บทที่ 875 เพิ่มเติมความทรงจำ
จนกระทั่งปล่อยตัวนางลงไปบนเตียงที่อ่อนนุ่ม
ข้ารับใช้ในวังต่างรู้กันว่าอ๋องจิ้งเป็นคนที่ทำอะไรไม่สนใจสายตาใครอยู่แล้ว และกู้อ้าวเวยคำพูดนี้ทำให้นางหลบฉีหรั่วได้ แม้ฝ่าบาทจะไม่พอใจกับสิ่งนี้ แต่ซ่านจินจื๋อกลับดีใจที่ผู้หญิงตรงหน้ามีแค่คนเดียวในโลก
เช้าวันต่อมา กู้อ้าวเวยตื่นขึ้นมาช้าๆ บิดตัวไปมาในผ้าห่มอุ่นๆ ถึงตื่นกระจ่าง ข้างหูก็มีเสียงชายที่คุ้นเคยดังขึ้น: “ตื่นแล้วเหรอ?”
นางเงยหน้าขึ้นมา เห็นตรงหน้าเป็นซ่านจินจื๋อก็อึ้งหน่อยๆ ลุกขึ้นมามองรอบๆห้องอย่างมึนงง: “ทำไมข้า……”
“เมื่อคืนเจ้านอนหลับแล้ว ดังนั้นข้าเลยอุ้มเจ้ามาที่นี่” ซ่านจินจื๋อจัดผมที่มันแผล็นที่ติดบนหน้านาง ดึงข้อมือนางมาบีบเบาๆและถามว่า: “อาหารเช้าอยากกินอะไรเหรอ?”
“อะไรก็ได้” กู้อ้าวเวยชักมือกลับมา และลุกขึ้นออกจากเตียง ใช้แรงสวมรองเท้าและลุกขึ้น ผู้ชายด้านข้างก็พยุงนางเหมือนคุ้นชินมาก และพูดว่า: “ฝันร้ายเหรอ?”
“ไม่นี่” กู้อ้าวเวยผลักเขาออกไปห่างๆ ให้ทหารด้านหน้าประตูส่งนางไปที่โรงเตี้ยม
ซ่านจินจื๋อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พยักหน้า ยกมือขึ้นบอกให้พวกเขาส่งนางกลับไปอย่างระมัดระวัง กู้อ้าวเวยก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง จับแขนเสื้อทหารไว้และเดินออกไปช้าๆ ตายังคงปิดอยู่อย่างนั้น
ข้างหูกลับมีเสียงเล็กๆของข้ารับใช้ดังขึ้น: “ตอนแรกคิดว่าผู้หญิงยังไงที่ท่านอ๋องจิ้งสนใจ ตอนนี้ดูแล้ว ก็เหมือนแม่มด นี่แค่มาไม่กี่วันก็ทำให้อ๋องจิ้งหลงจนโงหัวไม่ขึ้น”
นางหยุดเดิน จับแขนเสื้อทหารไว้แน่น: “ข้าอยากฟังที่พวกนางพูดกัน”
“แม่หญิงยู่ชีงท่านนี้หน้าตาคล้ายกับพระชายาจิ้งเมื่อก่อนไม่ใช่หรือไง? แต่น่าเสียดายที่พระชายาจิ้งท่านนั้นตายไปเสียก่อน ไม่งั้นวันนี้ยังจะมีที่สำหรับนางเหรอ ตอนนั้นพระชายาจิ้งยังไงก็นับว่าเป็นหญิงที่งดงามที่สุดในเมืองเทียนเหยียนเลยนะ”
“แม้จะไม่ใช่พระชายาจิ้งในตอนนั้น แม่หญิงซูที่อ๋องจิ้งทรงรักและเอ็นดูก็เป็นคนที่อ่อนโยนมาก ไม่เหมือนกับแม่หญิงยู่ชีงในตอนนี้”
พอพูดจบ ทุกคนก็ต่างมองเห็นกู้อ้าวเวย และมีเสียงคุกเข่าตามมา ข้ารับใช้พวกนั้นก็ต่างพูดพร้อมกันให้นางอภัยโทษ ทหารด้านข้างก็ทำหน้าเคร่งครึ้มสั่งสอนไป กู้อ้าวเวยกลับหัวเราะตัวเองและพูดว่า: “พวกเจ้าพูดมาก็จริงอยู่”
พูดแล้ว ก็ลากทหารออกไปทันที ไม่ได้ฟังเสียงอ้อนวอนด้านหลังอีก
