บทที่ 818 โม่อี 2
ถ้ากล่าวถึงโม่อีผู้นี้ บุคคลที่ทั่วราชสำนักทั้งบู๊บุ๋นยังจำได้ว่าหาตัวจับยาก
โม่อียังเป็นลูกหลานพวกแร้นแค้น บิดาเป็นผู้คุ้มกันการขนส่ง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมคือแม่ของเขา ในเรือนยังมีน้องสาวสองคนที่รุ่นราวคราวเดียวกัน คนหนึ่งออกเรือนกับพ่อค้าเล็กๆ จากแดนไกลประกอบกิจการแพรพรรณ ส่วนน้องสาวอีกคนกลับเป็นดาราตัวน้อยที่มีชื่อเสียงระบือยุทธภพ วิทยายุทธ์โดดเด่น ปัจจุบันมอบตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิทยายุทธ์ เป็นประชาชนคนทั่วไปที่เต็มฝีจักร
ปีนั้นชางหลานยังไม่ให้ความสนใจกับการสอบวิทยายุทธ์ โม่อี ได้แต่ไปสอบเป็นพลทหารในกองทัพเพื่อให้น้องสาวได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดี มักจะเอาเงินมาเป็นสินเดิมให้น้องสาว วิทยายุทธ์ยังพอไปวัดไปวาได้ พอจะส่งเสริมเส้นทางให้คุณชายที่ร่ำรวยคนหนึ่งได้ หลังจากเหตุการณ์พลิกผันหลายหน ก็ได้ไปเฝ้าสุสานของฮ่องเต้องค์ก่อนทั้งที่อายุยังน้อย
และปีนั้นซ่านจินจื๋อก็ได้รู้จักกับโม่อี เพราะเรื่องการลอบสังหารในสุสานฮ่องเต้องค์ก่อน ปีนั้นโม่อีจึงได้สำแดงความสามารถ จัดการสยบทหารหน่วยกล้าตายสี่คนได้ด้วยตัวคนเดียว หลังจากต้องตาซ่านจินจื๋อ ก็ได้พาไปในกองทัพ
“เขาสงวนวาจา วิทยายุทธ์สูงแกร่ง แต่ยามปกติจะไม่ปรากฏตัวภายในโรงฝึก ว่ากันว่าพ่อเขาสอนเขาหนึ่งประโยค ถึงได้ไม่เปิดเผย คราวนี้จึงเป็นความสามารถที่มีพรสวรรค์นั่นเอง” ซ่านจินจื๋อกล่าวถึงจุดนี้ ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ปีนั้นเขาเคลื่อนพลกรำศึกพร้อมกับเขา ช่วยบังดาบให้ข้า ตอนท้ายข้าทอดมองไปที่เขา เขากลับเอ่ยวาจา ข้าจึงผูกมิตรกับสหายคนนี้”
เป็นครั้งแรกที่หลิ่วเอ๋อและจื่อเหมิงรู้ถึงภูมิหลังของโม่อีคนนี้ว่าแสนเรียบง่ายปานนั้น เวลานี้จื่อเหมิงกลับร้อนใจเล็กน้อย “อ๋องจิ้ง ท่านว่าเรื่องราวยุ่งเหยิงวุ่นวายพวกนี้ มีเจตนาอันใด?”
