ทที่ 887 พูดจาเละเทะไม่เข้าท่า
ตอนที่ตื่นมา แขนของนางก็อยู่ในผ้าห่มข้างกายของนาง
ตรงหน้าไม่มีเงาของคนนั้นแล้ว มีเพียงเชือกสีแดงเหลือไว้ นางก็งัวเงียหยิบเอาเชือกนั้นขึ้นมา สองด้านของเชือกยังประดับเส้นเงิน ตรงกลางมีจี้รูปดอกโบตั๋น ส่วนเส้นเก่าของนางที่ใส่มาหลายปี นั้นหายไปแล้ว
แล้วนางก็เอามันใส่ลงไปในข้อมือ นางลุกขึ้นก็รู้ว่า ซ่านจินจื๋อได้เตรียมชุดไว้ให้นางแล้ว
เป็นสีคนละสีกับคณะราชทูตเย่นเจียงใส่กัน สีชุดตรงหน้าเป็นสีเหลืองสด ส่วนผ้าปิดหน้าก็เปลี่ยนด้วย แต่มันดูติดง่ายกว่าแบบเก่ามาก ข้างล่างก็ยังมีปิ่นปักผมอีกสองอัน เป็นงานละเอียดมาก
“เมื่อวาน ทำไมไม่เห็นเขาพกมามากมายขนาดนี้”
นางก็เกาหัวอย่างสงสัย ตอนที่ลุกขึ้นแต่งตัวนั้น นางเรียกยัยไง่หงก็ไม่ตอบ แล้วก็นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่า ตนเองไม่ค่อยรู้จักเครื่องสำอางพวกนี้ นางเริ่มค่อยๆ ยกมือขึ้น แล้วก็เอาผ้ามามัดผมด้านหลังของตนเองแบบง่ายๆ แต่นางก็มัดผมไม่เป็น
ได้แต่เอาปิ่นปักผมหนึ่งอันมาไว้ที่หน้าอก คิดว่าเดี๋ยวให้คนมาช่วย
เพิ่งประตูออกมา เสียงของคนรับใช้สองคนก็ดังขึ้น “แม่นางยู่ชีง ให้พวกเราเข้าไปช่วยท่านเก็บของเถอะ”
กู้อ้าวเวยตกใจจนต้องถอยหลัง คนรับใช้สองคนนั้นก็ถือโอกาสเข้าประตูมา นางก็ถามอย่างสงสัยว่า “เก็บของอะไร?”
“การไปเที่ยวทะเลสาบครั้งนี้ ระยะทางมันไกลหน่อย จะต้องเตรียมเสื้อผ้าไปด้วย ตอนนี้แม่หญิงหงกำลังอยู่ที่ห้องครัว ให้พวกเรามาช่วยเหลือแทน” คนรับใช้หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา ส่วนอีกคนก็ดึงนางลงไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วพูดว่า “คนตระกูลสูงศักดิ์ของแคว้นชางหลานจะต้องแต่งตัว ตอนนี้แม่หญิงหงไม่อยู่ ให้พวกเราทำแทนดีไหม? วันนี้แม่นางยู่ชีงอยากจะแต่งแบบ………”
“มัดผมแล้วเอาปิ่นไปปักก็พอแล้ว เอาสบายไว้ก่อน” กู้อ้าวเวยเอาปิ่นของตัวเองยื่นไปให้
ตอนที่คนรับใช้รับปิ่นมาก็ตะลึงเล็กน้อย แล้วก็มัดผมนางแล้วเอาปิ่นปักลงไป
“ข้าเพิ่งเคยได้ยินไปเที่ยวทะเลสาปแล้วต้องไปที่ไกลๆ” กู้อ้าวเวยถาม อีกมือก็ศิลปวิทยาไปหยิบขวดยามา แล้วทาลงบนข้อมือและฝ่ามือ
คนรับใช้ทั้งสองก็จ้องมองแปลของนาง แล้วพูดว่า “ใกล้จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว เดินทางไปตามน้ำจะมีหมู่บ้าน ตอนที่ฉลองเทศกาลนั้น คนมีฐานะในเมืองเทียนเหยียนก็จะเช่าเรือลำใหญ่ล่องไปที่นั่น ไปดูนักเต้น เต้นอยู่บนเวทีกลางน้ำ ตอนกลางคืนก็เป็นการเล่นพลุไฟเต็มท้องฟ้า”
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” กู้อ้าวเวยเม้มปาก
คนรับใช้ด้านหลังก็หัวเราะ “แน่นอนสิ แม่นางยู่ชีงไม่รู้จักหรอก คนที่นั่นส่วนใหญ่เป็นตระกูลอ๋องต่างๆ ส่วนพวกผู้ดีที่พูดถึงเมื่อครู่นั้น ไม่รวมพวกเถ้าแก่ใหญ่ๆ และขุนนาง แต่เป็นพวกลูกหลานผู้มีตำแหน่งสูงๆ มีคนรู้จักน้อยเช่นนี้ ต่อให้มีขุนนางที่ไหนรู้ข่าว ก็ไม่มีหน้าไปหาเรื่องใส่ตัวเป็นแน่แท้”
ถึงว่า เมื่อก่อนนางไม่รู้จัก แต่พอมาคิดดู ตอนที่นางเป็นพระชายาจิ้ง จะรู้เรื่องนี้หรือไม่นะ? ในหัวก็ครุ่นคิด เหมือนจะจำไม่ได้เลย
“อีกอย่างที่นั่น มีชื่อเรียกที่น่าฟังอีกด้วย ชื่อว่า เมืองเทียนซิง” คนรับใช้ทั้งสองคนก็พยายามพูดกันคนละประโยคสองประโยค ไม่ค่อยมองนางเป็นเจ้านายเท่าไร
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ คนรับใช้สองคนก็ยังสงสัยว่านางจะใส่ผ้าคลุมไหม กู้อ้าวเวยก็โบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่อยากให้คนมาสะกิดหลังข้า”
ทั้งสองคนก็รีบจัดการข้าวของ แล้วยัดลงไปในมุมของกระเป๋าเดินทาง
พอมาถึงหน้าประตูเรือนรับรอง ยู่จือกำลังนั่งแกว่งขาบนรถม้า ส่วนยู่หงข้างๆ ก็แต่งหน้าแล้ว ทำให้ยู่จือไม่พอใจมาก ตอนที่กู้อ้าวเวยกำลังก้าวข้ามธรณีประตูนั้น ก็มีมือมาพยุงนางไว้ “รถม้าของแม่นางยู่จือมีของมากแล้ว พวกเราไปนั่งคันหลังเถอะ”
กู้อ้าวเวยฟังเสียงของซ่านเซิ่งหาน แล้วก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับตามเขาไป
ดมไปดมมา กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้กลิ่นอะไรที่เกี่ยวกับลูกเอ่อตันแดงเลย แล้วก็ถูกส่งมายังรถม้า ตงฟางซวนเอ๋อนั่งอยู่ข้างในแล้ว สายตาก็จ้องมองมือที่อยู่บนข้อมือของนาง แล้วพูดว่า “องค์ชายสามรักษามารยาทด้วย”
“คุณหนูตงฟางรู้จักมารยาทแบบนี้ด้วยหรือนี่” ซ่านเซิ่งหานยิ้มๆ แล้วปล่อยมือ
เนื่องจากมองไม่เห็นสายตาของตงฟางซวนเอ๋อ กู้อ้าวเวยก็นึกว่าสองคนนั้นทะเลาะกัน ก็เลยจับเสื้อผ้ามานั่งชิดๆ มุมหนึ่งของรถ ตอนที่นางกำลังสงสัยว่าทำไมยังไม่เดินทางนั้น ก็มีอีกคนมุมเข้ามา กู้อ้าวเวยจับผ้าม่านที่เกือบจะกระแทกหน้า แล้วก็ขยับเข้าไปข้างใน
“พี่สาม ให้ข้าไปด้วย” ซ่านเชียนหยวนรีบเข้ามานั่งข้างๆ ซ่านเซิ่งหาน
ซ่านเซิ่งหานก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของซ่านเชียนหยวน แล้วพูดว่า “น้องสี่ นี่เจ้า…….”