ซ่านจินจื๋อตามหลังมาไม่ไกล และหยุดเดิน สายตามองไปที่ข้ารับใช้พวกนั้น และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “ลากตัวลงไป”
ข้ารับใช้พวกนั้นต่างร้องไห้ตะโกนเสียงดัง ซ่านจินจื๋อกลับทำท่าไม่ได้ยิน และตามหลังกู้อ้าวเวยต่อไป
พอถึงหน้าประตูวัง กู้อ้าวเวยกลับหยุดเดิน หันกลับไปลืมตาขึ้นมา มองเห็นตำหนักในวังลางๆ นกในฤดูหนาวต่างโผลบินขึ้นบนฟ้า นางกลับจับแขนเสื้อทหารไว้แน่น: “ไปบอกกับอ๋องจิ้งด้วยว่า ข้าไม่ค่อยสบาย ต่อไปคงจะไม่ค่อยได้เข้ามาในวังแล้ว”
ทหารก็ทำเสียงอืมอย่างตั้งใจ ซ่านจินจื๋อที่อยู่ไม่ไกลก็ได้ยินอย่างชัดเจน
มองดูร่างของกู้อ้าวเวยที่เดินออกไปนอกวัง
และภายในโรงเตี้ยม ยู่จือนำงานเขียนที่เขียนด้วยถ่านประมาณสองร้อยแกว่าแผ่นวางเต็มพื้นห้อง ยู่หงวางขวดไม้ที่ใส่ยาลง มองดูข้างถ่านที่มีตัวหนังสือตัวเล็กมากมายเขียนเต็มไปหมด ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
โม่ซานที่แอบเข้ามาก็มองเห็นภาพนี้พอดี ตกใจถอยหลังไปหลายก้าว: “พวกเจ้ากำลัง……”
“นางเป็นคนขี้โกหก พวกเจ้าใครรับรองได้บ้างว่านางยังเป็นกู้อ้าวเวยที่พวกเจ้ารู้จัก” ยู่จือล้มลงไปนั่งที่พื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อในมือกำแผ่นงานไว้แน่น ในนั้นเขียนว่าทำไมพวกเขาต้องไปเย่นเจียง รวมไปถึงพวกเขาจะไปช่วยใคร แผนการต่อไป และคนสำคัญเมืองเทียนเหยียนกับเรื่องที่สำคัญ เล็กจนวันนั้นไปกินหม้อไฟเจอกับหลานเอ๋อร์ ใหญ่จนตำแหน่งของเมิ่งซู่กับเมิ่งซัวจัดการอำนาจในเย่นเจียง
สองมือของยู่จือสั่นเทาเบาๆ โม่ซานหยิบกระดาษที่เขียนถึงนางขึ้นมาอย่างสงสัย ด้านบนเขียนว่าพวกนางพบกันได้ยังไงและเดินทางกันมายังไง ยังเขียนเรื่องที่จะซื้อดาบให้นาง แต่กระดาษสองร้อยกว่าแผ่นนี้ กลับเขียนถึงอ๋องจิ้งน้อยมาก
อาจเป็นเพราะนางยังคิดไม่ถึงเลยว่า มีวันหนึ่งตัวเองจะลืมซ่านจินจื๋อได้
“พูดมาแบบนี้แล้ว ทุกอย่างที่นางรู้ ทั้งหมดคือผ่านมือของตัวเองหมด” กุ่ยเม่ยในมือก็ถือกระดาษไว้ เขาไม่เคยรู้เลยว่ากู้อ้าวเวยจะทิ้งร่องรอยแบบนี้ไว้ในงานเขียน และสูตรยาวิธีการเป็นอมตะก็เขียนไว้ในนั้นอย่างละเอียดและลับๆ นอกจากยู่จือแล้วไม่มีคนที่อ่านเข้าใจ
ตรงบันไดมีเสียงเท้าเดินดังขึ้น กู้อ้าวเวยกำลังจับมือยัยไง่หงเดินขึ้นมา พอมาถึงหน้าประตู นางก็เห็นแค่บนพื้นมีของวางอยู่ และคนที่ยืนกับนั่งต่างก็ไม่ได้พูดอะไร จึงถามอย่างสงสัยว่า: “พวกเจ้าเป็นอะไรเหรอ?”
