บทที่ 897 บอกเล่าเรื่องราว
“อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้”
“กระโดลงไปตามหา” อย่าให้นางหนีรอดไปได้เด็ดขาด
ในหูมีเสียงหลายอย่างดังขึ้น จากนั้นมีเพียงเสียงของแม่น้ำที่ไหลกระทบแขนขา กู้อ้าวเวยตื่นมาจากความฝันร้าย ราวกับว่าไฟที่กำลังลุกไหม้ท่าเรือก่อนที่จะตกลงไปในน้ำ ยังคงมีประกายไฟปรากฏอยู่ภายในดวงตาสีเทาของนาง และการมองเห็นที่พร่ามัวจนแทบจะมองไม่เห็นว่านี่คือห้องที่เรียบง่ายห้องหนึ่ง
นางอยากที่จะลุกขึ้นมา กลับถูกผู้หญิงที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วกดให้นอนลง
“คุณหนู เมื่อกี้ท่านเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว อย่าเพิ่งรีบลุกขึ้นมา”
น้ำเสียงของเฟิงฉีนดังขึ้น กู้อ้าวเวยจึงจำต้องนอนลง ยกมือจับดูหน้าผากของตัวเอง พบว่ารอยสักบนใบหน้าพวกนั้นถูกทำความสะอาดจนหมดแล้ว แววตาค่อนข้างเศร้าลง “เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?”
“ข้าเคยรับปากท่านว่า จะพาท่านไปเที่ยวงานเทศกาลในเมืองเทียนซิง ไม่อยากที่จะผิดคำพูด แต่หลายวันก่อนหลังจากที่ขึ้นมาจากน้ำแล้วท่านไม่สบาย หลับไม่ฟื้นอยู่สามวันสามคืน จึงทำให้ไม่ได้ไปเที่ยวงานเทศกาลในเมืองเทียนซิง” เฟิงฉีนตั้งใจพูดด้วยเสียงอ่อนโยน เห็นกู้อ้าวเวยแสดงสีหน้าสงสัย จึงพูดขึ้นต่อว่า “หลายวันนี้ท่านดื่มได้เพียงน้ำซุป ร่างกายจึงไม่มีแรง เกรงว่าจะต้องอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง”
เฟิงฉีนก้มตัวลงจัดการเก็บเสื้อผ้าบนโต๊ะ ขณะเดียวกันกู้อ้าวเวยก็รู้สึกว่า ปวดหัวไม่สบาย น้ำเสียงก็แหบแห้งกว่าก่อนหน้านี้ ลำคอคันจนต้องไออยู่หลายที หลังจากนั้นเสียงเฟิงฉีนก็ดังขึ้น “ยาใกล้จะต้มเสร็จแล้ว คุณหนูท่านพักผ่อนก่อน”
กู้อ้าวเวยพลิกตัวบีบบังคับไม่ให้ตัวเองหันไปมอง ในหัวสมองกลับสับสนไปหมด รอจนเมื่อเฟิงฉีนพักยาจนเย็นแล้วยื่นมาให้นางทาน นางค่อยถามขึ้นว่า “เมื่อก่อน ข้าก็เคยตกน้ำใช่ไหม?”
มือของเฟิงฉีนหยุดชงักไปแปบหนึ่ง แล้วก็ป้อนยาให้นางทางอย่างอ่อนโยน พร้อมพูดว่า “ก่อนหน้านี้ท่านเคยถูกคนโหวเซ่อลักพาตัวไป กระโดดลงน้ำไปในน้ำเพื่อหลบหนี หลังจากลำบากอยู่สักพักถึงค่อยได้กลับมายังเมืองเทียนเหยียน….”
เฟิงฉีนได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียด แต่รายละเอียดบางอย่างนางก็ไม่ค่อยรู้ ส่วนมากแล้วล้วนเคยได้ยินมาเท่านั้น หรืออาจจะเป็นคำร่ำลือ แต่กู้อ้าวเวยกลับฟังอย่างตั้งใจ เข้าใจอยู่บ้าง
เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มกำหมัดแน่น “ข้ากลับไปคนเดียวหรือ?”
