว่านพูดเสร็จก็เดินออกมาจากด้านหลังของเตียง กริชเล่มนั้นก็ถูกกลับไปที่เดิม ตัวนางเองยังเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมา ใบหน้าเคร่งขรึม“ตกลงฮ่องเต้กับฮองเฮาอยากจะตามหาอะไรกันแน่ ยังมีคนที่อยู่นอกวังยืมมือของฮ่องเต้ลงมือเข้าแทรกแซง”

ทั้งสามคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความเงียบ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรบ้าง

เพียงแต่เกรงว่าถึงหลิ่วเอ๋อจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจทัดเทียมกับนางสนมคนใดในวังหลังได้ ทหารยามทั้งสองข้างต่างกลัวว่าจะไปขัดใจใคร พอได้ยินคำพูดของหลิ่วเอ๋อที่ว่าจะเก็บเป็นความลับ ถึงได้จัดการเรื่องนี้อย่างเงียบๆ

นางกำนัลคนนั้นไม่ได้ถืออาวุธ เกรงว่าน่าจะเป็นเพียงการโบยไม่กี่ที แล้วรายงานเรื่องไปยังเบื้องบน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้ แต่ทั้งสามก็นึกไม่ถึงว่าฮองเฮาจะลงมืออะไร นางกำนัลเมื่ออายุถึง เมื่อกระทำความผิดพอวันที่สองก็จะถูกโยนออกไปจากวังหลวง ทำอย่างโจ่งแจ้ง และไม่มีใครกล้านำเรื่องนี้ขึ้นทูลรายงานอ๋องจิ้ง แม้แต่หวางกงกงที่รู้เรื่องนี้ก็ตาม เพียงแค่พูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ“ถ้าหากทางนางกำนัลหลิ่วเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ก็ให้ส่งให้ฮองเฮาจัดการก็พอ ไม่ต้องใช้เรื่องพวกนี้มารบกวนอ๋องจิ้ง”

เหล่าทหารยามทั้งหลายต่างก้มหน้าก้มตาด้วยความอับอาย ไม่พูดอะไรให้มากความอีก

นางกำนัลคนนั้นพอออกจากวังหลวงมาได้ก็ส่งข่าวไปที่จวนขององค์ชายเก้า

ได้ยินนางกำนัลคนนี้บอกว่านอกจากหลิ่วเอ๋อกับจื่อเหมิงแล้วก็ไม่พบใครอีก หัวใจคงเขาถูกบีบรัดจนแน่น

ซ่านต้วนเฟิงที่ได้ยิน ใบหน้าก็เคร่งขรึมลงมาทันที“ถ้าอย่างนั้นแล้ว หยุนหว่านก็ไม่ได้อยู่ในวังหลวง มาวันนี้พวกข้ายังสามารถที่จะ……”

“ตอนนี้โรงเตี๊ยมไม่ได้มีเพียงแค่ราชทูตของเอ่อตาน ถ้าหากบุกผลีผลามไปสอดแนมถูกซ่านจินจื๋อพบเข้า ศีรษะของเจ้าคงไม่อยากได้แล้วสินะ”กู้เฉิงจับจ้องไปที่ซ่านต้วนเฟิง รีบเก็บจดหมายอย่างรวดเร็วอย่างไม่เหลือร่องรอย พลางพูดขึ้นว่า“ทำตามแผนก่อนหน้านั้นนั่นแหละ ขอเพียงแค่เจ้ายังมีลมหายใจ ก็ย่อมมีความหวัง เลือดเนื้อเชื้อไขของราชวางค์ซ่านก็สามารถที่จะสืบทอดได้ เจ้ายังหนุ่มนัก ไม่ต้องรีบร้อน”

ซ่านต้วนเฟิงกัดกรามจนแน่น ไม่พูดอะไรสักคำ

ในขณะที่กู้เฉิงกำลังสับสนวุ่นวายใจอยู่นั้น ซ่านต้วนเฟิงก็เอ่ยขึ้นมาว่า“ก่อนหน้านี้ขอเพียงพวกเราเอากู้อ้าวเวยเป็นหมากตัวหนึ่ง มาวันนี้ทำให้นางกลายเป็นตัวช่วยสุดท้าย เจ้าไม่กลัวว่านางจะคิดแผนการทำอะไรหรือ”

“พวกเราไม่สามารถถอยหลังได้อีกแล้ว”ถูกจุดประเด็นขึ้นมา กู้เฉิงกลับไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองถึงเดินมาถึงขั้นนี้ได้

