บทที่ 816 ร่วมแรงร่วมใจ
ความคิดของลูกหลานราชวงศ์ทั้งหลายนั้นซับซ้อน เงื่อนงำก็มากมายเช่นเดียวกัน
แต่น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้พวกเขาสงสัยกันเองจนยากจะค้นพบความจริง ฉีหรัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการจากไปครั้งนี้ของกู้อ้าวเวยเป็นเพราะรู้เรื่องนี้เข้าให้จึงอยากหนีให้พ้น หรือว่าตัดสินใจไปจัดการเรื่องนี้ทั้งที่ไม่รู้เรื่องดังกล่าวเลยด้วยซ้ำกันแน่ ส่วนเยว่ชิงนั้นกลับยืนอยู่ด้านข้างกุ้ยมามาพลางปริปากเสียงแผ่ว “กู้อ้าวเวยเป็นคนส่งจดหมายแจ้งให้ทราบกันถ้วนหน้า บอกว่ากุ้ยมามานั้นสลักสำคัญยิ่ง”
เยว่ชิงนำจดหมายสองฉบับนี้ออกมา ก่อนหน้านี้นางยังไม่เคยให้ซ่านเซิ่งหานอ่านมันมาก่อนเลย
เพียงแต่นึกถึงคำพูดที่ซ่านเซิ่งหานเอ่ยก่อนหน้านี้ ภายในใจของนางก็ได้ตัดสินใจทุบโถให้แตกยิ่งกว่าเดิม เป็นการดีกว่าที่ตนจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพื่อให้เขาไปแก้ปัญหาในมือให้แล้วเสร็จ
ซ่านเชียนหยวนรับจดหมายไว้อย่างร้อนรน ก่อนขมวดคิ้ว “นางรู้แล้วถึงได้จากไป”
“เช่นนั้นนางก็ควรกลับไปเอ่อตาน อย่างไรเสียหยุนหว่านฮูหยิน…” ถ้อยคำของฉีหรัวชะงักกึกครั้นมองเห็นจดหมายฉบับที่สอง บนนั้นเขียนไว้ว่านางจะไปยุติข้อตกลงกับซ่านจินจื๋อ
ทั้งสองสบสายตากันแวบหนึ่ง ต่างนิ่งงันกันไป
ซางนิงก็พรวดมาด้านหน้า หลังจากอ่านอย่างเร่งรีบปราดหนึ่ง ก็หน้าดำคร่ำเครียดเจียนจะมีน้ำหยดออกมา
“ข้อตกลงอันใด?” มีเพียงเยว่ชิงที่ไม่รู้เรื่อง
“ด่านลั่วสุ่ย ข้อตกลงที่จะบอกความจริงของปริศนาแห่งความเป็นอมตะให้รู้กันถ้วนหน้า” ฉีหรัวอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ สายตาอันเฉียบคมโปรยตกไปที่คราบเลือดบนตัวของซางนิงซึ่งอยู่ต่อหน้า และมองคนผู้นั้นที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดอยู่ในป่าปราดหนึ่ง สีหน้าพลันขาวซีดขึ้นหลายขนัด “เนื้อผ้าพวกนั้น ดูเหมือนจะเป็นของตำหนักอ๋องจิ้ง…”
ฉีหรัวปิดปากไว้ด้วยสีหน้าพะอืดพะอมก่อนถอยไปอยู่ด้านหลังของซ่านเชียนหยวนหลายก้าว ซ่านเชียนหยวนได้แต่รีบมองก่อนหรี่ตาลงน้อยๆ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าซางนิงมาทำอะไรอยู่ที่นี่
จัดการผู้ที่ส่งข่าวสารให้อ๋องจิ้งพวกนั้น ปฏิบัติภารกิจให้แก่ฮ่องเต้นั่นเอง
กุ้ยมามาสวดอามิตตาพุทธอยู่หลายที มีเพียงเยว่ชิงที่ก้าวไปข้างหน้า “ไม่สู้พูดเรื่องเป็นการเป็นงานดีกว่า?”