“เพิ่งไปสวนดอกไม้ของหรัวเอ๋อร์มา แต่ไม่เด็ดมากมามาย ก็เกือบถูกนางไล่ออกมา ถึงอย่างไรท่านพ่อก็ไล่ข้ามาอยู่ด้านนอกวัง หรัวเอ๋อร์ก็รังเกียจข้า หาว่าไม่เอาไหน ไม่สู้ไปเที่ยวกับท่านพี่ดีกว่า” ซ่านเชียนหยวนพูดไป สายตาก็มองไปทางผู้หญิงสองคนบนรถม้า แล้วพูดว่า “พอดีเลย จะได้ดูว่า ท่านอานั้นชอบผู้หญิงแบบไหนกัน”
กู้อ้าวเวยก็จ้องมองเขา แล้วก็เอามือมาลูบที่แขน แล้วก็หยิบเอาหนังสือจากด้านหลังมา ปิดดวงตา แล้วก็เอามือคลำๆ โดยไม่ต้องการ แสงอะไรมาส่อง
“ยู่ชีงเป็นคนรักการเรียนรู้จริงๆ” ตงฟางซวนเอ๋อประชดเบาๆ ความคุ้นเคยของยู่ชีงช่างเหมือนกับกับพระชายาจิ้งมาก
“ไม่ใช่รักการเรียนรู้ แต่ดวงตาข้ามองไม่เห็น สิ่งที่คุณหนูตงฟางสามารถอ่านหมดในหนึ่งชั่วยาม ยู่ชีงจะต้องใช้เวลา1-2วันในการคลำดู ก็เลยต้องขยันหน่อย” กู้อ้าวเวยก้มหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆ คลำดูตัวหนังสือด้านล่าง
เดิมทีตงฟางซวนเอ๋อก็สงสัยว่านางจะอ่านหนังการแพทย์ เหมือนกับกู้อ้าวเวยเมื่อก่อนหรือเปล่า แต่กลับเห็นว่าบนหนังสือนั้น เขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนของจักราศรี ละเอียดมาก แต่น่าเสียดายที่ตงฟางซวนเอ๋อไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ก็เลยไม่ได้พูดอะไร
เสียงวุ่นวายบนถนนเริ่มเงียบไป กู้อ้าวเวยก็เลยหยุดลง “จะออกเมืองแล้วหรือ?”
“เส้นทางทางน้ำของเมืองเทียนเหยียน ถูกจำกัด ถ้าอยากจะเดินทางไปยังเมืองเทียนซิง จะต้องออกทางเดินจากนอกเมือง” ซ่านเซิ่งหานตั้งใจอธิบาย แล้วพูดว่า “ถ้าแม่นางยู่ชีงอยากจะรับชมทัศนียภาพด้านนอกละก็ พวกเราสามารถหยุดดูได้”
“ไม่ต้องหรอก ถึงแม้เมืองเทียนเหยียนจะมีทิวทัศน์และฮวงจุ้ยที่ดี ก็ด้วยเหตุนี้ ที่มากมายบริเวณนี้มีฮวงจุ้ยไม่ดี มีน้ำมาก แต่สามารถชมทิวทัศน์บนเรือได้” กู้อ้าวเวยพูดมีหลักการมาก แล้วตอนนั้น ก็ค่อยลืมตา แล้ววางหนังสือลง พร้อมกับเปิดผ้าม่าน แล้วออกมานั่งกับคนขับรถอย่างระมัดระวัง
เดิมทีตงฟางซวนเอ๋ออยากจะพูดว่า ทำแบบนี้มันไม่เหมาะสม กู้อ้าวเวยกับนั่งห้อยขาแบบเดียวกับยู่ศิลปวิทยา แล้วชี้ไปทางตระหนักเจิ้นหุน (ตระหนักผู้พิทักษ์) พร้อมท่องออกมาดังๆ ว่า “วิญญาณยังไม่สงบ ก็ยากที่จะช่วยเหลือ”
ตงฟางซวนเอ๋อก็หน้าเสีย ส่วนองค์ชายทั้งสองก็มีอะไรในใจ กำลังอยากจะทายว่านางหมายความว่าอย่างไรกันแน่