บทที่ 842 เทพผีสางแห่งด่านลั่วสุ่ย
ฝนในวันสารทยังไม่หยุดหย่อน ฤดูหนาวเหน็บกำลังใกล้เข้ามา
ใบไม้สีแดงและใบไม้แห้งเหี่ยวร่วงหล่นเกลื่อนพื้น ในนั้นห่อหุ้มด้วยหยาดน้ำ ซุกซ่อนแอ่งน้ำเล็กๆ ย่ำเหยียบลงไปหลายก้าว บนชายกระโปรงล้วนเปี่ยมด้วยโคลนตม สองเท้าที่ย่างลงบนพื้นก็ซึมซาบไอหนาว สำหรับกู้อ้าวเวยแล้ว ขาทั้งสองข้างของนางอยู่บนพื้นนั้นกระทั่งค่อนข้างไม่สมจริง
โม่ซานที่อยู่ด้านข้างมักจะอดเหลือบมองนางหลายๆ แวบไม่ได้ กระทั่งออกจากหมู่บ้านเล็กๆ เมื่อครู่อย่างสมบูรณ์แล้ว จึงปริปาก “ท่านหอบหิ้วนางมาทนทุกข์ตลอดทาง ไฉนบทจะทิ้งก็ทิ้งไปเสียแล้ว?”
“ก่อนหน้านี้ข้าเอาแต่คิดว่าก่อนตายก็มิอาจให้นางมีความสุขได้ แต่หลังจากที่ความทรงจำเหล่านั้นฟื้นคืนมา ข้าก็ไม่ยินดีจะดึงดันแล้ว” กู้อ้าวเวยชูร่มกระดาษพลางเร่งความเร็วฝีเท้า
นางไม่เพียงแต่ทิ้งรถม้าไว้ให้นางเท่านั้น กระทั่งยังทิ้งตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงสองใบและเศษเงินสิบตำลึงเอาไว้ให้ด้วย
หากอยู่ในบ้านของคนธรรมดา ลำพังแค่เศษเงินสิบตำลึงก็เพียงพอจะเลี้ยงปากท้องสามคนในครอบครัวให้กินอิ่มไปได้หลายเดือนแล้ว เงินจำนวนสองร้อยกว่าตำลึงเพียงพอจะให้ซูพ่านเอ๋อใช้ชีวิตอย่างสุขสบายทีเดียว นับประสาอะไรกับรถม้าคันนั้นที่มีราคาถึงสามสิบตำลึง อาชาพันธุ์ดีตัวหนึ่งก็ต้องใช้เงินมากกว่าสิบตำลึง
“คิดจะออกไปก็ออกไป เหตุใดทำงานจึงไม่มีแม้แต่ถ้อยวาจาแน่ชัด?” โม่ซานลูบกระหม่อม พลางถาม “นางมั่นใจว่านางจะไปเมืองเทียนเหยียนขนาดนี้เชียว?”
