บทที่ 811 ร้องขอความจริง
ซูพ่านเอ๋อกำลังจ้องมองขั้นบันไดอันแสนสูงชันและทอดยาวขึ้นไปบนภูเขาอย่างเหลือเชื่อ
กู้อ้าวเวยทำได้เพียงแค่นำโซ่ตรวนและกุญแจมือมามัดซูพ่านเอ๋อและม้าไว้กับต้นไม้กลางป่าลึก เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็ล้วนถูกไฟเผาไม่เป็นชิ้นดี ณ เวลานี้ กู้อ้าวเวยสวมแต่ชุดคลุมสีดำ หมวกก็ยังมาบดบังใบหน้า ขณะที่ซูพ่านเอ๋อกลับสวมใส่ชุดสีขาว ทันใดนั้นกู้อ้าวเวยอดบ่นพึมพำไม่ได้ว่า “ทำไมพวกเราต้องมาอารามไป๋หม่ากันด้วย”
“ไทเฮาเสด็จกลับวัง ทั้งยังมีโอกาสพลิกผันสถานการณ์”ซูพ่านเอ๋อตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา กู้อ้าวเวยกลับไม่สบายใจ ซ้ำมิวายปิดปากซูพ่านเอ๋อไว้เลี่ยงมิให้หลวงจีนบริเวณรอบข้างนำตัวเธอไป
กู้อ้าวเวยก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมกับพกถุงใส่เงินและห่อยาเพียงลำพัง
ข้อมือที่อยู่ภายใต้ชุดคลุมสีดำเต็มไปด้วยรอยบาดแผล ห่อยาที่สะพายไว้ก็ว่างเปล่าไปแล้วเสียครึ่งหนึ่ง เชือกแดงบนข้อมือเปียกชุ่มไปด้วยน้ำจากลำธารใกล้เคียง ซึ่งมันเหนียวและทำให้ข้อมือรู้สึกแสบไรๆ ถึงอย่างนั้นถึงกระนั้นกู้อ้าวเวยก็ยังมิยอมตัดใจถอดมันทิ้งไปเสีย
ในเมื่อตกลงปลงใจร่วมใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกับซ่านจินจื๋อแล้วนั้น กู้อ้าวเว่ยย่อมช่วยขจัดอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ให้แก่เขา
กู้อ้าวเวยก้าวเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายด้วยแววตาอันมุ่งมั่น และพบกับหลวงจีนน้อยที่กำลังกวาดลานอารามอยู่พร้อมกับถามว่า “โยมมาที่นี่ด้วยการใด……”
“ข้ามาหาไทเฮา โปรดนำป้ายนี้ไปด้วย” กู้อ้าวเวยนำป้ายพกของอ๋องจิ้งออกมามอบให้ ทีแรกหลวงจีนน้อยหยุดชะงักชั่วขณะถึงจะพยักหน้าแล้วรีบนำป้ายพกไปถามผู้เป็นอาจารย์
กู้อ้าวเวยยืนรออยู่เช่นนั้นราวหนึ่งก้านธูปก็มีนางกำนัลรีบวิ่งออกมา พร้อมกับมองใบหน้าที่อยู่ภายใต้หมวกปกคลุมพลางบ่นพึมพำถึงค่อยเชิญกู้อ้าวเวยเข้าไป “เดิมทีไทเฮาเข้าใจว่าเป็นข้ารับใช้ของอ๋องจิ้ง องค์หญิงท่านช่าง……”
“ข้านั้นหาใช่องค์หญิงไม่” กู้อ้าวเวยกล่าวออกมาลอยๆ แล้วจึงเดินตามนางกำนัลเดินนางนั้นเข้าไปข้างใน
แต่ที่พำนักของไทเฮาในครั้งนี้แตกต่างกับคราก่อนนัก นางกำนัลที่อยู่ข้างๆดูท่าเหมือนจะมองออกในความสงสัยของกู้อ้าวเวยแล้วรีบเอ่ยว่า “ที่แห่งนี้เดิมเป็นที่พำนักของเสียนเฟย ทว่าการเฝ้าเวรยามของที่นี่นั้นหละหลวม ไทเฮาจึงเสด็จมาได้โดยไม่มีใครล่วงรู้ ส่วนตำหนักหลักนั่นมีเพียงตัวปลอมอยู่ก็เท่านั้น”
