บทที่ 874 ความเชื่อใจในความทรงจำ
หม้ออุ่นที่เย็นลงก็ถูกข้ารับใช้เอาไปไว้ข้างๆ ยู่จือที่โมโหนั่งตัวคดบนเก้าอี้และเคาะโต๊ะอย่างนั้นไม่หยุด แม้จะไม่เหมาะสมกับมารยาทในวัง แต่คนอื่นๆคงไม่กล้ามาห้ามหญิงสาวสองคนที่ใจกล้า
กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นเก็บแขนเสื้อเข้ามาหนีบไว้ที่แขนสองข้าง สองมือก็วางไว้บนตัก หูสองข้างก็ขยับหน่อยๆ เสียงถ่านในเตาก็เหมือนดังขึ้นร้อยเท่า พอคนออกไปแล้ว ด้านนอกก็เปลี่ยนเป็นคนของซ่านจินจื๋อ ยู่จือถึงพูดเสียงเบาว่า: “เจ้าถูกอะไรกระตุ้นเหรอ? หัวเจ้าก็ไม่เอาแล้วหรือไง”
“ข้าแค่คิดว่าถ้าพูดให้ตงฟางซวนเอ๋อดูไม่ดี ต่อไปคนอื่นๆก็คงจะช่วยเขา……”
“เจ้าแค่ไม่อยากเห็นผู้ฆญิงคนนั้นยืนอยู่ข้างเขาใช่ไหม” ยู่จือตบโต๊ะเสียงดัง มองดูกู้อ้าวเวยที่ตัวสั่นเบาๆก้มหน้าลงช้าๆ คำตอบก็เห็นๆกันอยู่
นางไม่อยากเห็นตงฟางซวนเอ๋อยืนอยู่ข้างซ่านจินจื๋อ ทำให้นางมักนึกถึงอดีตของกู้อ้าวเวย
นางจำได้ว่าท่าทางของปัญญาชนคนนั้นดูอ่อนโยนมาก แต่เทียบกับซ่านจินจื๋อคนแปลกหน้าคนนี้ไม่ได้เลย ภาพของคนคนนั้นมีแต่ความมืดมน แต่ซ่านจินจื๋อกลับไม่เห็นกัน
ยู่จือเลิกคิ้วขึ้น นึกถึงก่อนหน้านี้ที่พูดกับกุ่ยเม่ย และเดินไปตรงข้างนางพูดว่า: “เจ้าอยากให้ในสายตาเขามีแต่เจ้า สายตาเจ้ากลับไม่ยอมอะไรใครง่ายๆ ทำไมถึงไม่พูดความจริงไป……”
“เพราะพูดความจริงต้องมีการแลกเปลี่ยน ข้าไม่มีอะไรมาพนัน” กู้อ้าวเวยพ่ายมือออกไป นวดขมับด้วยจิตใจที่ลนลาน: “ในหัวข้ามีแต่เรื่องต่างๆ ทั้งที่ความจำพวกนั้นเลือนรางวุ่นวาย แต่ทุกวันข้าก็ครุ่นคิดและจับประเด็น ข้าไม่รู้ว่าคำพูดไหนของพวกเจ้าจริงหรือเท็จ ข้าต้องไปพิสูจน์เอง”
ยู่จือก้มหน้าลงมองนาง พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า: “เจ้านึกอะไรได้กันแน่?”
“เจ้าควรจะถามว่าข้ายังนึกอะไรไม่ได้” กู้อ้าวเวยแสยะยิ้มมุมปากอย่างเจ็บปวดใจ จับมือยู่จือเบาๆ เขียนบนมือของนาง พูดเสียงเบาว่า: “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าทุกวันนี้ข้าคุยกับพวกเจ้า ก็เพื่อหลอกให้พวกเจ้าพูดความจริงออกมา?”
ยู่จือรู้สึกเย็นทั้งแผ่นหลัง สะบัดมือกู้อ้าวเวยและถอยหลังไปหลายก้าว: “หมายความว่าไง?”