“ตอนนั้นในใจในสายตาของท่านอ๋องจิ้งมีเพียงซูพ่านเอ๋อคนเดียว” เฟิงฉีนหัวเราะแห้ง วางถ้วยยาที่ดื่มจนหมดแล้วลงบนโต๊ะ แล้วก็ยกมือนวดบ่าของนางเพื่อแสดงความปลอบใจ “เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก หากตอนนั้นคุณหนูเลือกองค์ชายสาม ก็จะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้”
“ข้ารู้” กู้อ้าวเวยกลั้นน้ำตาไว้
ถึงแม้จะรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นกลับตอนนี้ไม่สอดคล้องกัน แต่นางก็คิดไม่ถึงว่า นางมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักนี้ได้อย่างไร จากสถานที่ห่างไกลปราศจากอาวุธและสิ้นเนื้อประดาตัว กลับมายังเมืองเทียนเหยียน
นี่ก็เหมือนกันกับภายในสมองอันว่างเปล่าตอนที่นางฟื้นขึ้นมา ทำให้น่ากลัวมาก
เฟิงฉีนสังเกตดูท่าทีแววตาที่ค่อนข้างโศกเศร้าเจ็บปวดของกู้อ้าวเวย มุมปากอมยิ้มแล้วก็ยกของออกไป
แต่ถึงตอนกลางคืน กู้อ้าวเวยยังคงให้เฟิงฉีนเล่าเรื่องทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟังอย่างละเอียด นางถึงค่อยรู้ว่าขาสองข้างนี้ทำไมเมื่อถึงฤดูหนาวจะต้องเจ็บปวดจนทนไม่ไหว และหน้าอกตัวเองที่ถูกแทงจนถึงตอนนี้แล้วยังรู้สึกเจ็บปวด
ในขณะเดียวกันก็ยังรู้ว่า ตอนนั้นทำไมซ่านจินจื๋อถึงทำร้ายนางเพื่อซูพ่านเอ๋อ
“สิ่งที่เจ้าพูดมาพวกนี้ไม่ได้โกหกข้า?” กู้อ้าวเวยยังคงอดไม่ได้ที่จะถาม ฟังมาตั้งนาน นางยิ่งแปลกใจว่าทำไมตัวเองอย่างเลือกซ่านจินจื๋อ
“ข้าไม่โกหกท่านอยู่แล้ว ต่อให้เป็นองค์ชายสาม ก็ทุ่มเทให้ท่านทุกอย่าง เขาก็เคยคิดที่จะหลอกใช้ท่าน อาศัยความฉลาดของท่านคิดหาหนทางช่วยให้เขาได้ขึ้นไปอยู่ในที่สูงยิ่งขึ้น แม้แต่ใต้เท้าเมิ่งซู่เป็นคนสำคัญที่ท่านแนะนำให้ช่วยเหลือองค์ชายสาม” เฟิงฉีนเล่าเรื่องทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นให้ฟังตามคำสั่งของซ่านเซิ่งหาน ไม่ได้ปิดบังเลยสักนิด
แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงความเงียบสงบเพียงชั่วครู่ของกู้อ้าวเวย กับมุมปากที่ยิ้มพูดขึ้นว่า “พวกนี้ข้าล้วนจำไม่ได้ แต่คิดดูดีๆแล้ว ข้าไม่ใช่กู้อ้าวเวย”
เฟิงฉีนมองดูนางอย่างแปลกใจ กู้อ้าวเวยกลับดึงผ้าห่มขึ้นมาสูงหน่อย หลับตาแล้วก็ไม่คุยกับเฟิงฉีนต่อ
นางมีเพียงความทรงจำที่อยู่ในยุคปัจจุบัน กลับความทรงจำที่กู้อ้าวเวยเติบโตมาในจวนเฉิงเสี้ยงเท่านั้น
ใครสามารถรับประกันได้ว่าทุกสิ่งที่นางได้ยินมาจากเฟิงฉีน ล้วนเป็นความจริง?
……
ช่วงค่ำวันที่สองซ่านจินจื๋อก็กลับมายังคุกหลวง
ผู้หญิงที่อยู่ในคุกยังคงอยู่ในชุดเสื้อผ้าสีขาวเรียบๆตัวนั้น ในมือถือกำลังอ่านตำราที่เมื่อวานเขาสั่งคนส่งมาให้ ได้ยินเสียงแล้วจึงเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วมองดูเขายังไม่พอใจ “ท่านอ๋องจิ้งไม่มีงานอะไรต้องทำแล้วหรือ?”