“เจตนาก็อยู่ในประโยคนี้นั่นเอง” ซ่านจินจื๋อวางจอกชาในมือลง ทอดถอนใจอย่างจนปัญญาหนึ่งเฮือก
เขาจำได้ว่าตอนนั้นโม่อีนอนอยู่บนเตียง นัยน์ตาเฉยเมยผิดวิสัยคู่นั้นกลับพราวระยับขึ้นมา มุมปากกระตุกขึ้นน้อยๆ “ท่านเป็นหนี้ชีวิตข้า แต่ข้าไม่ต้องการ ท่านแค่ส่งเงินไปให้น้องสาวสองคนของข้าเพิ่มก็พอแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ จื่อเหมิงแทบจะพ่นน้ำชาในปากออกมา “เขารักน้องสาวทั้งสองเสียจริง”
“น้องสาวทั้งสองคนนี้ของเขาเดินออกมาสุ่มๆ สักคน ล้วนไม่น้อยหน้าไปกว่าคุณหนูในเมืองเทียนเหยียน โอบล้อมทั้งครอบครัวเอาไว้ปานดาวล้อมเดือน เขาในฐานะพี่ชายก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน” ซ่านจินจื๋อเอ่ยถึงจุดนี้ กลับส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ตอนนั้นข้าก็ตกปากรับคำเขาไป เกณฑ์คนไปส่งทองคำสองร้อยตำลึงให้แก่พวกนาง ใครจะรู้ว่าน้องสาวทั้งสองของเขากลับระหกระเหินถ่อมาถึงเทียนเหยียน เฝ้ารอพวกเรากลับไปอย่างมีชัย แม่นางทั้งสองที่อุปนิสัยแตกต่างกันนั้นกอดทองคำยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก…”
“ยังจะมาคืนทองคำกระนั้นหรือ?” หลิ่วเอ๋ออุดปาดของจื่อเหมิงที่คิดจะตัดบท ก่อนเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
“พวกนางถามว่าพี่ชายตายหรือยัง” ซ่านจินจื๋อส่ายหน้า และจนด้วยเกล้า “ปีนั้นข้าอายุยังน้อย ได้เห็นก็รู้สึกน่าสนใจ จึงบอกว่าโม่อีช่วยข้าบังดาบไว้จนเสียชีวิต แม่นางสองคนนี้ไม่ร้องไห้และไม่โวยวายเลย นิ่งเงียบสักพัก ก็กอดทองคำพวกนั้นเอา ก่อนยื่นมาตรงหน้าของข้า”
จื่อเหมิงเบิกตากว้าง คล้ายกำลังจะถามว่าเมื่อไรจึงจะพูดจุดสำคัญเสียที
ซ่านจินจื๋อเหลือบไปที่หยุนหว่านที่นั่งอยู่ในม่านปราดหนึ่งอย่างถี่ถ้วน คราวนี้จึงปริปากเอ่ยคำ “เด็กสาวสองคนนี้พูดว่าทองคำสองร้อยตำลึงนี้ให้ตีเป็นเกราะและอาวุธสงครามให้พวกนาง ชีวิตของพวกนางก็เป็นของข้าแล้วเช่นกัน ซ้ำบอกว่าพี่ใหญ่ของพวกนางช่วยข้าด้วยชีวิต พวกนางก็จะทำเช่นนี้เหมือนกัน”
หลิ่วเอ๋อก็พลอยอ้าปากกว้างไปด้วย ไฉนจึงคิดไม่ถึงว่าในนั้นจะยังมีแม่นางคนหนึ่งที่เป็นคุณหนูผู้อ่อนช้อย
จื่อเหมิงกะพริบตาปริบๆ หยุนหว่านที่อยู่ในม่านกลับหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “แล้วต่อจากนั้นเล่า?”