หลายคนได้แต่ปิดซ่อนความคิดของตนเองเอาไว้ ซางนิงมองไปที่ดาบยาวในมือ เนิ่นนานภายในใจก็ไม่สามารถสงบลงได้เลย หงเซียวก็มองขึ้นมาหลายทีด้วยความกังวล กลับค้นพบว่าครั้งนี้ซางนิงตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ ส่วนกุ้ยมามานั้นร่ำไห้ไร้สำเนียงพลางปาดน้ำหูน้ำตา “ต้องโทษบ่าวที่ตอนนั้นไม่ทันสังเกต เวลานี้ไทเฮาผู้ตรากตรำถูกกักบริเวณอยู่ที่อารามไป๋หม่า”
“กุ้ยมามา เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว ท่านไปพักที่ตำหนักของข้าก่อนสักระยะ จำไว้ว่าห้ามให้ผู้อื่นสังเกตเห็นเด็ดขาด” ซ่านเชียนหยวนได้แต่ก้าวไปเบื้องหน้า เขาชื่นชอบเสด็จย่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ย่อมต้องชื่นชอบกุ้ยมามาที่รักใครเขามาตั้งแต่เด็กคนนี้อยู่แล้ว
ฉีหรัวมุ่นคิ้วมองไปที่หงเซียวซึ่งส่งกำลังคนไปห่อศพภายในใจป่าเอาไว้ให้เรียบร้อย และติดตามฉีหรัวอย่างใกล้ชิด “อ๋องจิ้งเคยให้ข้าเชื่อฟังคำสั่งของท่าน”
“ไปหากู้อ้าวเวยยังจุดที่ส่งจดหมายมา บอกมาว่านางยังมีลูกที่น่ารักอยู่สองคน” ฉีหรัวเอ่ยปากเสียงกระซิบ พับเก็บอาการตื่นตระหนกเอาไว้
“แต่ถ้าหากข้าไปแล้ว ก็ไม่มีใครคอยปกป้องท่าน”
“ในพระเนตรของฮ่องเต้ไหนเลยจะมีบุตรีแห่งพ่อค้าวาณิชตัวเล็กๆ อย่างข้าคนนี้กัน เขาผลักไสไล่ส่งเสียนเฟย ก็เพื่อจะตั้งมั่นต่อกรกับอ๋องจงผิงอย่างแน่วแน่ แต่ยังไม่ถึงขั้นใช้ชะตาชีวิตของสตรีอย่างข้าไปมีเอี่ยวด้วย” ฉีหรัวตบบ่าของเขาน้อยๆ “ข้ารู้ว่าซางนิงล้างบางญาติเพื่อความจงรักภักดี คนในตระกูลที่เหลืออยู่ของพวกเจ้าล้วนซื่อสัตย์ภักดี ควรภักดีต่อใต้หล้าชางหลาน แต่มิใช่ซื่อสัตย์อย่างโง่งมต่อโอรสสวรรค์ขี้กระผีก”
ลำคอของหงเซียวบีบแน่น โค้งกายอย่างหนักแน่นด้วยอาการสับสน ก่อนสาวเท้าไปไถ่ถามสถานการณ์ของทางฝั่งเยว่ชิง และก้าวฉับๆ เดินออกไป
ซ่านเชียนหยวนเกณฑ์คนส่งกุ้ยมามากลับไป สายตาโปรยตกอยู่บนแผ่นหลังของฉีหรัวอยู่เป็นนาน แสงสว่างที่ถูกคั่นระหว่างกิ่งไม้ดูสลัวอย่างเห็นได้ชัดแม้จะเคยส่งผ่านบนร่างของลี่วาน เขาก็ไม่เคยใจระส่ำเยี่ยงนี้มาก่อน เดินก้าวไปเบื้องหน้าอย่างรีบร้อน อยากจะพูดว่าตนเองและราชวงศ์ตระกูลซ่านนั้นแตกต่างกัน
แต่เมื่อมองเห็นแววอ่อนโยนในดวงตาของฉีหรัว กลับเอ่ยคำใดไม่ออก ได้แต่กุมมือของนางอย่างแน่นหนา นิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
ฉีหรัวกุมมือเขากลับอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าโชคดีกว่ากู้อ้าวเวยมากนัก”
“ข้าไม่คู่ควรกับเจ้าเลย” ซ่านเชียนหยวนพูดประโยคนี้ออกมาจากลำคออย่างเครียด “ในราชวงศ์ตระกูลซ่านของพวกเรามีเรื่องราวต่างๆ มากมาย แม้จะเป็นข้าเองก็เคยแต่งภรรยา และเคย…”