ตอนแรกทุกอย่างควรอยู่ในการควบคุมของเขา

แต่นับตั้งแต่สองปีก่อนซ่านต้วนเฟิงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากที่ไม่ไว้ใจและเกลียดชังซ่านต้วนโฉง แม้แต่ยังเฉยชาต่อไทเฮา มาวันนี้กลับจงรักภักดียินยอมที่จะรับหน้าที่อันใหญ่หลวง การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่รู้ว่าเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำให้ศัตรูสองคนมายืนอยู่เรือลำเดียวกันได้ แทบจะทำให้ยากต่อการทำลายได้

ตอนแรกอยากจะให้ซ่านเซิ่งหานที่อดรนทนไม่ไหวโผล่หางออกไปก่อน แล้วค่อยรอจังหวะเหมาะๆ แน่นอนว่าซ่านต้วนเฟิงสามารถใช้องค์ชายสามเป็นหินที่รองเท้าก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ แต่องค์ชายสามคนนี้กลับไม่หยิ่งผยองและไม่รีบไม่ร้อน

ซ่านจินจื๋อก็ดี ซ่านเซิ่งหานก็เถอะ

ชายทั้งสองคนนี้ต้องไปตกอยู่ใต้กระโปรงของผู้หญิงคนหนึ่ง กลับไม่เคยทำอะไรที่เป็นการผลีผลามต่อผู้หญิงคนนี้เลย

เพราะอะไร?

กู้เฉิงมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวที่มีโซ่ตรวนกุญแจมือเพียงแค่นั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนอย่างนิ่งเฉย บนไหล่ยังมีใบสีเหลืองที่แห้งตายพัดปลิวลงมา มองไปชัดๆในมือของนางกำลังจับตำราม้วนอยู่ ราวกับรู้สึกได้ว่ามีสายตาของกู้เฉิงมองมานางจึงเบนหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วตั้งใจเอ่ยขึ้นเสียงดัง“คิดอะไรอยู่ล่ะ?”

น้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้านิ่งเฉย ไม่เหมือนคนที่โดนคุมขังไว้เลยแม้แต่น้อย

“แย่แล้ว!”ด้านนอกมีเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของคนรับใช้ดังขึ้นขัดความคิดของเขา คนผู้นั้นพุ่งตรงเข้ามาอย่างตะลุมล้มลุก เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ“อ๋องจิ้งรับปากกับตระกูลซู๋ว่าจะตรวจสอบเรื่องสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ยังจะไต่สวนความผิดโทษของนางกำนัลหลิ่วด้วย นำส่งออกมาจากวังหลวง”

สีหน้าของกู้เฉิงในตอนนี้เปลี่ยนไป“เหตุใดถึงให้ตระกูลซู๋เป็นผู้รับผิดชอบ มาวันนี้ตระกูลซู๋ยังคำนึงหาองค์ชายที่ไม่มีแม่ เขาไม่กลัวจะ……”

“ดูท่าเขาแล้วราวกับจะปล่อยตัวกำนัลหลิ่วออกมา อีกทั้งเขายังกระชับมิตรกับตระกูลซู๋!ใครไม่รู้บ้างว่าฮองเฮาในตอนนั้นช่วยคนตระกูลซู๋เลื่อนตำแหน่งมามากเท่าไหร่!”ซ่านต้วนเฟิงตบโต๊ะเสียงดัง แก้วน้ำชาที่เต็มจอกถูกสาดกระเซ็นจนเปื้อนแขนเสื้อของเขา เขาทำได้เพียงแค่ตาแดงก่ำ

“ดูท่าแล้วคนร้ายที่ปลิดชีพฮองเฮาในตอนนั้น จะไม่ใช่องค์ชายสาม”กู้อ้าวเวยพูดเสียงเบา นำม้วนตำราในมือวางลงอย่างช้าๆ สายตามีรังสีอำมหิตพาดผ่าน

บุบผาร้อยเสน่ห์

บุบผาร้อยเสน่ห์

Status: Ongoing

ฟิ้ววว นางข้ามพภแล้ว!!!แพทย์โดดเด่นทันสมัยกู้อ้าวเวยข้ามภพกลายเป็นลูกสาวคนโตของเฉิงเสี้ยง อยากฆ่าข้าหรือ?มีดผ่าตัดของข้าสามารถทำให้เจ้าพิการทั้งตัวเลยนะ เปิดร้านยา ช่วยชาวบ้าน ถึงจะเป็นฮ่องเต้ก็อยากมาคบหาข้า นี่ท่านอ๋องชายเลว เจ้ากำลังแกล้งข้าอยู่รึ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท