บทที่ 854 การสื่อสาร
ลานพิธีที่ว่ามานั้นเป็นเพียงแค่ไม้ที่นำมาต่อกันเป็นชั้นวาง ด้านล่างที่วางเครื่องสมุนไพรใช้สิ่งที่เย่นเจียงมีอยู่สองอย่างนั่นก็คือผ้าและกระดาษมากั้นไว้ ล่ายเสวียนไม่ได้มีความแปลกใจกับการสร้างลานพิธีเสร็จภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน กู้อ้าวเวยใช้ผ้าส่าหรีบางๆปิดบังใบหน้านั่งอยู่บนก้อนหินทุกวัน
กลุ่มคนตรงหน้ามักจะยุ่งวุ่นวายอยู่เสมอ
ยู่จือเข้าวังไปเพื่อแก้ต่างให้ตระกูลยู่ ไปเก็บจุ้ยเวี่ยนที่เหลือกลับมาด้วย ในขณะที่กำลังออกมานั้นยังไม่ลืมที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นว่า“กู้จี้เหยากลับมาแล้ว มาขอยาถอนพิษจากเจ้าน่ะ”
“รอให้ถึงหลังพิธีก่อน ไม่ว่าจะเป็นหรือตายข้าก็จะนำยาถอนพิษไปให้พวกเขา”พูดถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังกุ่ยเม่ยที่คอยควบคุมคนทำงานอยู่ ยกมือขึ้นเพื่อทำมือเป็นสัญลักษณ์ ว่าให้เดินไปออกไปจากข้างนอก
ยู่จือไม่เข้าใจ“หมายความว่าอะไร?”
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”กู้อ้าวเวยก้มหัวกลับไปใหม่อีกครั้ง แววตาวาดผ่านเครื่องสมุนไพรในอ้อมอกไป ในสมองยังมีสิ่งที่นางเขียนไว้ไม่น้อย สำหรับยาเป็นอมตะแล้ว นางได้ทำการศึกษามาหลายปีแล้ว มาวันนี้ได้ผลลัพธ์สุดท้ายมา กลับกันไม่มีอะไรเหนือจากสิ่งที่คาดเดาไว้
“ถ้าอย่างนั้นใบหน้าของข้าจะมีรอยสักจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?”ยู่จือขมวดคิ้วเป็นปม ชี้ไปที่ใบหน้าของตนเอง“ข้าทำข้อตกลงกับเจ้า นั่นก็คือไม่อยากใช้ใบหน้านี้ไปตลอดชีวิต พวกเจ้าขุนมูลนายของแคว้นเจียงเยี่ยนขอเพียงแค่เห็นรอยสักพวกนี้ก็รู้ได้เลยว่าพวกเราเป็นใคร”
“วิธีถอนพิษรอยสักข้าได้วางไว้บนโต๊ะแล้ว เพียงแต่ในขณะที่ข้าศึกษาเรื่องพิษภายในร่างกายของพวกเจ้า รอจนข้าแก้ปริศนาความลับนี้ได้ ในภายภาคหน้าข้าสามารถเป็นหนึ่งในคนของตระกูลยู่ได้ แต่เจ้าต้องพกรอยสักนี่ไปเมืองเทียนเหยียนกับข้าก่อน”กู้อ้าวเวยห่อยาในมือขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าหากเจ้าตาย ข้าก็จะได้ถอนพิษเอง”ยู่จือพูดจบ ก็กระโดดกระเด้งไปหายู่หง
พวกนางทั้งสองคนไม่ได้เป็นแม้กระทั่งคนร่วมงานกัน ในใจของยู่จืออิจฉาริษยาตระกูลหยุนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว แต่ตระกูลหยุนกลับไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางกับตระกูลยู่แม้แต่น้อย ในเมื่อสองตระกูลถึงเวลาก็ต้องไปเจอกันที่เอ่อตาน เกรงว่าจะต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคนมาทำให้สมานฉันท์กันได้
นางเอนตัวพักจิตพักใจ หวนคิดถึงวิธีรักษาและบันทึกต่างๆในขณะที่อยู่ในร้านยาเหย้า อย่างตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
หรือซ่านจินจื๋อจะสามารถหาปริศนาอะไรจากในนั้นได้
……
กองกระดาษที่ยับเยิน ถึงแม้จะไปตามคนของสำนักฮั่นหลินกับโรงหมอหลวงมา ก็ต่างไม่สามารถอ่านตำรับยาและขั้นตอนอันวุ่นวายบนกระดาษพวกนี้รู้เรื่อง สำหรับ ฮ่องเต้ก็สามารถฝืนวางใจได้เล็กน้อย