“สิ่งที่ข้าต้องการคืออดีตของท่าน แต่ข้าก็ซาบซึ้งท่านที่อดีตเหล่านั้นหล่อหลอมมาจนปัจจุบันนี้เช่นเดียวกัน” ฉีหรัวเขย่งปลายเท้าขึ้นมา มือสองข้างคล้องบนไหล่ของเขาเบาๆ โอบรอบท้ายทอยของเขา เสมือนว่าคนทั้งคนล้วนห้อยอยู่ในอ้อมอกของเขา “แม้ข้าจะเคยป่วยออดแอดและไม่เคยถูกปฏิบัติเหมือนคุณหนูคนหนึ่งมาก่อน แต่ข้าก็ยังเป็นคุณหนูรองตระกูลฉีอยู่เสมอ”
“แต่หลังจากที่กู้อ้าวเวยรู้ว่านางหาใช่ลูกแท้ๆ ของกู้เฉิงไม่ นางก็มิได้เป็นอะไรสักอย่าง”
กู้อ้าวเวยในความทรงจำของนาง ยังคงเป็นผู้หญิงที่ปีนหน้าต่างตามหลังน้องชายตัวป่วนของนางคนนั้นอยู่ บนหน้ามักจะเจือรอยยิ้มบางๆ ยินดีแอบหนีตามคุณชายเจ้าสำอางที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันเพื่อไปรักษาอาการป่วยถึงจวนผู้อื่น นับประสาอะไรกับคำพูดอวดดีของคนอื่น จะทำให้นางลุกขึ้นมาเดินบนหนทางของตน
ทว่าตอนนี้ นางยังคงยิ้มอยู่เสมอ แต่กลับมิได้ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
สายตาของซ่านเชียนหยวนพลันหม่นแววลงเช่นกัน “ตอนนั้นข้ายังไปก่อเรื่องกับฉีหลินอยู่เลย ด้วยหวังว่านางจะออกมาเดินเล่นข้างนอกให้มากหน่อย ท่าทีตื่นตระหนกและหัวเสียวูบนั้นของนาง ตอนนี้ข้าก็ยังจำได้…”
กล่าวถึงตรงนี้ ซ่านเชียนหยวนกลับเริ่มเอ่ยต่อไปมิได้อีกแล้ว “พวกเราเป็นหนี้นาง”
“พวกเราคือเพื่อนของนาง” ฉีหรัวตบท้ายทอยของเขาเบาๆ “พาข้ากลับไป พวกเราจะจัดการเรื่องนี้กัน ฮ่องเต้ทรงระแวงไทเฮาเยี่ยงนี้ กระทั่งไม่เสียดายจะกักขังไทเฮาแห่งแว่นแคว้นอยู่ในอารามแห่งหนึ่ง จะต้องมีสาเหตุในนั้นเป็นแน่ พวกเราต้องเร่งฝีเท้าให้ไวกว่านี้”
ซ่านเชียนหยวนถูใบหน้าอย่างกระดากอาย แต่ยังคงโอบคนในอ้อมแขนไว้แน่น “นี่มันไม่เหมาะสม”
“ท่านไม่ชอบหรือ?” ฉีหรัวเบ้ปากตีเขา
ซ่านเชียนหยวนหัวเราะร่วน ทำเพียงโอบคนในอ้อมแขนให้แน่นกว่าเดิมเล็กน้อย แสดงวิชาตัวเบา แล้วโจนตัวขึ้นไปด้านบน
หลังจากซางนิงได้พบกุ้ยมามาก็แปลกไปเล็กน้อยอย่างชัดเจน เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่ากุ้ยมามาเป็นบ่าวแบบใด ปีนั้นนางเป็นกระทั่งสาวใช้ออกเรือนของไทเฮา ทั้งยังหาใช่บ่าวไพร่ที่แท้จริงคนหนึ่งไม่ หากแต่เป็นญาติผู้น้องของไทเฮา ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน จากบุตรีอนุในปีนั้นไต่เต้าถึงตำแหน่งในปัจจุบัน นับว่าไม่ง่ายเลย
ทว่าเวลานี้ท้ายที่สุดอายุก็มากแล้ว ต้องเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่เติบโตขึ้น จึงไร้อำนาจไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ท้ายที่สุดเขายังต้องหยั่งเชิงสักตั้ง
ส่งป้ายพกเข้าวังแล้ว บรรลุถึงห้องทรงงาน ซ่านต้วนโฉงจัดการฎีกาเอกสารราชการในมือ ถามเขาโดยไม่เงยหน้ามอง “คนพวกนั้นจัดการหมดหรือไม่?”