“ข้าจึงถือว่าเขาเป็นญาติสนิทมิตรสหาย” ซ่านจินจื๋อกลับสู่อาการสงบดังเมื่อครู่ กล่าวราบเรียบ “บางคนทำเพื่อชีวิตสูงส่งตลอดกาล ทว่าทั้งครอบครัวของโม่อี กลับต่างออกไป พวกเขาชอบทำในสิ่งที่รัก และทำเรื่องมากมายเพื่อคนในครอบครัว บุคคลเช่นนี้ ท่ามกลางราชสำนักนั้นหาตัวจับยากยิ่งแล้ว”
“ท่านถึงกับคิดจะหลอกใช้ผู้อื่น” จื่อเหมิงบุ้ยปาก ดึงมือของหลิ่วเอ๋อออก สีหน้าเปี่ยมด้วยความรังเกียจ
ซ่านจินจื๋อไม่ปฏิเสธในเรื่องดังกล่าว เพียงแต่โม่อีในปีนั้นฉลาดเกินคน และไม่ได้เปิดโปงเขา แต่โชคชะตานั้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์นัก ในช่วงหลายปี พวกเขาไม่ได้พูดกันมากความ กลับเป็นพี่น้องที่ดีกันได้ ตอนนี้คิดขึ้นมาแล้ว ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “เขาเอาตัวบังดาบให้ข้า ด้วยหวังไม่อยากให้ข้าเกิดเรื่องจากใจจริง เป็นสหายสนิทกันหลายปี รบกวนกันและกันก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล”
เขายื่นกระดาษที่ยับยู่ยี่ในแขนเสื้อเข้ามา พลางกล่าวเสียงเคร่งขรึม “องครักษ์ในนครหลวงแห่งนี้ เป็นคนที่เขาเคี่ยวเข็ญออกมาเองกับมือ ลูกหลานคนยากไร้ คิดจะเข้าวังนั้นไม่ง่ายดายเลย”
จื่อเหมิงและหลิ่วเอ๋อไม่รู้กระทั่งว่าจดหมายนี้ได้มาจากไหน แม้แต่หยุนหว่านที่อยู่ในนั้นก็ยังมุ่นคิ้วน้อยๆ
ซ่านจินจื๋อเหลือบมองท่าทางงุนงงของไม่กี่คน ในใจพลันหม่นมัว
ถ้าหากกู้อ้าวเวยอยู่ที่นี่ ต่อให้ไม่รู้ว่าจดหมายนี้ส่งมาตอนไหน ก็คงเดาออกหลายส่วน จนกระทั่งได้อภิปรายกันด้วยซ้ำ นางสามารถเดาได้แปดเก้าส่วนเลยทีเดียว จากนั้นก็ยังเชิดปลายคางขึ้นน้อยๆ ในดวงตาเจือแววได้ใจและมุ่งมั่นพลางกล่าวกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ท่านยังคงออมมือให้อยู่เลยเชียว”
ฉากภาพภายในสมองเหมือนจริงจนน่าทึ่ง ซ่านจินจื๋อกลับไม่ทันสังเกตว่าเรียวแขนของตนออกแรงไปเล็กน้อยจนจอกชาบนขอบโต๊ะตกกระแทกพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง ทำเอาหลิ่วเอ๋อและจื่อเหมิงสะดุ้งโหยง จื่อเหมิงยิ่งลูบลำคอแล้วกระโดดขึ้นมาจากที่นั่ง คำรามเสียงต่ำ “อ๋องจิ้งไฉนจึงหัวเสียขึ้นมากะทันหัน ตกใจแทบแย่”
หลิ่วเอ๋อก็ขนลุกซู่ไปทั่วร่าง คราวนี้ซ่านจินจื๋อตระหนักถึงความเดือดดาลที่ข่มกั้นไว้ในก้นบึ้งหัวใจไม่อยู่เสี้ยวนั้นของตน จึงเก็บกลั้นลมหายใจ ยกมือขึ้นนวดขมับ “พูดถึงเรื่องเป็นการเป็นงานเถิด”
หยุนหว่านกลับไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ได้แต่ขยิบตาให้กับหลิ่วเอ๋อ คราวนี้หลิ่วเอ๋อจึงชักมือกลับมา กล่าวถาม “เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว โม่อี ยามปกติก็มิได้อวดเบ่ง ดังนั้นคงไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับองครักษ์ต้องห้ามพวกนั้นใช่หรือไม่? เช่นนั้นพวกเราก็จะ…”