“ไม่จำเป็นต้องมั่นใจว่านางจะไปไหน วันหน้าจะต้องได้พบกันแน่” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางทำตาปริบๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นชี้ไปที่ทรวงอกของตน “ข้ากระเตงนางมาตั้งนาน ปกป้องนางมานาน นางไม่ได้เกลียดข้าอีกต่อไปแล้ว ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตนางนั้นมีใจทะเยอทะยานยิ่งยวด แค่เงินสองร้อยตำลึงขี้ปะติ๋วยังซื้อใจทะเยอทะยานของนางเอาไว้ไม่ได้ วันหน้า นางจักต้องปรากฏกายต่อหน้าข้าด้วยใจใฝ่ปรารถนาอยู่ดี”
“เช่นนั้นท่านไม่แก้แค้นแล้วหรือ?” โม่ซานเลิกคิ้ว
“รอจนกว่านางและเมี่ยวหารได้พบกันอีกครั้ง การแก้แค้นของข้าก็จะบรรลุผลแล้ว” น้ำเสียงของกู้อ้าวเวยแผ่วเบา แต่เสียงฝนเหนือร่มกระดาษดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
บรรลุถึงหมู่บ้านถัดไป ไม่มีตัวถ่วงอย่างซูพ่านเอ๋อแล้ว ทั้งสองซื้อม้าพันธุ์ดีสองตัว เสาะหาโรงเตี๊ยมปักหลักแห่งหนึ่ง รอจนกว่าฝนฤดูใบไม้ร่วงหยุดลง ทั้งสองจึงรีบมุ่งหน้าไปด่านลั่วสุ่ยโดยไม่พักม้า เวลานี้กลับมีคนของหยาเหมิน (ที่ทำการรัฐ)รุดหน้าเข้ามา ถือภาพเหมือนของกู้อ้าวเวยเอาไว้
กู้อ้าวเวยกลับปลดเสื้อคลุมสีดำบนหัวลงอย่างใจเย็น รอยเส้นบนใบหน้าและดวงตาหม่นเทาคู่นั้นทำเอาหยาอี้(พนักงานที่ทำการรัฐ)หลายคนตกใจจนสูดลมหายใจเย็นเยียบ นางกลับหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ร่างกายนี้เคี่ยวกรำวิทยายุทธ์ออกมาเป็นแบบนี้ ไม่ได้เจือพิษหรอก”
กล่าวพลางยังคว้าโม่ซานที่อยู่ข้างกายเอาไว้หมับ โม่ซานยิ้มอย่างรู้ทัน “นางเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเพื่อนท่านอาจารย์ข้า ศิษย์ทั้งสำนักล้วนฝึกวรยุทธ์ชั่วร้าย ครั้งนี้รุดหน้ามาด่านลั่วสุ่ยอยากดูเสียหน่อยว่าความเป็นอมตะนั้นเป็นอะไรกันแน่ พี่ใหญ่ทั้งหลายรู้บ้างหรือไม่?”
กล่าวพลางโม่ซานก็แสดงป้ายพกของพี่ใหญ่อีกด้วย
หยาอี้(พนักงานที่ทำการรัฐ) หลายคนจึงหายใจโล่งอกหนึ่งเฮือก พลางคิดว่าบนยุทธภพแห่งนี้บุคคลและเรื่องราวแปลกประหลาดร้อยแปดพันเก้าล้วนมีทั้งสิ้น จึงเก็บใจทั้งดวงกลับเข้าไปในท้องตามเดิม มองเห็นป้ายพกของโม่ซานจึงรีบร้อนกล่าว “ศาลเจ้าด่านลั่วสุ่ยสร้างใกล้จะเสร็จแล้ว ทว่าหลายวันก่อนกลับทำเอาคนตีโมงสี่คนของด่านลั่วสุ่ยตกใจแทบแย่ ว่ากันว่ายามดึกดื่นเที่ยงคืนเห็นผีสาวชุดขาวตนหนึ่งโผล่ในศาลเจ้าแห่งนั้น แต่ว่าคนตีโมงไม่กี่คนนั้นไม่ได้ตาย ตรงกันข้ามทุกๆ คืนล้วนต้องมีคนในยุทธภพตายหนึ่งคน แม่นางทั้งสองอย่าไปผสมโรงด้วยเป็นดีที่สุด”
“ขอบคุณ ขอบคุณยิ่งนัก” โม่ซานยิ้มตาหยีพลางโยนจอกสุราข้างกายเข้าไป
หยาอี้(พนักงานที่ทำการรัฐ) หลายคนพับเก็บม้วนภาพ ถือจอกสุราพลางเดินทอดน่องจากไป
หับบานประตูเข้าด้วยกัน เสียงฝีเท้านอกประตูก็อันตรธานหายไป คราวนี้โม่ซานจึงลูบไล้ปลายคาง กล่าวว่า “ครั้งก่อนข้าก็ได้ยินข่าวลือของด่านลั่วสุ่ยพวกนี้เหมือนกัน แต่น่าเสียดายคนส่งหนังสือนั้นดันมาขัดจังหวะ”
กู้อ้าวเวยกลับเพิ่งนึกถึงประเด็นนี้ขึ้นมาได้ ก่อนตบหัวหนึ่งฉาด “ข่าวลืออะไร?”
“ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาราชสำนักส่งคนไปสร้างทางผ่านใกล้ๆ ด่านลั่วสุ่ย ถนนทางการราบเรียบเพื่อใช้ขนส่งเมล็ดพืชพันธุ์ แต่มีคนบอกว่าถนนทางการสายนี้มีทางแยกเส้นหนึ่ง ถ้าหากมีคนเดินอ้อมเข้าไปในทางแยกเส้นนี้ พวกที่ออกมาได้ล้วนมีร่างกายขาดวิ่นสะบักสะบอมกันทั้งนั้น แต่พวกที่ออกมาไม่ได้ กลับตายไม่เห็นศพเป็นไม่เห็นตัวคน”
น้ำเสียงสิ้นสุดลง ทั้งสองพลันเสียวสันหลังวูบอยู่กลายๆ
กู้อ้าวเวยกลับเคาะผิวโต๊ะเบาๆ ตอนนี้นางค่อยๆ จับทางเรื่องการฟื้นจากความคายและความเป็นอมตะนี่ได้แล้ว ก็แม้แต่ที่นางมาที่นี่ได้อย่างไรนั้น ล้วนมีเหตุผลและที่มาที่ไป แต่ถ้าหากบอกว่ามีเทพผีสางที่ฆ่าคนได้นางกลับไม่เชื่อ
บางคนเข้าใจว่าเทพผีสางต้องการชีวิตใครบางคนก็เพื่อแก้แค้น ทว่าในมุมมองของกู้อ้าวเวย ทุกคนล้วนยังมีชีวิต ไม่เคยเป็นผีมาก่อน เหตุใดถึงรู้ว่าคนกลายเป็นผีแล้วจะต้องแก้แค้น นับประสาอะไรที่กายเนื้อตายไปแล้ว ดวงวิญญาณดวงหนึ่งถ้าหากทำให้คนตกใจจนตายก็พอว่ากันได้ แต่การฆ่าคนนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
นางครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ท้ายที่สุดกลับอดตบกระหม่อมของตนเบาๆ ไม่ได้ “จะเชื่อวิทยาศาสตร์มากเกินไปไม่ได้!”
“วิทยาอะไรนะ?” โม่ซานถูกนางทำเอาตกใจสะดุ้งโหยง มองนางอย่างอธิบายไม่ถูก
กู้อ้าวเวยโบกมือ ถอนหายใจหนึ่งเฮือก พลางถาม “ในนี้จะต้องมีบางอย่างทะแม่งๆ แต่ยังไม่ถึงคราวให้พวกเราแก้ไขมันได้”
โม่ซานพยักหน้าเช่นกัน อย่างไรเสียก็ต้องปล่อยให้เรื่องเป็นไปด้วยใจไม่สงบ
วันรุ่งขึ้นฝนตั้งท่าจะหยุดสักพัก ทั้งสองรุดไปด่านลั่วสุ่ยโดยไม่หยุดพักม้า น่าเสียดายเวลานี้ที่ด่านลั่วสุ่ยทุกคนล้วนตกอยู่ในอันตราย ทั้งสองบุ่มบ่ามเข้าเมืองไปกลับจะถูกคนจำได้อย่างง่ายดาย กู้อ้าวเวยทำได้เพียงตัดสินใจซื้อของบางอย่างในหมู่บ้านเล็กๆ ละแวกใกล้เคียง ศัลยกรรมจมูกปลอม ถือโอกาสใช้แป้งฝุ่นแต้มชาดปกปิดลายเส้นลงไปบ้าง และทำให้เบ้าตาลึกยิ่งขึ้นอีก สวมคู่กับดวงตาสีเทาขุ่นคู่หนึ่ง ดูแล้วยิ่งเหมือนคนต่างเผ่าขึ้นไปอีก
เพียงแต่เมื่อครู่ย่างเข้าไปในโรงเตี๊ยม หางตาของกู้อ้าวเวยมองเห็นคนรู้จักที่กำลังร่ำสุรากับผู้คุ้มกันการขุนส่งตรงมุมร้านพอดี โม่ซานขอห้องชั้นบนหนึ่งห้อง มองตามสายตานางไป กลับยิ้มออกมา “นั่นน่ะคนของสำนักคุ้มภัยเฟิงไหล สำนักคุ้มภัยเฟิงไหลแห่งนี้มีชื่อเสียงไม่เลวเลย นี่ท่านอยากจะขนส่งลำเลียงหรือ?”