สิ่งที่กู้อ้ายเวยเก็บไว้และสามารถใช้ได้นั้น มีเพียงแค่กระดาษพวกนี้แล้ว
วันนี้ซ่านจินจื๋อพบว่าภายในห้องถูกคนรื้อค้นอีกแล้ว เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้ว เขากลับไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นฝีมือของพี่ชาย มันเหมือนกับว่ายังมีคนแอบซ่อนตัวสืบค้นอย่างลับๆอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นอยากหาอะไรจากในห้องนอนของเขาสักอย่าง
เขานั่งอยู่ตรงหน้าของโต๊ะเป็นปกติดั่งเช่นในทุกวัน เขากวาดสายตามองไปที่กองกระดาษบนโต๊ะอย่างละเอียด หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรหายไป เขาก็เปิดตำราทางการรักษาของกู้อ้าวเวยที่อยู่ข้างๆมือ มองดูร่องรอยที่เคยเปิดพับ แล้วค่อยอ่านไล่ไปที่ตัวอักษรแต่ละตัว เลือกกระดาษไม่กี่แผ่นขึ้นมา
สุดท้ายค่อยสุ่มเลือกตัวอักษรท้ายสองตัวของทุกกระดาษออกมา
แล้วค่อยเรียบเรียงคำจากท้ายคำไปให้เป็นประโยค
หาประโยคส่วนแรกเจอ เป็นวิธีของสำนักเยียนหยู่เก๋ออย่างหนึ่ง นั่นก็คือเป็นครั้งแรกที่กู้อ้าวเวยนำวิธีนี้ไปรวบรวมกัน สุดท้ายจึงนำส่วนหนึ่งไปมอบให้กับฉีหรัว
เขานำมาร้อยเรียงต่อกันอย่างละเอียด พอรอจนถึงกลางดึก นอกหน้าต่างเงียบสงัด เขาถึงพึ่งร้อยเรียงถึงประโยคสุดท้าย
“ไทเฮาปิดบังความจริง ฮ่องเต้มักใหญ่ใฝ่สูง นางสนมในวังหลังต่างมีคนหนุนหลังกัน”
ดวงตาเป็นประกาย ซ่านจินจื๋อหัวเราะเสียงต่ำ นำกระดาษที่ร้อยเรียงอยู่บนโต๊ะทำให้วุ่นวายอย่างไม่ทิ้งร่องรอยไว้ เขาไม่เคยนึกถึงเลยจริงๆ ว่ากู้อ้าวเวยจะสามารถเดาถูกไปแล้วในแปดส่วนเก้า แต่เขากลับพบว่าตอนนี้ดึกแล้ว
ในขณะที่เขากำลังแปลกใจว่ากู้อ้าวเวยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เขาก็พบว่ากระดาษแผ่นนี้สกปรกเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาจึงนึกขึ้นได้ว่ากู้อ้าวเวยให้เจิ้งฉิงคุนส่งของมาให้หนึ่งในนั้นมีขวดยาด้วย แล้วก็นำออกมาบางส่วน หยดลงไปด้านล่าง จึงทำให้ตัวอักษรปรากฏขึ้น“ฮองเฮาเป็นคนของใคร”
พอคำนวณเวลาของประโยคนี้อย่างละเอียดแล้ว สิ่งที่ฮองเฮาพูดถึงอาจจะเป็นซู๋เซ่อฮองเฮาปัจจุบัน
หรือกู้อ้าวเวยยังรู้สึกเคลือบแคลงอะไรบางอย่างของที่นี่ แต่มาวันนี้พอคิดทบทวนอย่างละเอียดแล้ว ฮองเฮาที่ว่ามานั้น เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของฮ่องเต้เท่านั้น ก่อนหน้านั้นซ่านจินจื๋อไม่เคยแตะของของกู้อ้าวเวยเลย พอมาดูตอนนี้แล้ว กลับเป็นเขาที่ปล่อยช่องโหว่มากเกินไป แต่สิ่งที่กู้อ้าวเวยคิดวิเคราะห์ก็มีไม่น้อยเลย
นอกหน้าต่างเงียบสงัด เขาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะสองครั้ง เงาตะคุ่มสีดำก็เดินเข้ามาด้านในจากเฉลียงด้านนอก สายตาคู่นั้นมองไปที่ซ่านจินจื๋ออย่างเคารพนับถือ
“จับตาดูฮองเฮาตงฟางให้ดี”