ตอนนั้นเหตุใดกู้อ้าวเวยถึงไม่เอะใจสงสัย
อันที่จริงคราก่อนที่มาพร้อมกันกับซ่านเซิ่งหาน กู้อ้าวเวยก็สงสัยอยู่แล้ว เพียงแต่คิดว่าการที่ไทเฮากับฮ่องเต้ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันนั้นไม่เห็นตนก็เป็นเรื่องที่พอจะให้อภัยกันได้ ทว่า ณ ขณะนี้เมื่อพินิจ โดยละเอียดแล้วก็พบว่าไทเฮาเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ก็เท่านั้น
ระหว่างเดินเข้าไปยังตำหนักรอง ไทเฮาที่เคยพบเห็นนั้นไร้ซึ่งภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามไปเสียแล้ว ขณะที่ประทับร่วมกับเสียนเฟยในแววตามีเพียงแต่การโทษตนเอง แม้แต่สายตาที่มองมายังกู้อ้าวเวยก็มีความรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ไทเฮาอาจยังรอให้กู้อ้าวเวยศรัทธาต่อตัวไทเฮาเฉกเช่นเดิมกับเมื่อครั้งในอดีต
กู้อ้าวเวยค่อยๆ ดึงหมวกลงอย่างช้าๆ เผยให้เห็นถึงใบหน้าอันแสนคุ้นเคย กระนั้นก็ไม่ได้ถวายบังคมแต่อย่างใด มีเพียงแค่ก้าวเข้ามาใกล้ๆพร้อมกับเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ที่เวยเอ๋อมาในวันนี้ก็เพียงแค่มาหาความจริงเมื่อตอนนั้น”
ความหวังสุดท้ายในแววตาของไทเฮาก็ดับวูบไป เสียนเฟยที่ประทับอยู่ข้างๆ มองดูหญิงสาวที่ก่อความยุ่งยากแก่ชีวิตลูกชายของตนอย่างไม่พอใจ เสียนเฟยกำผ้าเช็ดหน้าจนแน่นพร้อมกล่าวว่า “เจ้าพูดเช่นนี้กับไทเฮาได้อย่างไรกัน”
“ขณะนี้ ข้าว่าตัวการที่ก่อกรรมทำเข็ญบันดาลให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น เกรงจะไม่ใช่ฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว” กู้อ้าวเวยปรายสายตาอันแสนเย็นชามองไปยังเสียนเฟยผู้สิริโฉม คำพูดที่สนทนากลับกลายเป็นการกล่าวเตือน มิหนำซ้ำนางยังเข้าไปมีส่วนร่วมในการโต้แย้งนี้ด้วย
เสียนเฟยตบโต๊ะขึ้นเพื่อให้คนลากตัวนางไปประหนึ่งว่าเป็นคนร้าย
แต่ไทเฮากลับโบกมืออย่างช้าๆ “ข้าเพียงแต่ทำเพื่อให้พระองค์เป็นฮ่องเต้ที่ดี และแน่นอนว่าก่อเรื่องไม่น่าให้อภัยอยู่ไม่น้อย กระนั้นข้าก็ไม่คิดเลยว่าพระองค์จะมีความคิดเช่นนี้กับโอรสของตน”