มองดูสีหน้ากู้อ้าวเวยที่เจ็บปวดกับไม่พอใจผ่านเหล็กกั้น ซ่านจินจื๋อเผยหน้าให้เห็นเพียงครึ่งเดียว แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้ารู้แล้วว่าหยุนหว่านยังไม่ได้จากไป….”
“นี่ไม่มีอะไร ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าก็ถูกคนอื่นบังคับ” เมื่อกู้อ้าวเวยฟังคำพูดของเขาแล้ว ก็เอนพิงกำแพงราวกับว่าสูญเสียเรี่ยวแรงไปแล้วทั้งหมด ดวงตาคู่นั้นไม่มีความสดใสเลย ทุกคำทุกพยางค์ก็ไม่มีความสั่นเทาใดๆ “นางอยู่ที่ไหน? สบายดีไหม?”
“นางอยู่ในจวนของข้า สบายดีทุกอย่าง” ซ่านจินจื๋อมองลงไปดูที่ปลายนิ้วของนางที่กำแน่น ความทุกข์ในใจเหมือนดั่งเถาวัลย์หนาทึบเลื้อยไปทั่วหัวใจทีละนิด เมื่อพูดเสร็จแล้วก็ถามขึ้นอีกว่า “ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงไปจากเมืองเทียนเหยียน?”
“เจ้าคือซ่านจินจื๋อจริงๆหรือ?”
เสียงสองเสียงดังขึ้นเกือบพร้อมกัน ตอนนี้แววตาของกู้อ้าวเวยเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
ส่วนซ่านจินจื๋อก็พยักหัวอย่างหนักแน่นว่า “ใช่”
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่รู้สาเหตุที่ข้าจากไป?” กู้อ้าวเวยลุกขึ้นมาจากมุมหนึ่งในคุก ยืนอยู่ตรงหน้าราวเหล็ก ยกมือกระชากคอเสื้อของซ่านจินจื๋อไว้ ดึงเขาเข้ามาใกล้ ข้างหูมีเสียงชักดาบดังขึ้น ใบมีดสีเงินแวววาวอยู่จ่ออยู่ตรงหัวของกู้อ้าวเวย แต่นางยังคงมองดูแววตาของซ่านจินจื๋อแล้วพูดว่า “หากเจ้าเป็นตัวปลอม แล้วคำพูดเมื่อวานทำไมเจ้าถึงฟังไม่เข้าใจ สัญญาระหว่างข้ากับเขา ไม่เคยบอกให้ใครอื่นรับรู้”
ตัวตาคู่นั้นเฉียบคมมาก ในขณะที่ซ่านจินจื๋อยังอึ้งอยู่ คอเสื้อก็ถูกปล่อยแล้ว
ส่วนกู้อ้าวเวยก็กลับมายังตรงมุมหนึ่งในคุกเหมือนเดิม ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ใบหน้ายิ้มเล็กน้อย “อยากรู้อะไรจากปากของข้า ก็ให้ซ่านจินจื๋อที่ข้ารู้จักคนนั้นมา”
แววตาแบบนี้
คำพูดที่หยิ่งยโสเช่นนี้
แววตาของซ่านจินจื๋อค่อยๆเป็นประกาย นางเป็นกู้อ้าวเวยตัวจริง
ส่วนเฉิงซานที่อยู่ไม่ไกล ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ยังคงปั้นสีหน้าบึ้งตึง ผู้หญิงคนนี้ยังคงหยิ่งยโสเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด
“ครั้งหน้าข้าค่อยมาหาเจ้า” ซ่านจินจื๋อระงับความตื่นเต้นในใจนั้นไว้ พาเฉิงซานจากไปด้วยสีหน้าที่ยังคงแสดงท่าทีโมโห
แต่กู้อ้าวเวยที่อยู่ในคุกกลับจ้องมองดูเงาหลังของซ่านจินจื๋อ แล้วก็กำหมัดทุบพื้นดินอย่างดัง จนหายรับไปจากคุกแล้ว ซ่านจินจื๋อได้ยินนางตะโกนร้องอยู่ในคุกอย่างเจ็บปวดว่า “พวกเจ้าจะโกหกข้าไปถึงเมื่อไหร่”
ใจของซ่านจินจื๋อเจ็บปวดอย่างมาก สายตาฉายแววรู้สึกผิด