กู้อ้าวเวยส่ายหน้า ดึงปีกหมวกพลางเดินไปยังโต๊ะตรงหัวมุมตัวนั้น วางจี้หยกขนาดเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือชิ้นหนึ่งของสำนักเยียนหยู่เก๋อลงต่อหน้าคนผู้นั้น คนผู้นั้นนิ่งอึ้งก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา “คุณหนู ให้ข้ารอตั้งนานแหนะ”
“ไม่ได้เจอกันนาน” กู้อ้าวเวยเองก็จนปัญญา บุคคลตรงหน้าคือเจิ้งฉิงคุนนั่นเอง
เจิ้งฉิงคุนรีบร้อนกล่าวลากับผู้คุ้มกันการขุนส่งพวกนั้น และตามพวกกู้อ้าวเวยทั้งสองคนขึ้นไปบนตึก ตอนที่มองเห็นดวงหน้าของกู้อ้าวเวยก็นิ่งงันเป็นสิ่งแรก จากนั้นจึงกล่าวอย่างจนปัญญา “ข้าอยู่ที่ด่านลั่วสุ่ยมาตั้งหลายเดือนแล้ว คุณหนูรองบอกว่าจะให้ข้าช่วย แต่เนิ่นนานก็ยังไม่ทันเห็นท่านมา”
“เมื่อครู่เจ้าอยู่กับผู้คุ้มกันการขุ่นส่งพวกนั้น เพราะกำลังสืบข่าวอยู่กระมัง” โม่ซานปลีกตัวนั่งลงเช็ดดาบอยู่ด้านข้าง
“เรื่องนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว” เจิ้งฉิงคุนหัวเราะแห้งๆ “คุณหนูกู้มีอะไรจะให้ช่วยหรือไม่?”
“ช่วยข้าตรวจดูว่าศาลเจ้าแห่งนั้นมีประตูชีวิตและประตูมรณะหรือไม่” กู้อ้าวเวยกล่าวอย่างเคร่งขรึม ล้วงกระดาษแผนที่หลายแผ่นออกมาจากกระเป่า นางวาดมันโดยอิงจากม้วนตำราทั้งสิ้น และรูปร่างลวดลายบางอย่างนั้นก็เคยเห็นมันในสุสานบรรพบุรุษตระกูลหยุน
ถ้าหากฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้ เช่นนั้นรูปร่างของประตูชีวิตและมรณะน่าจะไม่ห่างไกลจากความเป็นจริงแล้ว
เจิ้งฉิงคุนรับม้วนภาพหลายแผ่นนั้นเอาไว้ พลางพยักหน้า “แต่ว่าด่านลั่วสุ่ยนี้ก็ช่างแปลกประหลาดจริงๆ มีคนยุทธภพตายตั้งมากขนาดนี้ แต่หยาเหมินกลับคล้ายจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่เคยจัดการเลย หลายวันมานี้มีหลายสำนักต่างลุกฮือขึ้นมา ล้วนบอกว่าสำนักตรงข้ามสังหารคน ใส่ร้ายป้ายสีกัน ยุ่งเหยิงเละเป็นโจ๊กเลยทีเดียว”
เดิมทีกู้อ้าวเวยยังคิดว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตน เจิ้งฉิงคุนกลับปริปากเสียแล้ว “มีคนบอกว่า เมื่อครั้นหลิ่นหนานตระกูลหยุนจากไป ผีสาวของที่นี่ก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเทพวิญญาณมาจากไหน บอกว่าผีสาวเหล่านี้ล้วนเป็นตระกูลหยุนมาทวงชีวิต เป็นคำสาปแช่งของตระกูลหยุน”