“พระองค์หาใช่ไม่สนใจใยดีโอรสของตนไม่ หากแต่หวังว่าซ่านจินจื๋อได้ลองลิ้มรสชาติของการได้ครอบครองบัลลังก์และต้องสูญเสียซึ่งความรัก แรกเริ่มหากซ่านจินจื๋อไม่ใช่เพื่อไปอยู่กับซูพ่านเอ๋อ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คงไม่เกิด” กู้อ้าวเวยจ้องมองด้วยตาถมึงทึง นางเดินไปยังไทเฮาด้วยท่าทางที่ดุดันพร้อมกับอาการว้าวุ่นใจอันเกิดจากพิษพร้อมกับตวาดออกมาว่า “อย่างไรเสียเขาก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านให้เชื่อฟังน้องชายแท้ๆ ของตน ด้วยการใช้ความเป็นพี่น้องมาแก้แค้น องค์ชายเหล่านั้นก็ล้วนแต่จะล้างแค้นท่าน”
“บังอาจ” ในที่สุดเสียนเฟยก็ตบโต๊ะ เหล่าองครักษ์นอกประตูที่พอจะไว้ใจได้ได้เข้ามาล้อมไว้พร้อมกับเสียงบานประตูที่ถูกปิดสนิทในชั่วพริบตา
“ก็ด้วยเหตุที่ท่านอบรมสั่งสอนเขาว่าด้วยการใหญ่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด มีทายาทสืบสกุลให้แก่ราชวงศ์ และเป็นฮ่องเต้ที่ดี หากแต่เคยขอให้ทำหน้าที่พ่อที่ดี และกลายเป็นฮ่องเต้ที่รู้การรู้งานเฉกเช่นเดียวกับพระบิดาของเขา” กู้อ้าวเวยกล่าวต่อไปอย่างมิลังเล ต่อให้มีดยาวสองเล่มวางพาดบ่าทั้งสองข้างรั้งคอนางไว้ ความรู้สึกเจ็บแสบไรๆ เจือเสียงของหยาดเลือดที่หยดลงมากระทุ้งลงในหัวใจ
ไทเฮากล่าวขณะที่ตัวสั่นเทาพร้อมพยุงตนขึ้นมาว่า “ถอยออกไป……”
องครักษ์เหล่านั้นทำได้เพียงชักมีดที่อยู่ในมือคืนไป ทางด้านไทเฮาที่มองไปยังนางด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดพร้อมกับสอดส่องตรวจดูร่างกายของนางอย่างละเอียดทุกตารางนิ้ว แล้วเสียงค่อยๆเริ่มดังขึ้นมา กู้อ้าวเวยมิได้ถูกคุมตัวเช่นนี้อีกต่อไปจึงมิต้องระแวดระวังภัย “แม้แต่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างเจ้าก็สามารถทำสิ่งสำคัญเพื่อการใหญ่ได้เพียงแค่เจ้าถอยออกจากสานสัมพันธ์พี่น้องของพวกเขา”
“ข้านั้นยังไม่เคยทำสิ่งสำคัญเพื่อการใหญ่ได้สำเร็จเลย สิ่งที่ข้าทำไปทั้งหมดนั้นก็ล้วนแต่ทำเพราะข้าอยากจะทำ” กู้อ้าวเวยได้ถอดชุดคลุมสีดำออก อาภรณ์สีดำที่เหลืออยู่มิอาจบดบังรอยแผลเป็นที่ลุกลามไปบริเวณลำคอ และมิสามารถซับเลือดสีแดงฉานไว้ได้หมด
ราวกับว่ากองกระดูกอันแสนแห้งกรังนับหลายชิ้นได้กลายเป็นรอยสีดำช้ำ เลื้อยลดคดเคี้ยวไปบนผิวพรรณที่ขาวผุดผ่อง
เสียนเฟยตะวาดให้ถอยกลับด้วยความตกใจ ในแววตาของไทเฮานั้นกู้อ้าวเวยกลับขยับมาใกล้ “เพราะข้าไม่อยากให้เขาเห็นสิ่งเหล่านี้ถึงได้จากมา”
“และที่ข้ามายัง ณ ที่แห่งนี้ เพียงเพื่อหวังว่าท่านเล่าเรื่องราวเมื่อตอนนั้นให้แก่ข้า ข้าพร้อมยอมตระเตรียมแผนการให้แก่เขาและเหล่าหลานชาย” กู้อ้าวเวยได้ขยับเข้าไปในแววตาอันแสนประหลาดใจได้อีกก้าว หัวเข่าทั้งสองคุกเข่าลงไปยังพื้นพร้อมแววตาแน่วแน่อย่างไม่ลดละ