“ความหมายของข้อความบนนั้น ความทรงจำจริงๆของข้าคือที่พวกเจ้าบอกกับข้า และในความทรงจำที่เหลือไม่มีซ่านจินจื๋อคนคนนี้เลย ข้าควรจะรู้จักแค่อ๋องจิ้งคนคนนี้ และข้าไม่ได้เชื่อใจกุ่ยเม่ยเหมือนที่เจ้าคิด ตอนนี้ข้าเชื่อใจเจ้ามากกว่า” กู้อ้าวเวยพูดอย่างจริงจัง นางรู้ว่าด้านนอกยังมีซ่านจินจื๋อคนคนนี้ แม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังพูดขึ้นเสียงเบาว่า: “ความทรงจำในช่วงนี้ที่ข้าฟื้นฟู ก็มีแค่ปัญญาชน ความทรงจำเกี่ยวกับซ่านจินจื๋อมีเพียงน้อยนิด ที่มากคือคนในจวนอ๋องจิ้งทำยังไงกับข้า”
สูดหายใจเข้าลึกๆ ยู่จือขยับเข้าไปใกล้ จับหน้านางเงยขึ้นมามองดูสายตาคู่นั้น: “แต่ช่วงเวลานี้เหมือนนึกออกทุกอย่างแล้ว และทั้งที่เจ้า……”
“พวกเจ้าไม่ทันสังเกตงานเขียนที่ข้าทิ้งไว้ หรือว่าเจ้าไม่เห็นว่าด้านบนนั้นมีกลิ่นยาอ่อนๆ รอยถ่านพวกนั้นบอกกับข้า พวกเราไปเย่นเจียงยังไง ยังมีสูตรยาพวกนั้นอีก” กู้อ้าวเวยสายตายังคงมองเห็นเลือนรางไม่ชัดเจน
“เจ้ามันคนโกหกหลอกลวง” ยู่จือเก็บมือมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
กู้อ้าวเวยจะจำอะไรไม่ได้เลยได้ยังไง! ทั้งที่นางจำเรื่องราวได้มากมายขนาดนั้น!
“ข้าเป็นเช่นนี้มาตลอด” กู้อ้าวเวยผ่ายมือออกอย่างไม่สนใจ: “และเมื่อกี้ ข้ารู้สึกได้ว่าข้ามีความรู้สึกอยากครอบครองซ่านจินจื๋อ ข้าอยากให้เขาอยู่กับข้าตลอด แม้ก่อนหน้านี้ในงานเขียนนั้นจะไม่มีชื่อเขาปรากฏ”
“เจ้าซ่อนมาแล้วเดือนกว่า ตอนนี้ทำไมถึงพูดออกมาล่ะ?” ยู่จือหัวเราะแห้ง
“เพราะข้านึกได้นิดเดียว พี่สาวเจ้าให้ข้าเชื่อใจเจ้า” กู้อ้าวเวยนวดขมับอย่างสงสัย และพูดด้วยท่าทางที่บริสุทธิ์: “และอีกอย่าง ข้าเหมือนจะเป็นคนที่ดื้อมากไม่ยอมฟังใครง่ายๆ แกล้งทำตัวอ่อนโยนจนถึงขั้นสุด ข้าก็ต้องพูดออกมาให้ตัวเองรู้สึกดีหน่อย”
ยู่จือสบถด่าเบาๆว่าตัวประหลาดจากนั้นก็กลับไปที่งานเลี้ยงต่อ
เหลือเพียงแต่กู้อ้าวเวยที่นั่งอยู่ในตำหนักนอก หิมะด้านนอกหน้าต่างละลายไปเรื่อยๆ ลมหนาวพัดเข้ามาหนาวจนซึมเข้ากระดูก ฝ่ามือนางเย็นขึ้นมาเรื่อยๆ ในสมองจำกิริยาบทและท่าทางของปัญญาชนได้แม่น แต่ร่างกายนางกลับคุ้นเคยกับซ่านจินจื๋อมาก แต่น่าเสียดายในสมองไม่มีช่วงชีวิตที่สุขสบายเลย
ยกมือขึ้นจับแขนไว้ นางเงียบอยู่นานและพูดเสียงเบาว่า: “ข้าออกวังได้หรือไม่?”