“องครักษ์ในวังหลวงคุ้มกันกวดขัน หากคิดนำคนหนีออกมาคงจะโจ่งแจ้งเกินไป” ซ่านจินจื๋อส่ายหน้า หันไปมองทางหยุนหว่านอีกครั้ง “วันนี้ทำร้ายองครักษ์ต้องห้ามจนบาดเจ็บสองนาย ชุดต่อไปก็ควรจะเป็นการตอบโต้ภายใน ข้าไม่สามารถรอเฝ้าอยู่ข้างกายท่านในทุกๆ วันได้ วันหน้า หากพวกท่านมีเรื่องสำคัญอันใด ให้ไว้วางใจองครักษ์สองนายนั้นได้”
หยุนหว่านพยักหน้าตาม “เจ้าเอาแต่หมกตัวอยู่ที่นี่เรื่อยมา ตรงข้ามมันไม่เป็นผลดีต่อเวยเอ๋อ ถ้าหากมีคนที่พอจะส่งข่าวมาให้ได้ เช่นนั้นอนาคตอันใกล้นี้ก็พลันสว่างขึ้นมาเป็นอีกโข เจ้าเองก็ต้องตัดสินใจในเรื่องนี้โดยเร็ว”
“ท่านแม่ก็ยังรู้ใจข้าอยู่ดี” หัวในของซ่านจินจื๋อผ่อนคลายลงหลายขนัด ก่อนหยัดกายลุกขึ้นมา “ถ้าหากเวยเอ๋ออยู่ที่นี่ บางทีอาจคาดเดาพระทัยของเสด็จพี่ได้หลายขนัด แต่ว่าตอนนี้ข้า…”
น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด ตอนที่ซ่านจินจื๋อหยัดตัวขึ้นก็แว่วยินเสียงของกู้อ้าวเวย ดังอู้อี้อยู่ข้างโสตนี่เอง
“หากรอจนกว่าระหว่างท่านกับข้าคลี่คลายปมอย่างสะอาดหมดจดแล้ว พวกเรายังพอเดินไปด้วยกันได้ เช่นนั้นครึ่งชีวิตที่เหลือของข้าก็จเป็นของท่านแล้ว”
นิ่งงันสักพัก ซ่านจินจื๋อพลันหันกายขวับ ด้านหลังกลับมีเพียงหลิ่วเอ๋อและจื่อเหมิงที่ถูกมองจนเสียวสันสันหลังวูบ ไหนเลยจะมีเงาของกู้อ้าวเวยแม้เพียงครึ่งเสี้ยว
นวดมุมขมับเล็กน้อย เขากลับเริ่มจะป่วยใจด้วยถวิลหาขึ้นมาเสียแล้ว
“ยังมีเรื่องอันใดอีกเจ้าคะ?” จื่อเหมิงยังคงกุมท้ายทอยเอาไว้ ถูกมองจนขนลุกชัน
ซ่านจินจื๋อส่ายหน้า ก่อนสาวเท้าฉับๆ จากไป
ตอนนี้เวยเอ๋อตัวอยู่หนใดยังไม่รู้เลย เขายิ่งควรจัดการเรื่องนี้ให้โดยเร็วที่สุด จะได้คลี่คลายปมกับนางอย่างสะอาดหมดจดให้ได้เสียที
เพียงแต่น่าเสียดายที่ก้าวออกไปยังไม่ถึงครึ่ง หวางกงกงก็เดินพร้อมยิ้มตาหยีเข้ามา ขันทีนางในที่อยู่ด้านหลังกระทั่งยังถือกล่องอาหารสองชุดเอาไว้ กล่าวหนึ่งประโยคขณะที่โค้งกายถวายคำนับ “ในเมื่อองค์อ๋องจิ้งเลือกหยุนหว่านฮูหยินแล้ว เช่นนั้นหมายความว่าชีวิตของกู้อ้าวเวยท่านนั้นไม่ต้องการแล้ว ฮ่องเต้ส่งคน…ไปสังหารเป็นที่เรียบร้อย”
รูม่านตาของซ่านจินจื๋อหดลงเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะยกมือขึ้นสังหารขันที่ผู้นี้ ก็รู้สึกเพียงว่าหลังเข่าเจ็บปลาบขึ้นมา บนบ่าก็หนักอึ้งราวถูกกระแทก คนทั้งคนถูกซางนิงที่อยู่ข้างกายหวางกงกงกดราบลงกับพื้น ขณะที่ไม่มีใครทันสังเกต ก็เอ่ยประโยคหนึ่งเสียงต่ำ “สถานการณ์โดยรวมสำคัญที่สุด”
ซ่านจินจื๋อไม่เคยรู้สึกเลยสักครั้งว่าสถานะฮ่องเต้นี้จะทำให้เขาลำบากตรากตรำได้เยี่ยงนี้มาก่อน