ไทเฮาทรุดตัวลงบนที่ประทับประหนึ่งว่าถอนหายใจไปจนไม่เหลือสิ้น “ในตอนนั้นหยูนซียังเทียบไม่ได้กับการพูดบีบเคล้นของเจ้าเลย”
“ถึงกระนั้นก็เห็นว่านางเป็นอิสตรีผู้อ่อนโยน ในเหล่าบรรดาวงศ์ตระกูลนั้นข้าได้เห็นสิ่งที่นางทำตลอดชั่วชีวิตคือการดำรงในคุณงามความดี ทว่าในปีที่นางจากไปกลับกำลังตั้งครรภ์” กู้อ้าวเวยหยิบคัมภีร์โบราณม้วนหนึ่งออกมา “ท่านเอาหลักฐานนี้ไปไว้ที่ตำบลเหยสุ่ย แม่หญิงตู้ถึงได้นำมันมามอบให้แก่ข้า อีกทั้งท่านยังไม่ได้ทำลายหลักฐานนี้ให้สิ้นซาก หรือว่านี่คือการพลิกผันสถานการณ์ครั้งสุดท้ายกันแน่”
“นี่เจ้า……” สีหน้าของไทเฮาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “คนที่เหยสุ่ยเหตุใดถึงได้……”
“หลังจากที่รู้ว่าท่านกับฮ่องเต้ละทิ้งพวกนาง พวกนางก็เล่าออกมาอย่างหมดเปลือก ซ้ำยังบอกข้าว่าท่านใช้ให้พวกนางเฝ้ารักษาหลักฐานชิ้นนี้ไว้เป็นอย่างดี” กู้อ้าวเวยนำคัมภีร์ที่อยู่ในมือออกมาร้อยเรียงใหม่พลางมองไปยังเสียนเฟยทีพลางเอ่ยวาจาว่า “หากว่าท่านนำเรื่องนี้เผยออกมาละก็ ซ่านเชียนหยวนคงพลอยโดนร่างแหเป็นแน่ เขาก็จะต้องรับเคราะห์จากเฉกเช่นที่ท่านเคยได้รับ”
“นี่เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร……”
“ฮ่องเต้ทรงสถาปนาบุคคลอันตรายดำรงตำแหน่งเป็นฮองเฮา เกรงว่าพระองค์คงอยากหาเกราะกำบังแล้วลงมือจัดการมือสังหารของท่าน ถึงจนป่านนี้หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ท่านก็เลยมิแคลงใจสงสัยว่าเหตุไฉนเลยถึงได้นำตัวท่านและไทเฮามาขังไว้ยังอารามไป๋หม่า ซ้ำยังให้อ๋องจงผิงรั้งไว้ที่เมืองเทียนเหยียนอย่างนั้นหรือ” กู้อ้าวเวยหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าของเสียนเฟยซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด
ทางฝั่งกู้อ้าวเวยยังคงมองไปที่ไทเฮาด้วยแววตาแสนเย็นชา “ซ่านต้วยเฟิงอยากจะทำลายตระกูลซ่านและราชวงศ์ให้สิ้นซาก ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไฉนเลยจะไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” หลายปีมานี้ราชสำนักชักหน้าไม่ถึงหลัง ท้ายที่สุดพวกยากไร้และผู้ลาภมากคงยากที่จะรอดพ้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าองค์ชายที่อาจก่อความโกลาหลขึ้นภายใน แต่อย่างไรเสียพระองค์ก็มิได้ประหารองค์ชายสักพระองค์ นั่นมิเท่ากับว่าอยากเห็นความวิบัติหรอกหรือ
“ข้า……ก็ว่าอย่างนั้น” ไทเฮาถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับว่าแก่ชราลงไปหลายสิบปี