พอพูดจบ เงาดำก็หายออกไปในขณะที่มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามา
ซ่านจินจื๋อเงยหน้าขึ้น เห็นหญิงสาวที่สวมชุดนางกำนัลทั้งตัว เป็นคุณหนูตระกูลขุนนางที่มาหาเข้าในหลายวันก่อน เขาไม่ได้เปิดโปง เพียงแต่ก้มหน้าลงแล้วนำกระดาษที่ทำให้ยุ่งไปเมื่อสักครู่กลับมาร้อยเรียงอีกครั้ง คุณหนูตระกูลขุนนางที่ปลอมตัวเป็นนางกำนัลยกกาน้ำชาเข้ามา แล้วเอ่ยเสียงเบาๆ“ท่านอ๋องจิ้งเพคะ……”
“ข้าไม่อยากพูดซ้ำเป็นรอบที่สอง”ซ่านจินจื๋อเงยหน้าไม่ขึ้น
เสียงฝีเท้าข้างหลังมีความวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากนั้น ร่างเล็กอุ่นร้อนก็แนบเข้ามาที่แผ่นหลังของเขาที่มีผ้าบางผืนบางกั้นไว้ เส้นผมหลายเส้นโรยตัวลงมาที่ใบหน้าคมคายของซ่านจินจื๋ออย่างบังเอิญ ดั่งรอยกรงเล็บของเจ้าแมวน้อย เสียงที่ควรนุ่มนวลในตอนแรกแต่กลับเคลือบแฝงไปด้วยความเสน่ห์หาเล็กน้อย“หม่อมฉัน……ชื่นชมอ๋องจิ้งมานานแล้ว……”
มือบางนิ่มคู่นั้นของลูกสาวตระกูลขุนนางเลื้อยลงมาเรื่อยๆ ซ่านจินจื๋อยังคงไม่ขยับเขยื้อน ร่างกายผ่อนคลายเล็กน้อย ปล่อยให้หญิงสาวทำตามอำเภอใจ แต่รอหลังจากที่ภายในโพรงจมูกรับรู้ถึงกลิ่นบางอย่าง นางก็รู้สึกได้เพียงแค่ร่างกายเบาหวิว แล้วก็หมดสติไป
ซ่านจินจื๋อสายตามองไปอย่างมั่นคง ในสมองกลับนึกถึงแมวน้อยสองตัวที่อยู่ในร้านยาเหย้า เขาจึงยักคิ้วแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“อุ้มนางไปไว้บนเตียง แล้วถอดเสื้อผ้าของนางด้วย ”
มีเงาร่างหนึ่งโผล่เข้ามา ก้มหัวแล้วยกหญิงสาวขึ้นไปวางไว้บนเตียง ปอกเปลือกนางจนเกลี้ยงเกลา แล้วโยนเสื้อผ้าให้กระจัดกระจายลงตรงข้างๆเตียง
ในตอนที่ร่างนั้นกำลังจะเดินจากไปนั้น ซ่านจินจื๋อกลับเอ่ยปากขึ้นมาว่า“ไปบอกให้หยวนเอ๋อนำลูกแมวสองตัวมาให้ข้าหน่อย”
“ขอรับ”ร่างทะมึนหายวับไปในพริบตา
รุ่งเช้าของวันที่สอง ในห้องของซ่านจินจื๋อมีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น ยามด้านนอกประตูรีบเข้ามาทันที มองไปที่หลังผ้าม่านมีเรือนร่างหมิ่นเหม่ของหญิงสาวกับเสื้อผ้าที่เกลื่อนเต็มห้องแล้วจึงก้าวถอยหลังออกมา ไปตามนางกำนัลเข้ามาทำความสะอาด และมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หญิงสาวด้วย
หญิงสาวงุนงงไปหมดไม่เข้าใจว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางกำลังข้างกายต่างพากันหัวเราะอย่างกรุ้มกริ่ม“ยินดีกับคุณหนูด้วย ยินดีด้วยเจ้าค่ะคุณหนู”
หลังจากนั้น นางไม่รู้จะอธิบายเรื่องเมื่อวานได้อย่างไร หัวใจของนางเต้นรัวเร็ว ในหัวใจพองโตราวกับมีนกยูงบินผาดโผนไปมาเป็นการก้าวที่เร็วกว่าแม่นางตระกูลตงฟางหนึ่งก้าว
เพียงแต่ภายในห้องไม่มีแม้แต่เงาของซ่านจินจื๋อ
ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในสวนหย่อม ในอ้อมอกมีลูกแมวสองตัว บนโต๊ะมีเสี่ยวป๋ายที่ขี้อ้อน มองดูแมวสองตัวแล้ว ทำให้ซ่านจินจื๋อรู้สึกในทันทีว่า ทำให้เขานึกถึงในตอนที่พบกับกู้อ้าวเวย ว่าจะมีปฏิกิริยาแรกอย่างไร