“ก่อนงานเลี้ยงจะจบ ท่านจะออกไปไม่ได้” ทหารด้านนอกมองนางอย่างกังวล เดินเข้าไปถามนางว่าต้องการอาหารหรือของอย่างอื่นไหม กู้อ้าวเวยกลับยิ้มอ่อนๆพูดว่า: “งั้นก็ช่างเถอะ ข้าอยู่ที่นี่พักผ่อนสักพักก็พอแล้ว”
ทหารเดินออกไปเงียบๆ ปิดประตูที่เปิดกว้างลง
กู้อ้าวเวยลับตาลง ปล่อยให้สมองโล่ง ในความทรงจำกลับเป็นเมื่อก่อนที่เรียนอยู่ในห้องเรียนมหาลัยกับอาจารย์และเพื่อนๆ ตอนนั้นพวกนางยังชินกับการอยู่ด้วยกันทะเลาะพูดคุยเฮฮาสังสรรค์ ข้างหูก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่ตอนนี้นางกลับได้ยินแค่เสียงลมที่พัดเข้าหูหลายต่อหลายครั้ง
เสียงลมในใจกระทบกันไปมา นางจำไม่ได้ว่าตัวเองหลับไปเมื่อไหร่
ซ่านจินจื๋อในตอนที่งานเลี้ยงจบแล้วก็มาที่ตำหนักนอก มองดูกู้อ้าวเวยที่หลังพิงเก้าอี้หลับลึก ยกมือขึ้นห้ามทหารสองคนเข้าไปรายงาน ด้านหลังก็มีตงฟางซวนเอ๋อที่ตามหลังมาและพูดเสียงดังว่า: “ท่านอ๋องจิ้ง ตัวตนนางเป็นคนเย่นเจียง……”
“ข้าชอบผู้หญิงที่ฉลาด” ซ่านจินจื๋อเดินเบียดเข้าไปในประตูที่แง้มออก ยกมือขึ้นให้ตงฟางซวนเอ๋อรออยู่ด้านนอก
ตงฟางซวนเอ๋อยืนอยู่ท่ามกลางลมพัดหนาวเหน็บและจับเสื้อคลุมไว้แน่น กัดฟันกรอด
ผู้หญิงที่ชื่อยู่ชีง ไม่เพียงแต่มีหน้าตาที่คล้ายกู้อ้าวเวย ขนาดนิสัยยังเหมือนกันมาก ที่ต่างกันคือกู้อ้าวเวยในเมื่อก่อนรู้เวลา คงไม่พูดจาทำให้ทุกคนเกลียดได้
ซ่านจินจื๋อโค้งตัวลงกอดนางไว้ กู้อ้าวเวยพิงไปที่ไหลเขา ยังคงหลับอยู่อย่างนั้น
เขาอุ้มนางขึ้นมา ซ่านจินจื๋อสั่งให้ทหารเปิดประตูออก และเตือนเสียงเบาว่า: “อย่าให้คนอื่นรู้ ส่งคุณหนูตงฟางกลับจวนไป”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ซ่านจินจื๋อไม่ได้มองตงฟางซวนเอ๋อเลย แต่อุ้มคนที่นอนอยู่ในอ้อมกอดเดินไปอย่างระวัง เดินไปทางตำหนักห้องนอนเขา ตงฟางซวนเอ๋อกลับยกมือขึ้น: “ข้ายังจะไปหาท่านป้า ไม่ต้องส่งข้าแล้ว”
นางมาถึงห้องนอนของฮองเฮา พูดเรื่องวันเกิดของท่านปู่วันนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และยังพูดด้วยดวงตาที่แดงกล้ำว่า: “ท่านอ๋องจิ้งจะหา ก็คือคนที่แทนกู้อ้าวเวยได้”
ตระกูลตงฟางเช็ดน้ำตาของนาง ยิ้มและบอกกับนางว่า: “ถ้าเจ้าแค่อยากจะเป็นพระชายาอ๋องจิ้งหรือฮองเฮาในอนาคต งั้นเจ้าจะขอความรักจากชายคนหนึ่งทำไม? เจ้าก็ลองยอมรับนาง ทั้งชีวิตของเจ้ายังอีกยาวนาน มีเวลาจัดการนางอีกมาก”