“ทูลฝ่าบาท ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องนี้” ซางนิงก้มหน้า มุ่นคิ้วจมอยู่ในภวังค์เป็นเวลาเนิ่นนาน
ซ่านต้วนโฉงไม่ได้ยินคำกล่าวรายงานต่อไปของซางนิงเป็นนาน คราวนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองเขา “เกิดเรื่องอันใด?”
“ตอนนี้ผู้น้อยกลับมา ดูเหมือนจะเห็นเงาของกุ้ยมามาแวบๆ นางแบกข้าวของไม่น้อยไปในคอกม้า ดูเหมือนจะ…”
“ปึก…” ด้ามปากกาของซ่านต้วนโฉงถูกหักเป็นสองท่อนเสียงดัง มองซางนิงอย่างเพ่งพิศ จนกระทั่งมองเห็นซางนิงยังคงมีอาการราบเรียบตามเดิม จึงตรัวส่า “ไม่ได้บอกว่ากุ้ยมามาหายตัวไปหรอกหรือ เจ้าไล่ตามทันหรือไม่?”
“ผู้น้อยส่งคนไปตามแล้ว ต้องการให้ผู้น้อยส่งคนนำตัวนางกลับไปยังอารามไป๋หม่าหรือไม่?” ซางนิงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้
“ส่งคนไปนำตัวกุ้ยมามาส่งกลับมาที่วัง ข้าจะเกณฑ์คนไปส่งนางกลับอารามไป๋หม่าอีกทีเอง” ซ่านต้วนโฉงโบกมือ
ดวงตาของซางนิงควบแน่นเป็นน้ำแข็ง สายตาหม่นแววลง
ฮ่องเต้กตัญญูรู้คุณเรื่อยมา ปฏิบัติต่อมามาผู้นี้ราวกับแม่นมก็มิปาน แม้ว่าการให้เขาส่งไปด้วยตัวเองจะเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ทว่าตอนนี้กระทั่งไม่ยอมให้ผู้ใต้บัญชาของเขาส่งตัวคนกลับไป เรื่องนี้ช่างทะแม่งๆ เสียจริง
“ฮ่องเต้ ผู้น้อยอยากไปพบอ๋องจิ้งสักหน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะสงสัยให้ผู้น้อยพ่ะย่ะค่ะ” ซางนิงเอ่ยความเห็นเสียงต่ำ แววตาหวนสู่ความแจ้งกระจ่างอีกครั้ง
ดวงตาของซ่านต้วนโฉงหรี่ลงน้อยๆ จากนั้นจึงหยัดตัวคล้ายจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ พยุงซางนิงขึ้นมาด้วยตัวเอง ก่อนกล่าวอย่างจนปัญญา “ผู้อาวุโส ท่านคงไม่หักหลังข้า ใช่หรือไม่?”
“ผู้น้อยยินดีแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท” ซางนิงประสานมือคารวะ ซ่านต้วนโฉงยิ้มแล้วตบบนบ่าของเขา แล้วให้เขาไปกระจายข่าว
ส่วนซางนิงเองก็รู้เช่นกันว่าเมื่อครู่หวางกงกงเพิ่งจะออกไปจากห้องทรงงาน คล้ายไปเกณฑ์คนสะกดรอยตามเขา