“นอกจากของบนกระดาษแล้ว ความทรงจำเจ้าฟื้นฟูได้ถึงขั้นไหนแล้ว” กุ่ยเม่ยยกมือขึ้นดึงตัวนางออกมาจากยัยไง่หง พูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ มือกลับจับอย่างอ่อนโยน
สีหน้ากู้อ้าวเวยเปลี่ยนไปหน่อยๆ นางกำหมัดไว้แน่น: “ยู่จือ ข้าเชื่อใจเจ้านะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเชื่อใจข้า แต่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า” ยู่จือกอดอกถอยหลังไปสองก้าว: “ข้าคิดว่าเมื่อคืนงานเลี้ยงเจ้านึกถึงเรื่องแปลกประหลาดอะไรหรือเปล่า จากนั้นเจ้าบอกข้าว่าเจ้านึกเรื่องอะไรไม่ได้เลย เจ้าหลอกข้ามาตลอด!”
โม่ซานก็ขมวดคิ้วมองไปทางนาง: “แม้เจ้าจะบอกว่าความทรงจำเจ้าหายไปหมด พวกเราก็ไม่ทำร้ายเจ้าหรอก แต่ทำไมเจ้าต้องหลอกพวกเราด้วย?”
“ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้า ข้าแค่ไม่อยากให้พวกเจ้าต้องเป็นห่วง” กู้อ้าวเวยสะบัดมือกุ่ยเม่ยทิ้งและลุกขึ้นมา ดวงตาสีเทาก็มีเส้นเลือดขึ้นมา: “พวกเจ้าไม่มีทางรู้สึกหรอกว่าในหัวที่ว่างเปล่ามันเป็นยังไง”
ผละตัวออกจากกุ่ยเม่ย กู้อ้าวเวยหายใจแรงเดินพยุงกำแพงและออกไปด้านนอก
กุ่ยเม่ยยังอยากจะตามไปขวางนางไว้ ยัยไง่หงกลับรีบเดินตามออกไป ยังพูดทิ้งท้ายว่า: “พวกเจ้าอย่ากระตุ้นคุณหนูอีกเลย ข้าไปอยู่กับนางก็พอแล้ว!”
ในห้องต่างเงียบกริบลง ผ่านไปนานมาก โม่ซานถึงวางกระดาษลง ขมวดคิ้วพูดว่า: “นางอาจจะแค่ไม่รู้สึกปลอดภัยเท่านั้น ไม่อยากหลอกพวกเราจริงๆ ข้าจะตามไปดูหน่อย”
“ข้าก็……”
“คนที่สนิทมากเท่าไหร่ ก็จะถูกทำร้ายได้ง่าย เจ้าเก็บงานเขียนพวกนี้ขึ้นมาและซ่อนไว้ดีกว่า” โม่ซานส่ายหน้ายกมือขึ้นจับไหล่เขาไว้: “และยู่จือบอกว่าเมื่อคืนนางเกิดเรื่องขึ้น นางอาจจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ข้าลองไปหลอกถามนางดู”
กุ่ยเม่ยสูดหายใจเข้าลึกๆพูดว่า: “ขอบใจ”